MP3 ออกใหม่ ชุด พื้นฐานพระอภิธรรม แผ่นที่ ๑๔

 
มศพ.
วันที่  3 ม.ค. 2564
หมายเลข  33532
อ่าน  613

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย



แผ่น MP3 ออกใหม่

ชุด พื้นฐานพระอภิธรรม แผ่นที่ ๑๔

ตอนที่ ๗๘๑ ถึง ๘๔๐

*จากการสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม

ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ระหว่าง มิถุนายน ๒๕๕๕ ถึง พฤษภาคม ๒๕๕๖*


บางช่วงบางตอนจาก MP3

ชุด พื้นฐานพระอภิธรรม แผ่นที่ ๑๔ ดังนี้


ดี คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หลักใหญ่ๆ เพราะเหตุว่า ถ้ามีโลภ โกรธ หลง ความไม่ดีอย่างอื่นก็ติดตามมา เพราะฉะนั้น ไม่ดีที่หนึ่ง ก็คือ ความไม่รู้

เมื่อกี้พูดถึงว่าอะไรดี ใช่ไหม? คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ดีก็ต้องตรงกันข้าม คือ โลภ โกรธ หลง เพราะฉะนั้น เราเลือกไม่ได้ ถูกไหม? แล้วแต่เหตุปัจจัย ทุกคนอยากดี แต่มีเหตุปัจจัยที่จะไม่ดีก็ต้องไม่ดี ไม่อยากไม่ดีเลยก็ไม่ดีแล้วเพราะมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้จริงๆ ก็รู้ถึงเหตุที่ทำให้เกิดความไม่ดี เพราะฉะนั้น เหตุที่ทำให้เกิดความไม่ดี ก็คือ ความไม่รู้ นี่แน่นอนที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าค่อยๆ รู้ขึ้น ความดีก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เราจะประมาทความไม่ดีหรือความไม่รู้ไม่ได้เลยว่ามากแค่ไหน วันทั้งวันไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเป็นพื้นฐานและการสะสมมาที่จะเป็น "ดี" บางกาลก็เกิดได้ เช่น การให้ทานหรือการไม่ประพฤติเบียดเบียนคนอื่น เป็นต้น ก็ตามการสะสมมา แต่ก็ยังมีความไม่รู้อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะดีอย่างไรก็ตาม พอไหม? จะดีขึ้นอีกได้ไหมถ้าไม่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง?

เพราะฉะนั้น เพียงเป็นคนดีตามที่ได้เคยสะสมมาแต่ยังมีความไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริงก็จะทำให้ดีถึงที่สุดไม่ได้หรือดีจริงๆ ด้วยความเข้าใจถูกก็ไม่ได้ เพราะว่ายังคงเป็นเรา ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจะขาดการศึกษาธรรมได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นคนดีเท่าที่ชาวโลกและตัวเองเข้าใจว่าดี ไม่ได้ลักขโมยใคร ไม่ได้ประทุษร้ายเบียดเบียนใคร แต่ก็ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จะชื่อว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไม่ได้ ไม่ได้พึ่งอะไรเลย บอกว่าพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพึ่งตอนไหน ใช่ไหม? พึ่งพระธรรม พึ่งตอนไหน พึ่งพระอริยบุคคล พึ่งตอนไหน ก็ไม่ได้พึ่งเลยถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น การเป็นคนดีก็ไม่พอถ้ารู้ความจริงว่าไม่สามารถที่จะดีตลอดหรือว่าดีโดยที่ว่าไม่มีความไม่ดีเกิดขึ้นบ้างเลยก็ไม่ได้ จนกว่าจะได้เข้าใจพระธรรมซึ่งมีอยู่หนทางเดียวคือต้องศึกษาจึงสามารถที่จะเข้าใจได้

ถ้าไม่มีคุณความดี ไม่มีทางแม้แต่ที่จะเข้าใจธรรมเพราะอกุศลเพิ่มขึ้นทุกวัน ใช่ไหม? แล้วก็ถ้าไม่เห็นว่ากุศลแม้เพียงเล็กน้อยถ้าไม่ทำหรือไม่เกิดขึ้นขณะนั้นเหมือนเดิมอกุศลก็เพิ่มขึ้นแล้ว

เมื่อเห็นภัยของความไม่รู้เมื่อเห็นภัยของอกุศล จึงเกิดหิริโอตตัปปะที่ละอายที่จะไม่รู้ต่อไปแล้วก็ไปเพิ่มอกุศลขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ขวนขวายก็ได้หรือทำความดีทุกโอกาสก็ได้พร้อมทั้งการศึกษาธรรมให้เข้าใจด้วย มิฉะนั้นเพียงแค่ความดีก็ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แต่เพราะความดีนั่นแหละเป็นบารมีเป็นบริวารของปัญญาที่จะทำให้เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม

ก็ทำความดีเพิ่มขึ้นหรือยังจากวันก่อน? ก็ไม่ต้องถามกันเอง นอกจากสำนึกหรือระลึกได้หรือรู้สึกตัวหรือว่าขณะนั้นหิริเกิดโอตตัปปะเกิดกุศลแม้เพียงเล็กน้อยก็เริ่มเพิ่มขึ้น



ถ้าจะพูดถึงปีเก่าและปีใหม่จริงๆ ก็คือว่า ตลอดปีที่ผ่านมาและก็ไม่ใช่แต่เฉพาะปีที่แล้ว ปีก่อนๆ นั้นด้วย ละอกุศลอะไรบ้างแล้ว หรือว่า ยังไม่ได้แม้เพียงคิดที่จะละ บางคนไม่คิดแม้แต่ละจะละอกุศล การผูกโกรธ การไม่อภัย ความติดข้องหรือการมองเห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น ขณะนั้นจิตอะไร เมตตาหรือว่าอกุศล? นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าเราจะไตร่ตรองจากการที่ได้ฟังธรรมย้อนถอยไปจากขณะนี้ถึงขณะก่อนๆ จนกระทั่งถึงชาติก่อนๆ นานมาแล้วก็ได้ฟัง แล้วก็ได้แค่ไหนที่จะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าจะพูดถึงว่าสิ่งที่จะสะสมสืบต่อไปในจิตก็คือความเห็นถูกความเข้าใจถูกและคุณความดีด้วย อย่าเพียงแต่หวังว่าจะเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ความดีทั้งหลายจะค่อยๆ ตามมา โดยการที่ว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งไตร่ตรอง เพราะเหตุว่า ตามพระไตรปิฎก ท่านให้คิดเป็นวันๆ ไม่ใช่คิดเป็นปี ว่า วันนี้หรือเมื่อวานนี้ เช้านี้ กลางวันนี้ เย็นนี้ ก่อนนอน เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แค่ไหน เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งจะเห็นประโยชน์ของการฟังธรรม เพราะเหตุว่า ความไม่ดีทั้งหลายที่สะสมอยู่ในจิตซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะนำออกไปได้เลยทั้งสิ้นนอกจากปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรมแล้วเข้าใจ

เพราะฉะนั้น ไม่ได้มุ่งหมายที่จะเป็นเราที่จะเข้าใจธรรม แต่รู้คุณค่าว่า สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด สามารถจะค่อยๆ จาง ค่อยๆ หายลดน้อยลงไปได้ ก็ด้วยความเข้าใจธรรมซึ่งขณะนี้กำลังปรากฏแล้วก็มีสิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ แต่บ่อยก็ยังไม่พอ จนกว่าความคิดแม้ละอกุศลจะเกิดขึ้น ขณะนั้นก็เริ่มเห็นกำลังของกุศลที่เริ่มคิดที่จะละอกุศล แม้เพียงคิดแต่ก็นำไปสู่การที่จะค่อยๆ ละได้ทีละเล็กทีละน้อย และขณะที่ละอกุศล เป็นกุศลหรือเปล่า? ไม่ต้องไปทำอะไรที่มากมายเลย ก็ค่อยๆ สะสมไปทุกกุศลที่จะเป็นไปได้




เพียงเข้าใจถูก ว่า ขณะใดที่ ดี ไม่เกิด กุศล ไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล เพียงเข้าใจอย่างนี้ ประมาทกุศลแม้เพียงเล็กน้อยหรืออกุศลแม้เพียงเล็กน้อยหรือเปล่าในขณะที่ไม่ทำดี

เคยเป็นคนที่ไม่ได้เบียดเบียนใคร แต่ไม่ได้ทำดีอะไรเล็กๆ น้อยๆ คิดว่าไม่เป็นไร ไว้ทำความดีใหญ่ๆ ก็แล้วกัน ใช่ไหม? แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศลแล้ว และอกุศลทุกประเภทก็มีความไม่รู้ซึ่งทำให้ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่กำลังฟังพระธรรมแล้วก็ไม่เข้าใจตามที่ได้ทรงแสดงไว้ เพราะยังมีอวิชชามากมายที่ได้สะสมมาจึงกั้นไม่ให้สามารถเข้าใจทุกคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป รู้เลยว่าอะไรกั้น? คือ ความไม่รู้หรืออวิชชาที่สะสมมานานมาก เพราะฉะนั้น เมื่อมีอวิชชา ก็มีโลภะ มีโทสะ เพราะฉะนั้น ทั้งวันก็ลองดูพิจารณาเข้าใจให้ถูกตามความเป็นจริงว่าอกุศลเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ อวิชชาเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ แล้วหวังจะเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เป็นไปได้ไหม? แต่ถ้าไม่ประมาท เริ่มเห็นว่าแม้กุศลเพียงเล็กน้อยก็เป็นโอกาสที่ขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่า กุศลเกิด อวิชชาก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงพร้อมทั้งกิเลสอื่นๆ ด้วย



ขอเชิญคลิกฟังเนื้อหาบางตอนจากแผ่นดังกล่าวได้ที่นี่

พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 781

พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 782

MP3 ชุดดังกล่าวนี้ มีให้บริการแล้วที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ท่านที่มีความประสงค์จะรับแผ่นนี้ ขอเชิญติดต่อได้ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

โทรศัพท์ ๐๒ ๔๖๘ ๐๒๓๙

. ..ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ม.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ