บิดาจ้างบุตรให้ฟังธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 270
บิดาจ้างบุตรให้ฟังธรรม
ได้ยินว่า นายกาละนั้นเป็นบุตรเศรษฐี ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศรัทธา
เช่นนั้น ก็ไม่ปรารถนาจะไปสู่สำนักของพระศาสดาเลย. ไม่ปรารถนาจะฟัง
ธรรม. ไม่ปรารถนาจะทำการขวนขวายแก่สงฆ์; แม้ถูกบิดาพูดว่า " เจ้า
อย่าทำอย่างนี้ พ่อ " ก็ไม่ฟังคำของท่าน.
ลำดับนั้น บิดาของเขาคิดว่า เจ้ากาละนี้ เมื่อถือทิฏฐิเห็นปานนี้
เที่ยวไป จักเป็นผู้มีอเวจีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า; ก็เมื่อเรายังเห็นอยู่ บุตร
ของเราพึงไปสู่นรก, ข้อนั้นไม่สมควรแก่เราเลย; ก็ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่เพ่ง
เล็งเพราะการให้ทรัพย์ ไม่มีในโลกนี้เลย, เราจักทำลายทิฏฐิของบุตรนั้น
ด้วยทรัพย์."
ลำดับนั้น เศรษฐีพูดกะนายกาละนั้นว่า " พ่อ เจ้าจงเป็นผู้รักษา
อุโบสถ ไปสู่วิหารฟังธรรมแล้วมาเถิด เราจักให้กหาปณะ ๑๐๐ แก่เจ้า."
กาละ. จักให้หรือ? พ่อ.
เศรษฐี. จักให้ ลูก.
นายกาละนั้น รับปฏิญญา ๓ ครั้งแล้ว เป็นผู้รักษาอุโบสถ ได้ไป
สู่วิหารแล้ว. แต่กิจด้วยการฟังธรรมของเขาไม่มี; เขานอนในที่ตามความ
สำราญแล้ว ได้ไปบ้านแต่เช้าตรู่. ลำดับนั้น บิดาของเขาพูดว่า " บุตร
ของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ, ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาแก่เขา
เร็ว " ดังนี้แล้ว ก็สั่งคนใช้ให้ๆ . นายกาละนั้นห้ามอาหารเสีย ด้วย
พูดว่า " เรายังมิได้รับกหาปณะจักไม่บริโภค. " ลำดับนั้น บิดาของเขา
เมื่ออดทนการรบกวนไม่ได้ จึงให้ห่อกหาปณะแล้ว. นายกาละนั้น ต่อ
รับกหาปณะนั้นไว้ด้วยมือแล้ว จึงบริโภคอาหาร.
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เศรษฐีสั่งเขาไป ด้วยพูดว่า " พ่อ เราจักให้
กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า. เจ้ายืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา เรียนเอา
บทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา. เขาไปวิหาร ยืนตรงพระพักตร์
ของพระศาสดา ได้เป็นผู้ใคร่จะเรียนเอาบทแห่งธรรม บทเดียวเท่านั้น
แล้วหนีไป. ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทรงทำอาการ คือการกำหนดไม่ได้
แก่เขา. เขากำหนดบทนั้นไม่ได้แล้ว จึงได้ยืนฟังแล้วเทียว ด้วยคิดว่า
" เราจักเรียนบทต่อไป. " นัยว่าชนทั้งหลาย ต่อฟังอยู่ ด้วยคิดว่า " เรา
จักเรียนให้ได้ ชื่อว่าฟังโดยเคารพ.
ก็ธรรมดา เมื่อชนทั้งหลายฟังอยู่อย่างนี้, ธรรมย่อมให้โสดา-
ปัตติมรรคเป็นต้น. ถึงนายกาละนั้นก็ฟังอยู่ด้วยคิดว่า " จักเรียนให้ได้."
แม้พระศาสดาก็ทรงทำอาการคือการกำหนดไม่ได้แก่เขา. เขากำลังยืนฟัง
อยู่เทียว ด้วยคิดว่า " จักเรียนต่อไป " จึงตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
บรรลุโสดาปัตติผลแล้วรับค่าจ้าง
ในวันรุ่งขึ้น นายกาละนั้นไปสู่กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขทีเดียว. มหาเศรษฐีพอเห็นเขาก็คิดว่า " วันนี้
เราชอบใจอาการของบุตร." แม้นายกาละนั้นก็ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า
" โอหนอ วันนี้ บิดาของเราไม่พึงให้กหาปณะในที่ใกล้พระศาสดา
พึงปกปิดความที่เราเป็นผู้รักษาอุโบสถ เพราะเหตุแห่งกหาปณะไว้. " แต่
พระศาสดา ได้ทรงทราบความที่นายกาละนั้น เป็นผู้รักษาอุโบสถ เพราะ
เหตุแห่งกหาปณะแล้วในวันวาน มหาเศรษฐีให้ถวายข้าวต้มแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว จึงสั่งให้ๆ แม้แก่บุตร. นายกาละนั้นเป็น
ผู้นั่งนิ่งเทียว ดื่มข้าวต้ม เคี้ยวของควรเคี้ยว บริโภคภัต.
ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระศาสดา มหาเศรษฐีให้บุคคลวางห่อ
กหาปณะพันหนึ่งไว้ตรงหน้าบุตรแล้ว พูดว่า " พ่อ พ่อพูดว่า 'จักให้'
กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า' จึงให้เจ้าสมาทานอุโบสถ ส่งไปวิหาร นี้กหา-
ปณะพันหนึ่งของเจ้า. " นายกาละนั้น เห็นกหาปณะที่บิดาให้เฉพาะพระ-
พักตร์ของพระศาสดา ละอายอยู่ จึงพูดว่า " ผมไม่ต้องการด้วยกหาปณะ
ทั้งหลาย " แม้ถูกบิดาพูดว่า " จงรับเถิด พ่อ " ก็ไม่รับแล้ว