โมคคัลลนสูตร
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หนาที่ 183 - 186
๘. โมคคัลลนสูตร
[๕๘] สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาประทับอยู ณ ปาเภสกลา มิคทายวัน ใกลสุงสุมารคีรนคร แควนภัคคะ ก็สมัยนั้นแล ทานมหาโมคคัลลานะนั่งโงกงวงอยู ณ บานกัลลวาลมุตตคาม แควนมคธ พระผูมีพระภาคเจาไดทอดพระเนตรเห็นทานพระมหาโมคคัลลานะนั่งโงกงวงอยู ณ บานกัลลวาลมุตตคาม แควนมคธ ดวยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ลวงจักษุมนุษย ครั้นแลวทรงหายจาก เภสกลามิคทายวัน ใกลสุงสุมารคีรนคร แควนภัคคะ เสด็จไป ปรากฏเฉพาะหนาทานพระมหาโมคคัลลานะ ณ บานกัลลวาลมุตตคาม แควนมคธ เปรียบเหมือนบุรุษมีกําลังเหยียดแขนที่คู หรือคูแขนที่เหยียด ฉะนั้น พระผูมีพระภาคเจาประทับนั่งบนอาสนะ ที่ปูลาดแลว ครั้นแลวไดตรัสถามทานพระมหาโมคคัลลานะวา
ดูกอนโมคคัลลานะ เธองวงหรือ กอนโมคคัลลานะ เธองวงหรือ ทานพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลวา อยางนั้น พระเจาขา. ดูกอนโมคคัลลานะ เพราะเหตุนั้นแหละ เมื่อเธอมีสัญญา อยางไรอยู ความงวงนั้นยอมครอบงําได เธอพึงทําไวในใจซึ่ง สัญญานั้นใหมาก ขอนี้จะเปนเหตุใหเธอละความงวงนั้นได
ถาเธอยังละไมได แตนั้นเธอถึงตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตน ไดสดับแลว ไดเรียนมาแลวดวยใจ ขอนี้จะเปนเหตุใหเธอละความ งวงนั้นได ถายังละไมได แตนั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได สดับมาแลว ไดเรียนมาแลวโดยพิสดาร ขอนี้จะเปนเหตุใหเธอ ละความงวงนั้นได
ถายังละไมได แตนั้นเธอพึงยอนชองหูทั้งสองขาง เอามือลูบตัว ขอนี้จะเปนเหตุใหเธอละความงวงนั้นได ถายังละ ไมได แตนั้นเธอพึงลุกขึ้นยืน เอาน้ําลางตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ ขอนี้จะเปนเหตุใหเธอละความงวงนั้นได
ถายังละไมได แตนั้นเธอพึงทําในใจถึงอาโลกสัญญา ตั้งความ สําคัญในกลางวันวา กลางวันอยางไร กลางคืนอยางนั้น กลางคืน อยางไร กลางวันอยางนั้น มีใจเปดเผยอยูฉะนี้ ไมมีอะไรหุมหอ ทําจิตอันมีแสงสวางใหเกิด ขอนี้จะเปนเหตุใหเธอละความงวง นั้นได ถายังละไมได แตนั้นเธอพึงอธิษฐานจงกรม กําหนดหมาย เดินกลับไปกลับมา สํารวมอินทรีย มีใจไมเปดไปใหภายนอก ขอนี้ จะเปนเหตุใหเธอละความงวงนั้นได
ถายังละไมได แตนั้นเธอพึง สําเร็จสีหไสยา คือนอนตะแคงเบื้องหนาขวา ซอนเทาเหลื่อมเทา มีสติ สัมปชัญญยะ ทําความหมายในการนอน ความสุขในการเอนขาง ความสุขในการเคลิ้มหลับ ดูกอนโมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอยางนี้แล.
ดูกอนโมคคัลลานะ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอพึงศึกษา อยางนี้อีกวา เราจักไมชูงวง (ถือตัว) เขาไปสูตระกูล ดูกอน โมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอยางนี้แล ถาภิกษุชูงวงเขาไปสูตระกูล และในตระกูลมีกรณียกิจหลายอยาง ซึ่งจะเปนเหตุใหมนุษยไมใสใจ ถึงภิกษุผูมาแลว เพราะเหตุนั้น ภิกษุยอมมีความคิดอยางนี้วา เดี๋ยวนี้ใครหนอยุยงใหเราแตกในสกุลนี้ เดี๋ยวนี้ดูมนุษยพวกนี้ มีอาการอิดหนาระอาใจในเรา เพราะไมไดอะไรเธอจึงเปนผูเกอเขิน เมื่อเกอเขิน ยอมคิดฟุงซาน เมื่อคิดฟุงซาน ยอมไมสํารวม เมื่อ ไมสํารวมจิตยอมหางจากสมาธิ.
เพราะฉะนั้นแหละ โมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอยางนี้วา เราจักไมพูดถอยคําซึ่งจะเปนเหตุใหทุมเถียงกัน ดูกอนโมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอยางนี้แล เมื่อมีถอยคําซึ่งจะเปนเหตุใหทุมเถียงกัน ก็จําตองหวังการพูดมาก เมื่อมีการพูดมาก ยอมคิดฟุงซาน เมื่อ คิดฟุงซาน ยอมไมสํารวม เมื่อไมสํารวม จิตยอมหางจากสมาธิ. ดูกอนโมคคัลลานะ อนึ่ง เราสรรเสริญความคลุกคลี่ดวย ประการทั้งปวงไม แตมิใชวาจะไมสรรเสริญ ความคลุกคลีดวย ประการทั้งปวงก็หามิได คือ เราไมสรรเสริญความคลุกคลีดวย หมูชนทั้งคฤหัสถและบรรพชิต ก็แตวา เสนาสนะอันใดเงียบเสียง ไมอื้ออึ่ง ปราศจากการสัญจรของหมูชน ควรเปนที่ประกอบกิจ ของผูตองการความสงัด ควรเปนที่หลีกออกเรน เราสรรเสริญ ความคลุกคลีดวยเสนาสนะเห็นปานนั้น. เมื่อพระผูมีพระภาคเจาตรัสอยางนี้แลว ทานพระมหา โมคคัลลานะทูลถามพระผูมีพระภาคเจาวา ขาแตพระองคผูเจริญ โดยยอ ดวยขอปฏิบัติเพียงไรหนอ ภิกษุจึงเปนผูหลุดพนแลวเพราะ สิ้นตัณหา มีความสําเร็จลวงสวน มีที่สุดลวงสวน ประเสริฐกวา เทวดาและมนุษยทั้งหลาย.
พ. ดูกอนโมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไดสดับวา ธรรมทั้งปวงไมควรถือมั่น ครั้นไดสดับดังนั้นแลว เธอยอมรูชัด ธรรมทั้งปวงดวยปญญาอันยิ่ง ครั้นรูชัดธรรมทั้งปวงดวยปญญา อันยิ่งแลว ยอมกําหนดรูธรรมทั้งปวง ครั้นกําหนดรูธรรมทั้งปวง แลว ไดเสวยเวทนาอยางใดอยางหนึ่ง สุขก็ดี ทุกขก็ดี มิใชสุข มิใชทุกขก็ดี ยอมพิจารณาเห็น ความไมเที่ยงในเวทนาเหลานั้น พิจารณาเห็นความคลายกําหนัด พิจารณาเปนความดับ พิจารณา เห็นความสละคืน เมื่อเธอพิจารณาเห็นอยางนั้นๆ อยู ยอมไมยืดมั่น อะไรๆ ในโลก เมื่อไมยืดมั่น ยอมไมสะดุง เมื่อไมสะดุง ยอม ปรินิพพานเฉพาะตัวทีเดียว ยอมรูชัดวา ชาติสิ้นแลว พรหมจรรย อยูจบแลว กิจที่ควรทํา ทําเสร็จแลว กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้ มิไดมี ดูกอนโมคคัลลานะ โดยยอดวยขอปฏิบัติเพียงเทานี้แล ภิกษุ จึงเปนผูหลุดพนแลวเพราะสิ้นตัณหา มีความสําเร็จลวงสวน เปนผู เกษมจากโยคะลวงสวน เปนพรหมจารีลวงสวน มีที่สุดลวงสวน ประเสริฐกวาเทวดาและมนุษยทั้งหลาย.
จบ โมคคัลลานสูตรที่ ๘
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หนาที่ 186 - 191
อรรถกถาโมคคัลลานสูตรที่ ๘
โมคคัลลานสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้
บทวา จปลายมาโน ความวาพระมหาโมคคัลลนะ เขาไป อาศัยหมูบานนั้น กระทําสมณธรรมในไพรสณฑแหงหนึ่ง มีรางกาย ลําบากเพราะถูกความเพียรในการจงกรมตลอด ๗ วัน บีบคั้น จึงนั่ง โงกงวงอยูในทายที่จงกรม.
บทวา จปลายสิ โน แกเปน นิทฺทายสิ นุ แปลวา เธองวงหรือ
บทวา อนุมชฺชิตฺวา แปลวา ลูบคลําแลว.
บทวา อาโลกสฺ ไดแก ความสําคัญในความสวางเพื่อบรรเทา ความงวง.
บทวา ทิวาสฺ ไดแก ความสําคัญวาเปนกลางวัน
บทวา ยถา ทิวา ตถา รตฺตึ ความวา เธอตั้งความสําคัญวาสวาง ในกลางวันฉันใด เธอตั้งความสําคัญวาสวางนั้น แมในกลางคืน ก็ฉันนั้น. คําวา ยถา รตฺตึ ตถา ทิวา เธอตั้งความสําคัญวา สวาง ในกลางคืนฉันใด เธอตั้งความสําคัญวาสวางนั้นแมในกลางวันฉันนั้น.
บทวา สปฺปภาส เธอพึงใหจิตเปนไปพรอมกับแสงสวาง เพื่อประโยชน แกทิพยจักขุญาณ.
บทวา ปจฺฉาปุเรสฺี ความวา ผูมีสัญญา ดวยสัญญาอันนําไปทั้งขางหนาและขางหลัง.
บทวา อนฺโตคเตหิ อินฺทฺริเยหิ ไดแก ดวยอันทรีย ๕ อันไมฟุงซานไปในภายนอก อันเขามาตั้งอยูในภายในเทานั้น.
บทวา มิทฺธสุข ไดแก ความสุข อันเกิดแตความหลับ พระผูมีพระภาคเจา แสดงกรรมฐานเครื่อง บรรเทาความงวงแกพระเถระ ดวยฐานะมีประมาณเทานี้.
บทวา โสณฺฑ ไดแก งวงคือ มานะ. ในบทวา กิจฺจกรณียานิ นี้ มีวินิจฉัยดังตอไปนี้ กรรมที่ตนจะพึงทําแนแท ชื่อวา กิจฺจานิ กิจกรรมที่เปนหนาที่ทั้งหลาย สวนกิจนอกนี้ ชื่อวา กรณียานิ กิจควรทําทั้งหลาย.
บทวา มงฺกุภาโว ไดแก ความเปนผูไรอํานาจ ความโทมนัส เสียใจ. พระศาสดาตรัสภิกขาจารวัตรแกพระเถระ ดวยฐานะมีประมาณเทานี้. บัดนี้ เพื่อจะทรงชักจูงกัน ใหสิ้นสุดลง พระองคจึงตรัสคําเปนตนวา ตสฺมาติห ดังนี้ บรรดาบทเหลานั้น บทวา วิคฺคาหิกกถ ความวา ถอยคําอันเปนเหตุใหถือเอาผิดเปนไป โดยนัย เปนตนวา ทานยอมไมรูธรรมและวินัยนี้ เพื่อจะเวน การคลุกคลีกับบาปมิตร พระศาสดาจึงตรัสคํามีอาทิวา นาห โมคฺคลฺลาน ดังนี้.
บทวา กิตฺตาวตา นุ โข ความวา ดวยขอปฏิบัติเพียงไรหนอ.
บทวา ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺโต โหติ ความวา ภิกษุชื่อวาตัณหาสังขยวิมุตตะ เพราะเปนผูมีจิตนอมไปในพระนิพพานอันเปนที่ สิ้นตัณหา ทําพระนิพพานนั้นเปนอารมณ พระมหาโมคคัลลานะ ทูลถามวา โดยยอ ดวยขอปฏิบัติเทาไร ภิกษุยอมชื่อวาตัณหาสังขยวิมุตตะ ขอพระองคโปรดทรงแสดงขอปฏิบัตินั้นนั่นแล ที่เปน ปฏิปทาสวนเบื้องตนของภิกษุผูขีณาสพ โดยสังเขปเถิดพระเจาขา.
บทวา อจฺจนฺตนิฏโ ความวา ชื่อวา อจฺจนตา เพราะเปน ไปลวงสวน กลาวคือความสิ้นไปและความเสื่อมไป. ภิกษุชื่อวา อจฺจนฺตนิฏโ เพราะมีความสําเร็จลวงสวน อธิบายวา มีความ สําเร็จโดยสวนเดียว มีความสําเร็จติดตอกัน
บทวา อจฺจนฺตโยคฺคกฺเขมี ความวา ผูมีธรรมเปนแดนเกษมจากโยคะลวงสวนอธิบายวา มีธรรมเปนแดนเกษมจากโยคะเปนนิจ.
บทวา อจฺจนฺตพฺรหฺมจารี ความวา เปนพรหมจารีลวงสวน อธิบายวา เปนพรหมจารีเปนนิจ.
บทวา อจฺจนตปริโยสาโน ความวา มีที่สุดลวงสวนโดยนัยกอน นั่นแหละ.
บทวา เสฏโเทวมนุสฺสาน ความวา ประเสริฐสุดคือ สูงสุด กวาเทวดาและมนุษยทั้งหลาย. พระมหาโมคคัลลานะทูลขอวา ภิกษุชื่อวาเปนปานนี้ ดวยขอปฏิบัติเพียงไร ขอพระองคโปรด ทรงแสดงสําหรับภิกษุนั้นโดยยอเถิดพระเจาขา. ในคําวา สพฺเพ ธมฺมา นาล อภินิเวสาย นี้มีวินิจฉัยดังตอไปนี้ ชื่อวา ธรรมทั้งปวงคือ ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ธรรมทั้งหมด นั้น ไมควรถือไมถูก ไมชอบ ไมเหมาะ ที่จะยึดมั่นดวยอํานาจ ตัณหาและทิฏฐิ. เพราะเหตุไร ธรรมจึงไมควรถือมั่น เพราะธรรม เหลานั้น ไมตั้งอยูโดยอาการที่จะยึดถือไว จริงอยูธรรมเหลานั้น แมตนจะยึดถือเอาวา สังขารทั้งหลายเปนของเที่ยง เปนสุข และ เปนอัตตา ก็ยอมสําเร็จผลวา เปนของไมเที่ยง เปนทุกข และเปน อนัตตาอยูนั่นเอง เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา ไมควรถือมั่นดังนี้.
บทวา อภิชานาติ ความวา ยอมรูยิ่ง คือรู ดวยญาตปริญญาวา สังขารทั้งหลาย ไมเที่ยง เปนทุกข ธรรม ทั้งปวงเปนอนัตตา.
บทวา ปริชานาติ ความวา ยอมกําหนดรู ดวยติรณปริญญา เหมือนอยางนั้นนั่นแหละ.
บทวา ยกิฺจิ เวทน ความวา ยอมเสวยเวทนาอยางใดอยางหนึ่ง แมมีประมาณนอย โดยที่สุดแมประกอบดวยปญจวิญญาณ. ดวยบทนี้พระผูมีพระภาคเจา ทรงยักเยื้องดวยอํานาจเวทนา จึงแสดงการกําหนดอรูปธรรม (นามธรรม) เปนอารมณแกพระเถระ
บทวา อนิจฺจานุปสฺสี ไดแกพิจารณาเห็นโดยความไมเที่ยง. วิราคะ ในบทวา วิราคานุปสฺสีนี้ มี ๒ คือขยวิราคะ ความคลายกําหนัด เพราะสิ้นไป ๑ อัจจันตวิราคะ ความคลายกําหนัดเพราะลวงสวน ๑ ในสองอยางนั้น วิปสสนาอันเห็นความสิ้นไปแหงสังขารทั้งหลาย โดยความสิ้นก็ดี มรรคญาณ คือการเห็นความคลายกําหนัดลวงสวน คือพระนิพพาน โดยความคลายกําหนัดก็ดี ชื่อวา วิราคานุปสสนา การพิจารณาเห็นโดยความคลายกําหนัด. บุคคลผูพรั่งพรอมดวย วิราคธรรมทั้ง ๒ นั้น ชื่อวา วิราคานุปสสี ผูตามเห็นความคลาย กําหนัด. พระผูมีพระภาคเจา ทรงหมายถึงวิราคะนั้น จึงตรัสวา วิราคานุปสฺสี อธิบายวา บุคคลผูพิจารณาเห็นความคลายกําหนัด. แมใน นิโรธานุปสสีบุคคล ก็นัยนี้เหมือนกัน. เพราะแม นิโรธ ความดับ ก็มี ๒ เหมือนกัน คือขยนิโรธ ความดับเพราะ สิ้นไป อัจจันตนิโรธ ความดับลวงสวน. ในบทวา ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี นี้ โวสสัคคะ ความสละ ทานเรียกวา ปฏินิสสัคคะ ความสละคืน. ความสละนั้น ก็มี ๒ อยาง คือ ปริจจาคโวสสัคคะ ความสละดวย การบริจาค ปกขันทนโวสสัคคะ ความสละดวยการแลนไป. บรรดา ความสละทั้ง ๒ นั้น วิปสสนา ชื่อวา ปริจจาคโวสสัคคะ ความสละ ดวยการละ. จริงอยู วิปสสนานั้น ยอมละไดซึ่งกิเลสและขันธ
ดวยอํานาจ ตทังคปหาน. มรรค ชื่อวา ปกขันทนโวสสัคคะ ความ สละดวยการแลนไป ดวยวา มรรคนั้น ยอมแลนไปสูพระนิพพาน โดยเปนอารมณ. อีกอยางหนึ่งมรรคนั้น ชื่อวา โวสสัคคะ เพราะ เหตุแมทั้ง ๒ คือ เพราะขันธและกิเลส ดวยอํานาจสมุจเฉทปหาน และเพราะการแลนไปในพระนิพพาน เพราะเหตุนั้น วิปสสนา จึงชื่อวา ปริจจาคโวสสัคคะ สละดวยการปริจาค เพราะวิปสสนา ยอมละกิเลสและขันธ และมรรคที่ชื่อวา ปกขันทนโวสสัคคะ ความสละดวยการแลนไป เพราะจิตยอมแลนไปในความดับสนิท คือนิพพานธาตุ ก็เพราะเหตุนี้ คําทั้งสองนี้จึงจัดเขาไดในมรรค บุคคลผูพรั่งพรอมดวยวิปสสนาและมรรคทั้งสองนั้น ยอมเปนผู้ ชื่อวา ปฏินิสสัคคานุปสสี ผูตามเห็นความสละคืน เพราะประกอบ ดวยปฏินิสสัคคานุปสสนานี้. พระผูมีพระภาคเจาทรงหมายถึง บุคคลนั้น จึงตรัสอยางนี้.
คําวา น จ กิฺจิ โลเก อุปาทิยติ ความวา ภิกษุนั้น ยอม ไมยึด ไมถือเอา ไมจับตองธรรมชาติอะไร คือสังขารแมอยางหนึ่ง ดวยอํานาจตัณหา. คําวา อนุปาทิย น ปริตสฺสติ ความวา เมื่อไม ถือมั่น ยอมไมสะดุง เพราะความหวาดสะดุงดวยอํานาจตัณหา.
บทวา ปจฺจตฺต เยว ปรินิพฺพายติ ความวายอมปรินิพพานดวยกิเลสปรินิพพาน ดวยตนทีเดียว ก็ปจจเวกขณญาณของภิกษุนั้น พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงโดยนัยเปนตนวา ขีณา ชาติ ชาติสิ้นแลว ดังนี้. ดังนั้น พระผูมีพระภาคเจา ถูกพระมหาโมคคัลลานะ ทูลถามถึงปฏิปทา อันเปนสวนเบื้องตน ของพระขีณาสพโดยยอแลว จึงตรัสโดยยอ เหมือนกัน. แตพระสูตรนี้ แหงพระโอวาท เปนทั้งวิปสสนา สําหรับพระเถระ พระเถรนั้น เจริญวิปสสนาในพระสูตรนี้ แลวบรรลุพระอรหันต ดังนี้แล.
จบ อรรถกถาโมคคัลลานะสูตรที่ ๘