สิ่งที่สะสมในจิต

 
ชิงช้าชาลี
วันที่  25 ม.ค. 2564
หมายเลข  33628
อ่าน  649

บุคคลที่เกิดมาร่ำรวยในชาตินี้ น่าจะเกิดจากจิตอันมีการละเป็นที่ตั้งมาแต่ชาติก่อนๆ เหตุใดบางบุคคลพอมาชาตินี้ แม้ได้รับวิบากกรรมดีเป็นความร่ำรวย แต่กลับกลายเป็นผู้มีความโลภมาก ไม่รู้จักพอ ทุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์หรืออื่นๆ อยากทราบว่า คุณความดีต่างๆที่เคยได้มาแล้ว(ทำได้แล้วเช่นการละ)ไม่ถูกสะสมเพื่อความเจริญขึ้นมีกำลังแข็งแกร่งขึ้น เฉกเช่นการสะสมความเข้าใจถูกเหรอคะ ทำไมความเข้าใจถูกสะสมได้ล่ะคะ (หรือกรณีบุคคลที่เกิดมารูปงาม เพราะเคยทำกุศลบางประเภทมา แต่ชาตินี้กลับไม่เหลือริ้วรอยความประพฤติของกุศลอันนั้นเลยก็มี) แอบประมวลจากการฟังท่านอาจารย์สอน คิดเอาเองว่า คงเป็นทีละหนึ่งของจิตที่มากมายมหาศาลจนจับต้นชนปลายไม่ได้ เหตุอเนกผลอนันต์ แต่ท่านอาจารย์ไม่ให้คิดเอาเอง ขอความกรุณาท่านผู้รู้ทั้งหลายโปรดชี้แนะเพื่อความกระจ่างด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ผู้ที่ทรัพย์สมบัติมากก็เพราะกรรมดีอย่างใดอย่างหนึ่งให้ผล มีการให้ทาน เป็นต้น แต่ไม่ลืมว่า ผู้ที่จะละความตระหนี่ได้หมดสิ้น คือ พระโสดาบัน ดังนั้น ต่อจะให้ทานสักเท่าใด ความตระหนี่ ที่เป็นกิเลสที่สะสมมากในสังสารวัฏฏ์ ก็ไม่สามารถจะละได้  เพราะ ปัญญาเท่านั้นที่จะละความตระหนี่ที่แท้จริง เราไม่รู้เลยในความละเอียดของความตระหนี่ ว่ารากเหง้าต้นเหตุของความตระหนี่ คือ ความไม่รู้ที่ยึดถือว่าเป็นเรา และ รากเหง้าของความตระหนี่ คือ ความตระหนี่ในขันธ์ ตระหนี่ในสภาพธรรม ยึดถือว่ามีเรา ปล่อยไม่ได้ สละไม่ได้เลยในความเป็นเรา นี่คือความตระหนี่ที่แท้จริง ทำให้สะสมความตระหนี่อื่นๆ ไม่ว่าเกิดในภพภูมิใดของปุถุชน ก็มีความตระหนี่พร้อมเกิดได้มากๆเสมอ ครับ นี่เป็นธรรมดาของธรรม เช่นเดียวกับการมีรูปร่างสวยงาม ที่เกิดผลของกรรมดี มีการรักษาศีล เป็นต้น ในความเป็นจริง เราจะต้องแยกระหว่าง ส่วนที่เป็นผลของกรรม ที่นำมาซึ่งรูปร่างที่ดี หน้าตาดี กับ ส่วนที่สะสมไว้ในจิต เป็นอุปนิสัย ว่าแยกขาดจากกัน ซึ่งการมีรูปร่างหน้าตาดี ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผลของการรักษาศีลก็ได้ ส่วน อุปนิสัย เกิดจาก การที่เกิดกุศลกรรม อกุศลกรรม ทำให้มีอุปนิสัยแตกต่างกันไป โดยอาศัยกิเลสที่สะสมมาเป็นปัจจัย และ แม้ว่า บุญ คือ การรักษาศีลให้ผล แต่ คนนั้นนิสัยไม่ดี เพราะเหตุว่า บุญ คือ การรักษาศีลเกิดได้ ไม่ว่ากับใคร ซึ่งอาจเป็นการทำกุศล คือ การรักษาศีลเพียงครั้งเดียว เป็นปัจจัยให้บุคคลนั้น มีรูปร่าง หน้าตาดี แต่ นิสัยที่ไม่ดี เกิดจาก อกุศลจิตที่เกิดบ่อยๆ ในอดีตชาติ ครับ ทำให้ แม้จะหน้าตาดี แต่นิสัยไม่ดีได้เป็นธรรมดา

ดังนั้น รูปร่าง หน้าตา จึงไม่เป็นประมาณ คือ ไม่ใช่เครื่องตัดสินว่า คนเราจะดี หรือ ชั่ว แต่ตัดสินที่การกระทำในปัจจุบัน ทั้งทาง กาย วาจาและใจ และคุณธรรมภายในจิตใจ ของบุคคลนั้น ครับ ซึ่งพระพุทธเจ้า ได้ตรัสความงามไว้ครับว่า ความงามที่ประเสริฐ คือ ความงามของคุณความดี สภาพธรรมฝ่ายดี คือ กุศลธรรม ชื่อว่าเป็นความงามที่แท้จริง ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ชิงช้าชาลี
วันที่ 26 ม.ค. 2564

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 26 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่สะสมอยู่ในจิตไม่สูญหายไปไหนเลย ระหว่าง ดี กับ ชั่ว ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน และแต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่ง เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเลย ซึ่งเมื่อมีความมั่นคงในเหตุในผลก็จะเข้าใจได้ว่า ผลที่เกิดขึ้น ก็ต้องมาจากเหตุ ผลที่ดีเกิดจากเหตุที่ดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นผลที่ไม่ดี ก็ต้องมาจากเหตุที่ไม่ดี แต่หลังจากนั้น อะไรเกิดขึ้น ดี หรือ ไม่ดี ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ถ้าอกุศลมีมากมีกำลัง  อกุศลก็เกิดขึ้นเป็นไป  ถ้าสะสมเหตุปัจจัยของกุศลที่สามารถจะเกิดขึ้นเป็นไปได้ กุศล ก็เกิดขึ้นได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ธรรม ก็พิสูจน์ได้ในชีวิตประจำวัน แม้แต่เราเอง เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดี เป็นเพราะอะไร ก็เพราะธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามการสะสม นั่นเอง จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่า จะประมาทกำลังของอกุศลไม่ได้เลยทีเดียว

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้นที่จะค่อยๆ กล่อมเกลาจิตใจของผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาให้น้อมไปในทางที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดี ที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ คล้อยไปตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆท่านครับ...  

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ