สอบถามถึงสิ่งที่ควรเจริญและปฏิบัติเมื่อยังเป็นคฤหัสถ์

 
มือใหม่หัดธรรม
วันที่  24 ม.ค. 2564
หมายเลข  33619
อ่าน  624

ขออนุญาตเรียนถามท่านทั้งหลายค่ะ หนูยังเป็นนิสิตที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย หลังจากพบเจอเหตุการณ์ที่น้องสาวของหนูเสียชีวิตลงนั้น เกิดความคิดความรู้สึกที่ว่าจริง ๆ แล้วนั้นชีวิตนั้นแสนสั้น ไม่เที่ยงเลยแม้แต่น้อย ได้มีโอกาสฟังธรรม ศึกษาพระธรรมมากขึ้นกว่าเดิม จนใน ณ ช่วงนี้นั้นมีความไม่ปรารถนาที่จะศึกษาหรือเรียนในมหาวิทยาลัยต่อสักเท่าไร เนื่องจากเห็นว่าสิ่งที่กำลังเรียนกำลังศึกษาอยู่นั้น เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญาในทางโลก แต่ไม่ได้เกิดปัญญาในทางธรรมแม้แต่น้อย

หนูอยากจะใช้เวลาที่มีอยู่ในการศึกษาพระธรรม ให้ลึกซึ้งและเข้าใจมากกว่านี้ แต่ในความเป็นจริงที่ยังต้องใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันนี้นั้น หากไม่มีปริญญาบัตรจากการสำเร็จการศึกษา ก็เป็นเรื่องที่ยากนักต่อการที่จะประกอบอาชีพต่าง ๆ เพื่อให้มีปัจจัยเพียงพอต่อการดำรงชีพและเลี้ยงดูบิดามารดา

หนูใคร่ขอเรียนถามว่าควรจะเจริญหลักธรรมสิ่งใดและอย่างไร เพื่อให้ไม่สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่งคะ หนูอยากใช้เวลาที่เหลือศึกษาพระธรรมให้เข้าใจลึกซึ้งมั่นคง มีความเจริญปัญญาในทางธรรม แต่ก็อยากจะสำเร็จการศึกษาเพื่อที่จะได้เป็นเส้นทางนำไปสู่การประกอบอาชีพนำเงินมาเลี้ยงดูบิดามารดา ทำหน้าที่ลูกที่ดีให้พวกท่านภูมิใจด้วย ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ศึกษาธรรมได้ เข้าใจธรรมได้ โดยเข้าใจในชีวิตประจำวัน เพราะธรรมมีอยู่ชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ไปอยู่ที่วัด ไปอยู่ที่สำนักปฏิบัติ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นพ่อค้า ได้ฟังธรรมก็บรรลุ ท่านไม่ได้จะไปบวช จะไม่เรียนหนังสือ ปัญญาเกิดได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร บวช ไม่บวช เรียนไม่เรียน ดังนั้นฟังพระธรรม อบรมปัญญาได้ ตามเวลาที่สะดวก ดั่งคำบรรยายท่าน อ.สุจินต์ เรื่อง งานอดิเรกที่ดีที่สุด เชิญอ่าน ครับ

งานอดิเรกที่ดีที่สุด

ท่าน อ.สุจินต์   ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “งานอดิเรก” ไม่มีใครบังคับให้ทำเลย ใช่ไหมคะ แต่เป็นเพราะความสนใจ เพราะฉะนั้นเรามีงาน ทุกคนเกิดมาในวัยทำงานก็ทำงานไป แต่จะเป็นอะไรก็ตามแต่ บางคนชอบเล่นไพ่ บางคนก็ชอบเล่นกอล์ฟ อะไรก็แล้ว ดนตรี เป็นต้น นั่นคืองานอดิเรก จะบอกว่าเราไม่มีเวลาสำหรับงานอดิเรกที่เราชอบหรือ ใช่ไหมคะ พอว่างนิดหนึ่ง เราก็หันไปหาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือฟังเพลง อะไรก็ตามแต่

เพราะฉะนั้น เวลาที่มีสำหรับผู้ที่มีความสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขาก็จะหันไปหาสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะศึกษาธรรม หรือฟังธรรม ไม่มีเวลา นี่ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าเหมือนงานอดิเรกซึ่งไม่มีใครบังคับ แต่เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่างานอื่นๆ งานทั้งหลายก็นำมาซึ่งเรื่องราว อย่างคนที่คิดเรื่องไฟฟ้า รถไฟ เครื่องบิน จนกระทั่งวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ พวกนี้ก็เป็นงานของเขา  ซึ่งเขาก็สะสมมา ทำไมคนอื่นไม่ทำล่ะ คนนี้ทำด้านนี้

เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็แต่ละอัธยาศัย คนหนึ่งก็ตัดเสื้อ คนหนึ่งก็ทำผม ก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นคนที่จะฟังธรรม ก็เป็นอย่างหนึ่งซึ่งไม่แปลก เพราะว่าได้สะสมศรัทธาที่จะรู้ว่า ชีวิตนี้สั้น เกิดมาตายได้เลยทันที ๒ เดือน ๓ เดือน ปีหนึ่ง ๑๐๐ ปีก็มี ก็แล้วแต่ แต่ว่าระหว่างนั้นทำอะไรที่คิดว่าเหมาะสมควรมีประโยชน์ที่สุดแล้วหรือต่อการที่จะต้องตาย เพราะอย่างไรก็ต้องตาย ใช่ไหมคะ เราจะทำเพื่อประเทศไทย เกิดใหม่เราก็ไม่รู้ว่า จะอยู่ที่ประเทศไทยหรือเปล่า ใช่ไหมคะ ทำไม่ใช่เฉพาะเจาะจงประเทศไทย ทำเพื่อโลก เราเกิดอีก เราจะอยู่โลกไหนก็ยังไม่รู้เลย

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีประโยชน์ในระหว่างที่ยังไม่จากโลกนี้ไป ซึ่งทุกคนจากแน่ และประโยชน์นั้นเป็นประโยชน์แก่ตนเองด้วย เมื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง คือ คุณความดีก็ต้องเป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วย แล้วทำไมเราจึงไม่คิดที่ว่า ที่เรากำลังทำงานอยู่ทุกวันนี้ เป็นความดีหรือเป็นอะไร

เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมแล้ว ก็เป็นส่วนพิเศษของความสนใจที่จะได้ประโยชน์ที่ว่า มีโอกาสจะได้เข้าใจทุกอย่าง เพราะว่าถ้าพรุ่งนี้ตาย ทำไงคะ ทำงานแค่นี้จบแล้ว พอใจแล้วที่ได้ทำแค่นี้ แล้วก็ย่นย่อเกิดกับตายให้ติดกัน ง่ายมากเลย ไม่มีอะไรในระหว่างนั้นเลย แต่เพราะเกิดกับตายนี่ห่างกัน จนกระทั่งมีเวลาตรงกลาง ส่วนใหญ่สะสมสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งเรามองเห็นเลยว่า พอใครแสดงการกระทำอะไรที่ไม่ดี เรารู้ว่านี่ไม่ดี แต่ความไม่ดีมีตั้งแต่อย่างที่ออกมาทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง แต่ถึงยังไม่ออกเลย ขณะนั้นก็ไม่ดี โดยที่ไม่รู้ คิดว่าดีแล้ว แต่พอมาถึงพระพุทธเจ้าท่านสามารถมีพระญาณที่ละเอียดยิ่งที่จะรู้การสะสมของแต่ละคนว่า ชาติก่อนๆ ๆ ซึ่งเราก็เคยเกิดมาแล้ว และตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก เป็นอะไร อยู่ที่ไหน และสะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน

เพราะฉะนั้น ที่เราคิดว่าเราดีแล้ว ไม่ใช่ดี เพราะอะไรคะ เพราะไม่รู้ความจริง ไม่ใช่กล่าวง่ายๆ ลอยๆ ว่าไม่ดีๆ แต่ไม่มีเหตุผล ดีก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครในทางที่ทุจริตเบียดเบียน นั่นคือความดี คือละเว้นสิ่งที่ทุจริต แต่ขณะที่กำลังละเว้น เราก็ยังมีความไม่ดี ซึ่งคนจะไม่รู้เลยว่า ความไม่ดีนั้นคืออะไร ความไม่ดีนั้นคือไม่รู้ความจริง เกิดมา มาจากไหน อยู่ดีๆ ก็เกิดมาอย่างนั้นหรือ หรือถ้าเป็นคนที่มีเหตุผล เขาก็จะต้องรู้ว่า ต้องมีเหตุที่ให้เกิด และเหตุที่ให้เกิดหลากหลายมาก คนเกิดมาก็ยังไม่เหมือนกันเลย อะไรทำให้แต่ละคนต่างกัน บางคนเป็นเศรษฐี บางคนพิการ บางคนนิสัยดี บางคนทั้งๆ ที่เป็นเศรษฐี นิสัยก็แย่มาก ทั้งๆ ที่มีคนยากจน นิสัยก็ดี

นี่ก็เป็นสิ่งที่แต่ละคนไม่ได้รู้เลยว่า ต้องมีเหตุแน่นอน และระหว่างที่เรายังเกิดอยู่ เราก็กำลังสะสมเหตุนั้นๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนว่า แท้ที่จริงทุกขณะมีเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น และถ้าเป็นความดีและความชั่วนั้น ไม่ได้ไปไหนเลยสะสมอยู่ในจิต ใครจะลักขโมยออกไปไม่ได้เลย เพราะว่าจิตเป็นสิ่งที่อยู่ภายในที่สุด ไม่มีอะไรที่จะในยิ่งกว่าจิต

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 24 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นเรื่องที่เบาสบาย เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ในแต่ละวัน ชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมดำเนินไปแตกต่างกัน ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวและไม่เหมือนกันด้วย

ธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งมีให้ศึกษาอยู่ตลอด ศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ชีวิตของคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือนมีความเป็นไปแตกต่างกันตามการสะสม ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอริยบุคคลในอดีต เป็นพระราชาก็มี เป็นเศรษฐีก็มี เป็นพ่อค้าก็มี เป็นคนรับใช้ก็มี เป็นต้น ล้วนมีภาระหน้าที่การงานทั้งนั้น แต่ท่านเหล่านั้น ก็มีการฟังพระธรรมศึกษพระธรรม อบรมเจริญปัญญา จึงสามารถดับกิเลสได้

สิ่งสำคัญ คือ จะให้ความสำคัญกับการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญามากน้อยแค่ไหน ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม ย่อมให้เวลากับพระธรรม เป็นผู้ใคร่ในการฟังพระธรรมอยู่เสมอ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ก็ตาม ฟังเมื่อใด เข้าใจเมื่อใด ประโยชน์เกิดแล้วในขณะนั้น ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
lokiya
วันที่ 24 ม.ค. 2564

จะทำกิจใดก็ตามแต่วันหนึ่งวันหนึ่งขอให้อย่าได้ขาดการฟังธรรม เหมือนท่านมหากาฬอุบาสก ซึ่งท่านเป็นพระโสดาบันแล้วแต่ก็ยังไม่ขาดการฟังธรรม

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก 

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มือใหม่หัดธรรม
วันที่ 24 ม.ค. 2564

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้คำตอบกับหนูค่ะ และขออนุโมทนาในการอธิบายเพิ่มเติมด้วยค่ะ หนูจักหมั่นฟังธรรมและศึกษาให้รู้ เข้าใจและมั่นคง เพื่อให้เกิดปัญญาและสัมมาทิฏฐิสะสมไปเรื่อยๆค่ะ

ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมค่ะ ในขณะที่รู้สึกเสียใจเมื่อหวนระลึกถึงน้องสาวที่จากไปแล้วมีความเศร้าโศก ควรจะพิจารณาธรรมะที่เกิดขึ้นกับ ณ อารมณ์นั้นหรือตอนนั้นอย่างไรคะ อีกคำถามหนึ่งคือ คุณแม่หนูนั้นยังคงมีความเศร้าเสียใจและทุกข์เป็นอย่างมากที่เสียลูกไป (น้องสาวหนูเสียไปด้วยการทำอัตวินิบาตกรรม) หนูควรจะพูดหรืออธิบายกับท่านอย่างไรให้ท่านได้คลายความทุกข์นั้นลงได้บ้างคะ (คุณแม่หนูไม่มีความรู้และรู้จักในด้านพระธรรมหรือพุทธศาสนาสักเท่าไรค่ะ)

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 26 ม.ค. 2564

เรียนความเห็นทื่ 6 ครับ

พระธรรมของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง และ ให้รู้ความจริงว่าสะสมกิเลสมากมาก สะสมเหตุที่จะทำให้เสียใจมามาก คือ กิเลสประการต่างๆ เพราะไม่รู้ความจริง คือ ไม่มีปัญญา ดังนั้น ยังไม่มีเงินจะซื้อของ แต่บอกให้ไปซื้อ ก็ไม่ได้ของ เช่นกัน ถ้าไม่มีปัญญา เข้าใจธรรมเลย บอกว่าอย่าเสียใจนะ เสียใจไม่ดี ทำร้ายตัวเอง บอกให้ปล่อยวาง แต่ ไม่มีปัญญา กิเลสเต็ม บอกไปก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ดังนั้น หนทางเดียว คือ สะสมปัญญาความเห็นถูกไปทีละน้อย ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในเวปนี้ ปัญญาก็จะค่อยๆเจริญขึ้นและเข้าใจความจริงว่าทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เราเป็นธรรม อันเป็นหนทางละกิเลสละทุกข์ที่แท้จริงครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Tuangporn
วันที่ 27 ม.ค. 2564

กราบอนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านที่ร่วมสนทนาธรรมค่ะ

สาธุค่ะ

 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ