เกิดมาด้วยความไม่รู้
คนเราเกิดมาทำไม เป็นคำถามที่หาคำตอบได้ยาก เพราะทุกคนเกิดมาในโลกนี้ด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมจึงเกิดมาเป็นคนรวย ทำไมจึงเกิดมาลำบากยากจน ทำไมจึงเกิดมาพิการ ทำไมจึงสวย ทำไมจึงขี้เหร่ ฯลฯ นอกจากเกิดมาด้วยความไม่รู้แล้ว ก็ยังไม่รู้อีกว่าจะตายเมื่อไร จะตายด้วยเหตุใด ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ทุกคนมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้ ไม่รู้กระทั่งว่าชีวิตคืออะไร
คำถามนี้ เป็นคำถามที่เคยใช้เวลาจัดอบรม หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ ส่วนมากจะตอบว่า
- เกิดมาเพื่อใช้กรรม (ทั้งดี/ไม่ดี)
- เกิดมาเพื่อดูโลกทีสดสวย (ยามพบเจอเหตุการณ์ดีๆ ขณะนั้น) เอ แล้วท่านอื่นๆ ล่ะ คิดว่าอย่างไร ช่วยมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยจ้า
เกิดมาด้วยความไม่รู้ แล้วก็ยังสะสมความไม่รู้ต่อไปอีก ถ้าไม่อบรมปัญญาตั้งแต่ชาตินี้ ชาติหน้าก็ไม่รู้อีก เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า ที่ดีและไม่ดี และ เกิดมาเพื่อทำกรรมใหม่ ที่ดีหรือไม่ดี ทำไมต้องเกิด ตราบใดที่เรายังมีกิเลสเราก็ต้องเกิดอีก ถึงจะไม่อยากเกิดก็ต้องเกิดจนกว่าจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉทจึงไม่เกิดอีก
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สัตว์ทั้หลายเกิดเพราะมีกิเลสจึงยังต้องเกิด ไม่ใช่เพราะ ความต้องการของบิดามารดา ถ้ามารดา บิดา มีกรรมที่จะไม่มีลูก จะทำอย่างไรได้ แต่ที่สัตว์เกิดเพราะยังมีกิเลสครับ ลองอ่านข้อความในพระไตรปิฎกนะ
เรื่อง แม้บิดา มารดา ปรารถนาบุตร ก็ไม่จำเป็นต้องมีบุตร เพราะเขาทำกรรมไม่ให้มีบุตร ดังนั้น สัตว์เกิดเพราะมีกิเลส ไม่ใช่เพราะความปรารถนาบุตร
[เล่มที่ 21] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 103
ข้อความบางตอนจาก
โพธิราชกุมารสูตร
[๔๘๘] ครั้งนั้น เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของโพธิราชกุมารสมัยนั้น โพธิราชกุมารประทับยืนคอยรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ที่ภายนอกซุ้มประตู ได้ทรงเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังเสด็จนาแต่ไกล จึงเสด็จออกต้อนรับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเสด็จนำหน้าเข้าไปยังโกกนุทปราสาท
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าหยุดประทับอยู่ที่บันไดขั้นสุด โพธิราชกุมารจึงกราบทูลว่า ขอนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหยียบผ้าขาวไปเถิด พระเจ้าข้า ขอนิมนต์พระสุคตเจ้าทรงเหยียบผ้าขาวไปเถิด พระเจ้าข้า ข้อนี้จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่หม่อมฉันตลอดกาลนาน.เมื่อโพธิราชกุมารกราบทูลเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิ่งเสีย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทอดพระเนตรท่านพระอานนท์ ท่านพระอานนท์ได้ถวายพระพรว่า ดูก่อนพระราชกุมาร จงเก็บผ้าขาวเสียเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงเหยียบแผ่นผ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงอยู่ว่า พระราชกุมารทรงกระทำสักการะใหญ่นี้ เพื่อประสงค์อะไรหนอ จึงทรงทราบว่า ทรงกระทำเพราะปรารถนาพระโอรส ก็พระราชกุมารนั้นไม่มีโอรสทรงปรารถนาพระโอรส ได้ยินว่า ชนทั้งหลายกระทำอธิการ การกระทำที่ยิ่งใหญ่ แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงจะได้สิ่งดังที่ใจปรารถนา ดังนี้. พระองค์ทรงกระทำความปรารถนาว่า ถ้าเราจักได้บุตรไซร้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยของเรา ถ้าเราจักไม่ได้ก็จักไม่ทรงเหยียบ จึงรับสั่งให้ลาดผ้าไว้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงว่า บุตรของพระราชานี้จักบังเกิดหรือไม่หนอ แล้วทรงเห็นว่าจักไม่บังเกิด
เรื่อง กรรมที่ไม่มีบุตร
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ได้ยินว่า ในปางก่อน พระราชานั้นทรงอยู่ในเกาะแห่งหนึ่ง ทรงกินลูกนก ด้วยมีฉันทะเสมอกัน. ถ้าหากมาตุคามของพระองค์จะพึงมีจิตเป็นอย่างอื่นไซร้ ก็จะได้บุตร แต่คนทั้งสอง มีฉันทะเสมอกัน การทำบาปกรรมไว้ ฉะนั้น บุตรของเขาจึงไม่เกิด ดังนี้
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์