ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๙๑

 
khampan.a
วันที่  17 ม.ค. 2564
หมายเลข  33592
อ่าน  1,481

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๙๑
* *



~ ถ้ามีใครชวนใครไปปฏิบัติ ก็น่าจะถามว่าไปทำอะไร ไปทำไม ซึ่งคำตอบไม่ตรงกับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีความเข้าใจพระธรรมเลย ก็ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดปฏิปัตติ (ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) ได้ เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทุกคำของพระองค์ลึกซึ้ง และต้องเข้าใจถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทุกคำที่ตรัส กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปปฏิบัติ และในครั้งพุทธกาลก็ไม่มีสำนักปฏิบัติเลย แล้วทำไมสมัยนี้ มี? ยุคนี้ มีสำนักปฏิบัติมากมาย แต่ในสมัยพุทธกาล ไม่มีสำนักปฏิบัติ เพราะว่า มีความเข้าใจว่าธรรม เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) และการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่ใช่เราด้วย แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ ซึ่งก่อนที่จะได้ฟังธรรม ไม่มี (ความเข้าใจ) เลย แต่เมื่อได้เข้าใจหลังจากที่ฟังแล้ว ก็รู้ว่า ไม่มีเรา พระพุทธเจ้าตรัสหรือเปล่า ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทรงแสดงว่าทุกอย่างที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น แล้วจะให้ใครทำอะไรได้หรือ? เพราะฉะนั้น ก็สมควรอย่างยิ่งที่ใครที่เมื่อถูกชักชวนหรือบอกว่าให้ไปปฏิบัติธรรม ก็น่าจะสอบถาม ว่า ปฏิบัติคืออะไร และให้ไปทำอะไร เพื่ออะไร แล้วจะรู้อะไร?

~ การประพฤติปฏิบัติด้วยความเข้าใจผิดหลงผิด ก็จะแสวงหาในทางที่ผิด ล่วงเลยไปสู่ความเห็นผิดต่างๆ เพิ่มขึ้น


~ เวลานี้ไม่เข้าใจอะไรเลย และหนทางที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ มีไหม? ก็ต้องมี หนทางนั้นคืออะไร? คือ ความเข้าใจมาจากการฟังพระธรรม ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นได้

~ โลภะ (ความติดข้องต้องการ) เห็นยากอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง แล้วอะไรจะละโลภะได้ ก็ต้องเป็นปัญญา แล้วปัญญาอยู่ไหน?

~ ภาวนา คือ การอบรมปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งอยากจะรู้ หรือว่าไปท่องบ่นว่าขอให้ปัญญาเกิด แต่ไม่ใช่เลย เพราะปัญญาจะเกิดจากการไปนั่งดู ไม่ได้ แต่ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

~ คนที่ปฏิเสธปริยัติหรือสละปริยัติ แล้วใครทรงแสดงพระปริยัติ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระปริยัติ และผู้ที่กล่าวว่าสละปริยัติ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง ว่า ทั้งหมดที่มี ไม่ใช่เรา แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้นโดยละเอียดอย่างยิ่งในขณะนี้ตามปกติ เพราะว่าทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ละความไม่รู้แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงจนสามารถที่จะดับความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

~ หลงว่าตัวเองรู้ ก็ชักชวนคนอื่นให้ทำสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นโทษอย่างยิ่ง

~ แต่ละคนที่กล่าวคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นผู้ที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและกล่าวคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ซึ่งจะทำให้หลายๆ คนได้พ้นจากการที่จะสะสมความเห็นผิดต่อไปซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว

~ เพียงหนึ่งขณะจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ที่เรียกว่าตาย ไม่นานเลย แค่หนึ่งขณะจิตนี้เกิดขึ้นแล้วดับ จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อเป็นชาติหน้าต่อไปทันที ไม่มีทรัพย์สมบัติที่เคยมีในชาตินี้ ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา เพราะฉะนั้น ใครจะแสวงหาสักเท่าไหร่ก็ตาม ไม่มีทางที่จะเป็นเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย และพร้อมที่จะจาก คือ หมดสิ้นไปเมื่อไหร่ได้หมดเลย

~ พุทธานุสสติ คือ สติที่เกิดขึ้นระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เคยเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แม้จะพูดคำว่า "พุทฺโธ" ไปทั้งวัน ก็ไม่เข้าใจอะไรเลย

~ แม้เพราะเหตุนี้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรม และ แม้เพราะเหตุนี้ที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรม เราจึงมีโอกาสได้ฟังและเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

~ ต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรมแล้วก็ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับความเข้าใจพระธรรม ตลอดชีวิต จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าสิ่งอื่นไม่สามารถที่จะนำไปได้เลย นอกจากกุศลและอกุศลติดตามไป

~ ใครก็ตามอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่เขาสะสมมาที่จะสามารถเข้าใจธรรมได้ ก็เป็นโอกาสที่เขาจะได้เข้าใจ จึงมีการเผยแพร่ความเข้าใจให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระศาสนา


~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้เราเกิดอกุศล แต่ตรัสให้รู้ว่าสิ่งใดควร และสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่คำชม ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญสำหรับเรา แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ สามารถที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา แล้วถ้าไม่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ไม่สืบทอดพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว พระธรรมก็อันตรธาน (สูญสิ้น)

~ ความรู้ทุกอย่างเป็นประโยชน์ ไม่เสียหายเลย แต่ว่าความรู้จริงที่เป็นประโยชน์กว่าสิ่งใดทั้งสิ้น ก็คือ ความรู้ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว

~ หนทางของการอบรมเจริญปัญญา ทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละหนึ่งว่าไม่ใช่เราและไม่สามารถจะไปทำให้อะไรเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น แต่เกิดต่อเมื่อมีปัจจัยที่สมควร

~ ขณะที่อกุศลธรรมทั้งหลายเกิด ไม่สามารถทำให้เข้าใจธรรมได้ แต่ก็อย่าประมาทปัญญา เพราะว่า ขณะนี้กำลังเกิดปัญญา ท่ามกลางอกุศล อกุศลมากกว่าเยอะ แต่ปัญญาก็ยังเกิด เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เจริญขึ้น ไม่ใช่เราไปทำเลย เพราะฉะนั้น ขาดปัญญาไม่ได้ และปัญญาก็เกิดเองไม่ได้ นอกจากฟังพระธรรมและไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ คนที่มั่นคงในธรรม ไม่ประมาทในกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แต่ก่อนอาจจะคิดถึงแต่กุศลใหญ่ๆ ที่จะทำ แต่พอฟังธรรมแล้ว แม้หนึ่งขณะที่เป็นกุศลก็ไม่พลาดที่จะทำถ้าขณะนั้นเห็นประโยชน์เห็นคุณค่าของกุศลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจธรรมได้ ไม่ใช่เรา แต่ปัญญาเท่านั้นที่กำลังทำหน้าที่ แม้แต่คิดถูกก็เป็นปัญญาระดับหนึ่ง

~ ไม่ค่อยจะขอโทษใคร แต่พอมีความเข้าใจถูก ถ้าเราทำผิด เราก็ขอโทษ เป็นกุศลไหมขณะที่ขอโทษ ทำให้ผู้อื่นโล่งใจ

~ เพราะไม่เข้าใจ เลยวุ่นวายกันด้วยอกุศล


~ จริงๆ แล้ว เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้มานานเท่าไหร่ แค่วันนี้ความไม่รู้ก็มากแล้วถอยย้อนไปอีกเท่าไหร่ ความไม่รู้จะมากสักแค่ไหน แล้วอะไรจะไปละความไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ความรู้ และความรู้จะเกิดขึ้นทันทีมากมายมหาศาลไม่ได้ ต้องเป็นความจริงใจความตรงและความเห็นถูก ว่า ถูกคือถูก ผิดคือผิด ถ้ายังเห็นว่าผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย

~ ไม่เว้นโอกาสที่จะเป็นกุศล (ความดี) เพราะปัญญาเห็นคุณของกุศล ถ้าขณะใดกุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศล ประมาทแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญา ขณะนั้นปัญญาต่างหาก ที่ทำให้เจริญกุศลทุกประการ ที่เป็นสัพพสัมภารภาวนา (เจริญกุศลทุกประการ)

~ ให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต้องไม่ลืม ให้ไม่ใช่รับ ให้คือให้ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ให้สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ให้ทำไม ใช่ไหม? แต่เมื่อสิ่งนั้นเป็นประโยชน์จึงสมควรที่จะให้ ด้วยเหตุนี้ ต้องรู้สภาพของจิตว่า ขณะนั้นเป็นจิตซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่สามารถที่จะเห็นแก่คนอื่น สละให้เขาได้

~ การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความต้องการ กับ การกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยการสละเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ต่างกันมาก

~ ให้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการให้ความเข้าใจให้ความรู้ในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าไม่มีคนบอกจะรู้ไหมว่า มีสิ่งที่ประเสริฐกว่าการให้อื่นๆ ด้วย ต่อเมื่อได้ฟังแล้ว จึงได้มีความเข้าใจว่า ประเสริฐจริงๆ ที่ผู้ให้ ให้สิ่งซึ่งคนอื่นให้ไม่ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำที่ตรัสแล้วเป็นที่พึ่ง ที่จะทำให้คนที่ได้ฟังรู้คุณค่ามหาศาล

~ ทานสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด คือธรรมทาน ให้คนอื่น ไม่รู้จักกันก็ได้ ใช่ไหม? แต่ว่าพร้อมที่จะให้เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ไม่เลือกว่าจะต้องเป็นใครทั้งนั้น แต่ก็เห็นประโยชน์ ที่ใครก็ตามที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังสามารถเข้าใจถูก ผู้นั้นมีจิตอนุเคราะห์ มีความหวังดีเป็นมิตรที่หวังดีที่จะให้เขาได้รับประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์คือได้เข้าใจคำจริง

~ ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว เราก็จะเห็นประโยชน์มหาศาลที่เกิดมาแล้วก็ตายไป ก่อนตาย มีโอกาสได้เข้าใกล้พระธรรม ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความเข้าใจธรรมซึ่งเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะฉะนั้น อะไรคงไม่มีค่าที่จะทำให้เราต้องกลายเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสิ่งซึ่งไม่ควรที่จะให้ถูกทำลายไปด้วยความไม่รู้

~ ใครทำอกุศลกรรม สงสารไหม? เริ่มเห็นใจ ว่าวันหนึ่งกรรมนั้นต้องให้ผล อย่างที่เรารู้เหตุการณ์ต่างๆ มีคนถูกทำร้ายบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย จะไปเจ็บแทนก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า กรรมทำให้เกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามกรรม

~ เมื่อฟังพระธรรมเข้าใจแล้ว ก็จะเป็นปัจจัยทำให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งกาย ทั้งวาจาด้วย

~ ต้องไม่ลืม พระธรรมวินัย ยิ่งเปิดเผย ยิ่งรุ่งเรือง เพราะว่า จากการที่ไม่เปิดเผย ใครจะเข้าใจได้ แต่เมื่อเปิดเผย มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น พระธรรมวินัยก็รุ่งเรือง เพราะมีคนเข้าใจเพิ่มขึ้น


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๙๐



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
natthayapinthong339
วันที่ 17 ม.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
mammam929
วันที่ 17 ม.ค. 2564

กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระธรรมยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 17 ม.ค. 2564

น้อมกราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
petsin.90
วันที่ 17 ม.ค. 2564

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 17 ม.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kukeart
วันที่ 17 ม.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เจียมจิต
วันที่ 17 ม.ค. 2564

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Kalaya
วันที่ 18 ม.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 18 ม.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
นสิ
วันที่ 18 ม.ค. 2564

กราบสาธุๆ ๆ คะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
panasda
วันที่ 19 ม.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ