ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๙๖

 
khampan.a
วันที่  21 ก.พ. 2564
หมายเลข  33763
อ่าน  1,585

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๙๖
* *



~ เกิดมาแล้วตายไป เอาอะไรไปก็ไม่ได้เลย นอกจากสิ่งที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง แล้วแต่ว่าวันหนึ่งๆ อะไรเกิดมาก อกุศลเกิดมากก็ยังไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริง สะสมอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ตายไป ไปไหน? ก็ไปตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว

~ ใครอยากถูกหลอกบ้าง ใครอยากให้คนอื่นมาพูดสิ่งที่ไม่จริงให้ฟังบ้าง ถ้าเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนที่ดี ก็จะให้แต่สิ่งที่ดี คือ ให้ความจริงที่สามารถจะให้ได้ ที่เป็นประโยชน์กับผู้นั้น

~ ต้องอาศัยกาลเวลาในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสเมื่อเห็นกิเลสมากเท่าใด ก็รู้ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียวกว่าที่จะขัดเกลากิเลสนั้นๆ ได้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรมและไม่ขาดการที่จะพิจารณาตนเอง เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมดเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาและการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น


~ ชมคนที่ควรติ ติคนที่ควรชม เกิดจากอะไร? ก็เป็นความเข้าใจผิด เห็นว่าสิ่งที่ถูกเป็นผิด และเห็นสิ่งที่ผิดเป็นถูก

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผิด ควรติไหม? แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ตรัสคำว่าภิกษุลามก (ภิกษุผู้ต่ำทราม ชั่ว) หรือเปล่า? ติหรือเปล่า? ติความลามก (ความต่ำทราม ความชั่ว) ไม่ว่าอยู่ที่ไหน

~ ทำไมถึงจะไม่พูดคำที่ถูก เห็นไหม ทำไม? ลองหาคำตอบว่า ทำไม? คนนั้นเข้าใจถูกจริงๆ หรือเปล่า? ถ้าเข้าใจถูกจริงๆ ต้องเห็นประโยชน์ของความถูกต้อง และเมื่อเห็นประโยชน์แล้ว จะกล่าวไหมในสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็ไม่ทำไม่พูดไม่กล่าวไม่ชี้แจงให้ถูกต้อง?

~ คนที่บอกว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ฟังคำของพระองค์ ฟังคำของคนอื่นนับถือใคร? นับถือคนอื่นหรือนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?

~ ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำสามารถที่จะให้คนฟังมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องตามความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ด้วย

~ เข้าใจถูกในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกล่าวถึงความจริงที่มีทุกขณะให้เข้าใจถูกต้อง นี่สำคัญที่สุด ซึ่งตัวเองรู้ไม่ได้แน่ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ เมื่อรู้แล้วควรให้คนอื่นรู้ด้วยไหม นี่น่าคิด ทำไมพระองค์ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นรู้ด้วย เพราะพระองค์ตรัสรู้และถ้าได้รู้ความจริงจะไม่ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องด้วยหรือ เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง คือ กล่าวคำจริงเท่านั้นตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้

~ ธรรมที่เป็นที่พึ่งนั้นเป็นกุศล อกุศล พึ่งไม่ได้เลย แต่ธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ นั้นต้องเป็นกุศล แต่ว่ายากที่จะเกิด เพราะเหตุว่าเมื่อสะสมอกุศลมามาก ก็ย่อมมีปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดมากกว่ากุศลธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นว่าธรรมใดเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจในคุณของธรรมนั้น คือ คุณของกุศล ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้เจริญกุศลทุกประการอย่างละเอียด เพราะเหตุว่าเห็นโทษว่าอกุศลธรรมนั้นมีกำลังมากกว่า เพราะเหตุว่า สะสมมากกว่า

~
เมื่อใจของท่านไม่เบียดเบียน กาย วาจา ก็ย่อมไม่ประทุษร้าย ไม่เบียดเบียนด้วย เพราะก่อนที่จะมีการกระทำทางกาย ทางวาจา จิตใจคิดมากมายนับไม่ถ้วน ยังไม่ได้ทำเลย คิดเสียก่อนมากมายแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำด้วยกุศลหรืออกุศลก็ตาม ก็จะต้องเป็นไปตามความคิดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีมโนกรรมที่ประกอบด้วยเมตตา มีใจที่ไม่ประทุษร้ายเบียดเบียน กาย วาจา ก็ย่อมไม่เบียดเบียนด้วย

~ เรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมด ผู้ที่เห็นโทษจึงจะงดเว้น แต่ผู้ที่ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นจริงๆ ว่าเป็นโทษ แต่ว่าความจริงแล้ว อกุศลธรรมทั้งหลายนั้น ย่อมให้ผลตามควรแก่สภาพของอกุศลธรรมนั้นๆ

~ ถ้าใครทำกุศลกรรม ถึงคนอื่นจะไปขอร้องไม่ให้กุศลกรรมให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่า ถ้าใครทำอกุศลกรรม ถึงใครจะไปช่วยกันอ้อนวอน ขอร้องอย่าให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรม ก็เป็นไปไม่ได้เลยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้อื่นก็ไม่ควรจะมีจิตใจเดือดร้อนกับเรื่องราวของบุคคลอื่นกับกรรมของบุคคลอื่น เพราะบุคคลนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา และในขณะเดียวกัน ก็จะได้พิจารณาถึงสภาพจิตของตนเองด้วยว่า ถ้าเป็นอกุศลในขณะนั้น ก็เป็นการกระทำตนของตนเองให้เดือดร้อน แล้วก็สะสมอกุศลความเศร้าหมองของจิตมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นโทษเพิ่มขึ้น

~ มีเมตตาต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด ขณะนั้นจิตสงบเพราะเป็นกุศล และถ้ามีความเป็นมิตรต่อแต่ละบุคคลที่พบ โดยไม่เลือก ยิ่งเพิ่มความเป็นมิตรเพิ่มขึ้น จิตขณะนั้นก็เป็นกุศลเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน

~ ความดีต้องเป็นความดี ความชั่วต้องเป็นความชั่ว และความชั่วต้องให้ผลไม่ดีด้วยอย่างที่เห็น และถ้ายิ่งชั่วมาก ก็ให้ผลมากกว่าที่เราคิดว่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ตกนรก เกิดเป็นเปรต หรือเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานแน่นอน

~ ธรรมที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณ ไม่ให้โทษเลย ก็คือ อโลภะ (ความไม่ติดข้อง) ถ้าเป็นได้จริงๆ ทีละเล็กทีละน้อยจะสบายสักแค่ไหน ไม่เดือดร้อนที่จะต้องแสวงหา ไม่เดือดร้อนเมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากจากไป เพราะเหตุว่าไม่ติดข้อง แต่แสนยาก เพราะติดข้องมานานแสนนาน มีหนทางเดียวคือ ปัญญา ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง

~ คนที่มีกิเลส มีความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เหมือนเหยื่อที่ล่อให้กระทำทุจริตกรรม แล้วก็ได้รับผลของกรรมในภายหลัง ซึ่งเป็นวิบาก (ผลของกรรม) ที่เลวทราม เป็นวิบากที่ไม่เป็นสุขเลย เป็นวิบากที่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

~ สำหรับความเห็นผิด ตราบใดที่ยังไม่ละทิ้งให้หมดสิ้น และยังไม่อบรมเจริญความเห็นถูกขึ้น ผู้นั้นก็ย่อมจะวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ฎ์ โดยที่ว่าไม่มีการกำหนดได้ว่า เมื่อไรจึงจะพ้น เพราะเหตุว่ายังมีความเห็นผิดอยู่

~ ขณะใดประสบพบผู้ที่กำลังทุกข์ยากเดือดร้อน แล้วมีจิตใจอ่อนโยน มีความเป็นมิตรต้องการที่จะเกื้อกูล ขณะนั้น จิตที่ปราศจากโลภะ ไม่ตระหนี่แล้วก็สละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น ขณะนั้น เป็นบุญ (ความดีที่ชำระจิตใจ)

~ ธรรมที่เป็นอกุศล ใครจะอยากเก็บไว้มากๆ? แต่เพราะความไม่รู้ ด้วยความไม่รู้นั่นแหละก็สะสมโดยไม่เห็นโทษภัย

~ ไม่มีใครสามารถที่จะเอาอกุศลที่สะสมมาในจิตของตัวเองออกทิ้งหมดไปได้เลย นอกจากปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้น

~ ความจริงไม่ค้านกันเองเลย แต่คำไม่จริง ค้านได้หมด เพราะไม่ตรงตามความเป็นจริง

~ ธรรม (สิ่งที่มีจริง) ละเอียดลึกซึ้ง แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความลึกซึ้งของธรรม ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เริ่มต้น เพราะธรรมละเอียด ไม่ใช่คอยเวลาแล้วจะไปรู้ความละเอียด ถ้าละเอียด ก็เริ่ม (ฟัง) ทันที เพราะกว่าจะรู้ความละเอียดต้องใช้เวลานานมาก จะไปรอเมื่อไหร่


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๙๕




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 21 ก.พ. 2564

มีเมตตาต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด ขณะนั้นจิตสงบเพราะเป็นกุศล และถ้ามีความเป็นมิตรต่อแต่ละบุคคลที่พบ โดยไม่เลือก ยิ่งเพิ่มความเป็นมิตรเพิ่มขึ้น จิตขณะนั้นก็เป็นกุศลเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
mammam929
วันที่ 21 ก.พ. 2564

กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารซนเขตต์และกราบอนุโมทนาทุกความดีงามค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
natthayapinthong339
วันที่ 21 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
petsin.90
วันที่ 21 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ประสาน
วันที่ 22 ก.พ. 2564

~ คนที่บอกว่านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ฟังคำของพระองค์ ฟังคำของคนอื่นนับถือใคร? นับถือคนอื่นหรือนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kukeart
วันที่ 22 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Khemsai
วันที่ 22 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 22 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
มังกรทอง
วันที่ 22 ก.พ. 2564

เข้าใจถูกในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกล่าวถึงความจริงที่มีทุกขณะให้เข้าใจถูกต้อง

น้อมกราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มังกรทอง
วันที่ 24 ก.พ. 2564

เมื่อใจของท่านไม่เบียดเบียน กาย วาจา ก็ย่อมไม่ประทุษร้าย ไม่เบียดเบียนด้วย

น้อมกราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ