ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๘๘ [วิถีชีวิตใหม่]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๘๘ * *
~ ทุกคน ก็คิดถึงแต่ภายนอก คิดถึงแต่จะระแวดระวังจะรักษาตนให้พ้นจากโควิด แต่รักษาตนที่กำลังเป็นทุกข์ จะรักษาอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ในความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้จิตได้มีความเข้าใจที่ถูก พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ ตามกำลังของปัญญา คนนั้นจะไม่เดือดร้อน
~ ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ ถ้าได้เข้าใจพระธรรม เห็นคุณมหาศาล ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะแต่ก่อนนี้ ไม่มีโควิด แล้วก็มี ใครไปทำให้เกิดขึ้น แล้วก็ไปวุ่นวายกับโควิด เป็นทุกข์เป็นร้อน แต่ว่า ลืมว่า ถึงไม่มีโควิดก็ทุกข์ร้อนมิใช่หรือ? แล้วจะหมดทุกข์ร้อนนั้นได้อย่างไร ตราบใดที่ยังมีเหตุที่จะให้เป็นทุกข์ ก็ต้องเป็น ไม่มีโควิดก็เป็นทุกข์ ใครบ้างที่ไม่มีโควิดแล้วไม่เป็นทุกข์อีก?
~ วิถีชีวิตใหม่ นั้น ใหม่จริงๆ ไม่ใช่อย่างที่เป็นแล้วเป็นเล่าคิดแล้วคิดเล่าแก้ไขแล้วแก้ไขเล่า วิถีชีวิตใหม่ จริงๆ ก็คือ มีความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อไหร่ วิถีใหม่ ก็คือว่า ไม่ได้มีความตื่นตระหนกกลัวด้วยความเป็นตัวตน แต่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา ทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยเกิดแล้วดับ นั่นคือ ชีวิต เริ่มที่จะเป็นวิถีใหม่ที่จากความไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์มาสู่ความรู้ทุกอย่างที่มีตามความเป็นจริง ไม่มีเรา เดือดร้อนไหม?
~ จะมีวิถีชีวิตใหม่ ก็ต่อเมื่อมีความรู้ซึ่งไม่เคยเกิดเลยที่จะเข้าใจว่าขณะนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น วิถีชีวิตใหม่ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็เป็นชีวิตเดิมๆ ไม่มีอะไรที่ใหม่เลยสักอย่างเดียว แต่พอมีความเข้าใจ ใหม่ ไม่เคยเกิดเลยในสังสารวัฏฏ์ วิถีชีวิตก็ค่อยๆ เป็นไป เป็นวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งขณะนั้นเป็นไปด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นปัญญา เพราะฉะนั้น วิถีชีวิตของผู้ที่มีปัญญากับวิถีชีวิตของคนที่ไม่มีปัญญา ย่อมต่างกัน คนที่ไม่มีปัญญา ก็เหมือนเดิมในสังสารวัฏฏ์ แต่วิถีชีวิตของผู้ที่มีปัญญา เริ่มเข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้น ค่อยๆ เป็นวิถีชีวิตที่ประกอบด้วยปัญญา ใหม่มาก ใหม่ไปจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ ซึ่งไม่เคยสามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงมาก่อน
~ ดีคือดี ชั่วคือชั่ว ถ้าเหตุดี ผลก็ต้องดี เหตุชั่ว ผลก็ต้องชั่ว
~ ค่อยๆ รู้ความจริง ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลอะไรได้เลย แม้แต่สุขหรือทุกข์ ก็ต้องมีเหตุปัจจัย
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถทำให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเลย คือ การเริ่มเข้าใจความจริง ทุกคำของพระองค์ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนได้เลยทั้งสิ้น พระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ได้กล่าวว่าคน สัตว์ แต่ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงนี่แหละ ไม่มีใครไปดลบันดาลได้ แต่มีเหตุปัจจัยที่จะเกิด ไม่เกิดไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยด้วย
~ คำว่า "ชาวพุทธ" หมายเฉพาะผู้ที่รู้ความจริงจากการได้ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นเกิดพุทธะคือความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ผู้ที่รู้นั้นจึงเป็นชาวพุทธ
~ คำว่า "ชาวพุทธ" คำนี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศชาติเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใด แต่ขณะใดก็ตามที่ไม่รู้จะเป็นชาวพุทธได้หรือ ไม่ว่าใครทั้งโลก แต่ขณะใดก็ตามใครที่ไหนก็ตามที่ศึกษาเข้าใจความจริง รู้เมื่อไหร่ พุทธะ คือ รู้ เมื่อนั้น จึงเป็นชาวพุทธ
~ ที่พึ่งที่เดียวในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่พบก็ไม่มีที่พึ่งเลย คือ ปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงถึงที่สุดโดยผู้ที่ตรัสรู้ทุกอย่างไม่เว้นเลยตามความเป็นจริงถึงที่สุด
~ ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าเพียงแค่กราบไหว้ ต้องเข้าใจจึงกราบด้วยความเข้าใจในพระคุณยิ่งใหญ่ที่เหมือนปาฏิหาริย์ทำให้ความไม่รู้ซึ่งหมักหมมมาแสนนานค่อยๆ จางลง จนกระทั่งสามารถที่จะดับได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีก) เพราะฉะนั้น ไม่มีใครเป็นที่พึ่งสูงสุดนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ แต่ละชาติที่เกิดมา เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม เห็นค่าของพระธรรม เห็นหนทาง แล้วรู้ว่าไกล เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตนั้นก็เพิ่มความดี เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศล ขณะนั้น ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย และก็เพิ่มอกุศลอยู่ตลอดเวลา หนทางยิ่งยาวไปอีก ไกลไปอีก
~ เป็นคฤหัสถ์ ขายขนมปัง ไม่มีใครว่า ขายข้าวแกง ไม่มีใครว่า จะส่งเสริมกิจกรรมทางไหน ไม่มีใครว่า แต่เป็นพระภิกษุแล้วจะทำอย่างนั้นไม่ได้
~ ทำไมไม่คิดว่า แม้แต่พระภิกษุที่ทำดิรัจฉานวิชา เช่น ลงเลขยันต์ ทำเครื่องรางของขลัง เป็นต้น ก็เป็นภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่มีความละอาย) เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำขึ้นนั้น จะเกิดประโยชน์ได้อย่างไร จะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ในเมื่อผู้ทำ เป็นภิกษุอลัชชี
~ มีวัดร้าง ยังดีกว่ามีมหาโจรในคราบของพระภิกษุ เพราะเหตุว่า ไม่มีภิกษุที่ศึกษาพระธรรมวินัย ก็คือ ไม่มี ไม่มีก็คือไม่มี จะบอกว่ามีได้อย่างไร ความจริงต้องเป็นความจริง และต้องเป็นผู้ตรง มิฉะนั้น จะไม่ได้สาระจากพระธรรม
~ ชีวิตสั้นมาก ใครจะรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐที่สุดคือได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและก็ทำดีที่สุดและเข้าใจพระธรรม
~ อวิชชาความไม่รู้ มืดยิ่งกว่าความมืดใดๆ เพราะว่าความมืดอื่นก็ยังมีแสงสว่างทำให้ความมืดนั้นจางลงไปได้ แต่มืดเพราะการไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ อาศัยอะไร จะค่อยๆ รู้และสว่างขึ้น ก็โดยการได้ฟังพระธรรม ซึ่งเป็นวาจาสัจจะ (คำจริง) และความเข้าใจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็เริ่มที่จะค่อยๆ ละความมืด
~ เป็นพุทธบริษัท ต้องศึกษาธรรม ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา มิฉะนั้นแล้วจะไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะเหตุว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ไม่ใช่ผู้ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าชาวพุทธไม่รู้ว่าใครเป็นภิกษุ แล้วอยากได้บุญ แล้วก็ทำสิ่งซึ่งเข้าใจว่าถูกต้อง แต่ความจริงเป็นบาป ก็เป็นโทษกับพุทธบริษัท เพราะฉะนั้น พุทธบริษัทไม่ต้องเลือกว่าเป็นบริษัทไหน แต่เมื่อมีความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องศึกษาพระธรรมแล้วก็ช่วยกันเกื้อกูลกันให้เข้าใจถูกต้องว่าพระธรรมและพระวินัยคืออย่างไร มิฉะนั้นแล้ว ก็จะประพฤติผิดพระธรรมวินัย
~ ปัญญานำไปในกุศลทั้งปวง ไม่ต้องห่วงเลย เพราะปัญญารู้ว่า ถ้าอกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความโลภ การแข่งดี มายา หรืออะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็พอกพูนความไม่รู้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ระลึกได้แล้วก็เป็นกุศล สิ่งที่ไม่เคยทำ ก็ทำ เพราะกุศลจิตเกิด สามารถที่จะช่วยเหลือ อนุเคราะห์ สงเคราะห์หรือพูด หรือ ทำอะไรก็ได้ ในทางกุศลเพิ่มขึ้นเพราะปัญญา
~ ฟังพระธรรม คือ ฟังความจริง ซึ่งเป็นจริงทุกขณะ แต่ต้องมีการไตร่ตรองและมีความเข้าใจ ไม่ใช่คิดไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจอะไร อย่างนั้น ก็ไม่มีประโยชน์
~ อยู่ตรงนี้ พระธรรมทั้งหมด อยู่ตรง "ไม่ใช่เรา"
~ ขณะที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ คือ ขณะเข้าใจธรรม น้อยสักเท่าไหร่ ก็ดีกว่าไม่มีเลย
~ ถ้าใครเขาว่าเราดี ก็เรื่องของเขา ใช่ไหม ใครจะคิดอย่างไรก็ได้ แล้วเราเป็นอย่างไรขณะนั้น ดีหรือเปล่า เขากำลังชมเราว่าเราดีมาก เราดีเหลือเกิน แต่ขณะนั้น ใครจะรู้ ดีแค่ไหน
~ ใครจะชมสักเท่าไหร่ ใครจะว่าดีสักเท่าไหร่ ก็ตาย ตายแล้วอยู่ไหน คนที่เขาชมกันนักหนา อยู่ไหน ไม่เหลือเลย ไม่มีเหลือ แล้วคนพูดก็ตาย ใช่ไหม แล้วจะไปทำอะไรได้ มีอะไรเหลือบ้างในโลกนี้ นอกจากทุกสิ่ง แค่มีเมื่อปรากฏ คำนี้คำเดียวลึกซึ้งแค่ไหน "แค่มีเมื่อปรากฏ"
~ ที่ยากที่สุดยิ่งกว่าอย่างอื่นที่ลึกซึ้งที่สุด ก็คือ ไม่มีเราที่จะไปทำอะไรได้เลย
~ พระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนที่ไม่รู้ ได้รู้ขึ้น พ้นจากความไม่รู้
~ จะทำดีเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องคอยเวลา ทำได้เลยทันที ความดีทั้งหมดไม่ต้องคอยเวลา เพราะไม่แน่ว่าจะได้ทำหรือเปล่า ก็ทำเสียเลย
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๘๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...