สำนักปฏิบัติ
สวัสดีครับ กระผมมีข้อสงสัยที่อยากจะเรียนถามท่าอาจารย์ทั้งหลาย เพราะกระผมเคยได้ไปปฏิบัติธรรมเช่นกัน ในสาย ยุบหนอ-พองหนอ ผมจะขออธิบายจากการสอนของอาจารย์วิปัสสนาที่สอนมาอาจจะยาวสักหน่อยนะครับ คือดังนี้ครับ
สายการปฎิบัติที่พิจารณา ยุบหนอ-พองหนอ นั้น ท่านบอกเป็นการเจริญภาวนามยปัญญา เพราะว่าขณะใดที่รู้สึกอาการพองของท้องนั้น เป็นรูป การที่สัญญาจำลักษณะอาการพองนั้น เป็นนาม หรือขณะใดรู้อารมณ์สุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์นั้น ก็เป็นนาม เราไม่สามารถบังคับบัญชาได้ว่าเราจะรู้รูปหรือนามก่อน เป็นไปตามเหตุและปัจจัยว่าอย่างไหนจะเกิดก่อนกัน และก็ให้รู้ไว้ว่า รูปหรือนามนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา เป็นแต่เพียงสภาวธรรม ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตามเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าพิจารณารู้อยู่ด้วยความเข้าใจอยู่เนืองๆ อย่างนี้ และรู้เท่าทันอารมณ์ที่ปรากฎอย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นการเจริญภาวนามยปัญญาครับ ในอิริยาบถเดิน ซ้ายย่างหนอ-ขวาย่างหนอ ก็พิจารณาเช่นเดียวกัน พิจารณาตามความเป็นจริงที่สภาวธรรมปรากฎ จนถึงขั้นชำนานรู้เท่าทันอารมณ์ได้ในขณะนั่นนั้น เรียกว่าเป็นการเจริญภาวนามยปัญญา จิตเกิดดับเร็วมาก บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เบื่องต้นพิจารณาสภาวธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฎในขณะ ยุบหนอ-พองหนอ โดยไม่มีเราที่จะไปพิจารณานะครับ จิตเป็นธรรมะ จิตทำหน้าที่ที่จะรู้อารมณ์ในขณะนั้นเอง สติจะเป็นการระลึกชอบตามสภาวธรรมด้วยความไม่เป็นเรา ไม่ใช่ของๆ เรา นี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ถูกสอนมาจากอาจารย์วิปัสสนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอโอกาสยกข้อความช่วงหนึ่ง ที่มีผู้สนทนาได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เรื่องดูท้องพองท้องยุบ รู้อะไรหรือเปล่า? ควรค่าแก่การพิจารณาไตร่ตรองอย่างยิ่ง ดังนี้
ท่านอาจารย์ เชื่อพระพุทธเจ้า ก็ต้องศึกษาใครก็ตาม ที่บอกว่า มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งมีพระธรรม เป็นที่พึ่ง มีพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ต้องตรง พึ่งอะไร? พึ่งคำสอน ถ้าไม่สอนเลย เราจะพึ่งได้ไหม? นั่งนิ่งเลย ที่พระวิหารเชตวัน ไม่มีสักเสียง ไม่มีสักคำ แล้วเราจะพึ่งอะไร? แต่เพราะเหตุว่า ทรงแสดงพระธรรม ไม่ได้ให้ใคร ไปทำอะไร ที่ไหน เลยทั้งสิ้น แต่ให้มีความเห็นถูก ให้มี ความเข้าใจถูก เป็นที่พึ่ง ไปพึ่งปัญญาของคนอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่ให้ความเข้าใจ ผู้นั้นต้องมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ที่พูด เป็นความจริง เป็นสัจจธรรม ซึ่งใครก็คิดเองไม่ได้ รับรองได้เลย ไม่มีใครคิดเองได้ แล้วเรายังฟังคำคนอื่น ซึ่งไม่ทำให้เกิดปัญญาเลย เพราะฉะนั้น คนฟัง สามารถที่จะรู้จักคนพูด ซึ่งคนพูด ไม่มีโอกาสคิดว่าพูดอะไร คนฟังก็เชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย พูดมาสิ แล้วจะรู้ว่า คนที่พูด พูดผิดหรือเปล่า? ถ้าคนนั้นศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถที่จะบอกได้ว่า ผิดตรงไหน? ผิดตรงที่ ไม่ได้ให้ใครเกิดปัญญาเลย แล้วให้เขาทำอะไร? นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ? ในเมื่อพระองค์ทรงแสดงให้คนฟัง เกิดปัญญาของตนเอง เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด ซึ่งเงินทองก็ซื้อไม่ได้ เงินเท่าจักรวาล กี่จักรวาล ก็ทำให้ปัญญาเกิดไม่ได้ แต่ทุกคำ ที่ทรงแสดง สามารถที่จะทำให้คนฟัง เกิดความเห็นถูกต้อง เป็นปัญญาของตนเอง
แล้วจะเชื่อใคร? แล้วจะฟังใคร? เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง ตามเหตุตามผล จะทำไหม? ตามเขาบอก แค่เขาบอกก็ทำ ไม่มีเลย ในพระไตรปิฎก ที่จะให้ใครไปทำอะไร ที่ว่าดูที่ท้องพองยุบ แล้วเกิดอะไรขึ้น ลองยกเหตุผลสิคะ มีไหม?
ท่านผู้ฟัง การดูท้องพองยุบ
ท่านอาจารย์ แค่นี้ก่อน การดูท้องพองยุบ ทำไมดูท้องพองยุบ ไม่ดูอย่างอื่น
ท่านผู้ฟัง เป็นวิธีการ เพื่อ...
ท่านอาจารย์ วิธีการ มาจากไหน?
ท่านผู้ฟัง เพื่อที่จะดูความจริง ณ ขณะนั้นค่ะ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ เห็นจริงไหม? ได้ยินจริงไหม? เที่ยงไหม? เกิดไหม? ดับไหม? แล้วจงใจ ไปดูท้องพองยุบ เข้าใจอะไร? แล้วทำ เพื่อเข้าใจหรือเปล่า? หรือทำ เพื่อไม่รู้ แล้วเข้าใจว่า สงบ สงบจากอกุศล คือ ความไม่รู้ค่ะ แต่ถ้ามีความไม่รู้ ไม่สงบ เพราะฉะนั้น ทั้งๆ ที่ไม่สงบ ก็ชวนไปทำความไม่สงบ ไม่สงบอยู่แล้ว ยังไม่พอ ไปทำให้ไม่สงบมากขึ้นๆ จนไม่รู้ตัว ไม่ได้เกิดปัญญา ความเห็นถูกใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะขณะนั้น ไม่รู้สึกตัว เท่าที่ได้ฟังวิทยุ บางคนก็บอกว่า ดูไปแล้ว ก็เหมือนไก่ขยับปีก บางคนก็ตัวแข็งไปทั้งตัว ก้าวไม่ออก ปัญญา อยู่ที่ไหน? ปัญญา รู้อะไร? เป็นปกติ หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง ที่ทิ้งไม่ได้เลย เป็นผู้มีปกติ รู้ความจริงของสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ที่ปรากฏ ใครไปทำอะไรไม่ได้ เพราะเกิดแล้ว เกิดแล้ว สิ่งที่เกิดแล้วไม่รู้ จะไปรู้ หรือ ไปทำอะไรให้รู้คะ? ในเมื่อ ยังไงๆ ก็ไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว เพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ต้องรู้เลย คำไหน เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่ เพราะว่า ไม่จริง เดี๋ยวนี้ก็มีสภาพธรรมะ ไม่ต้องไปดูอะไร เกิดแล้ว เกิดแล้ว กำลังเห็น จะไปดูอะไร? แต่ ฟังแล้วเข้าใจเห็น ค่อยๆ รู้ว่า เห็น เป็นธาตุที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ต้องอาศัย จักขุปสาท รูปพิเศษ ซึ่งไม่เหมือน เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เพราะรูปนั้น สามารถกระทบ สิ่งที่เกิด ปรากฏให้เห็น และรูปนั้นก็เห็นไม่ได้ แต่ต้องมีธาตุรู้เกิดขึ้น เพราะการกระทบกัน แสดงความเป็นอนัตตา โดยตลอด ตั้งแต่แม้รูปที่กระทบสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ เกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นมาได้เลย แต่ทรงแสดงเหตุปัจจัยว่า แม้รูปนั้น ก็เกิดขึ้นเพราะอะไร? นี่เป็นความรู้ถูกหรือเปล่า? แทนที่จะไปดู โดยไม่รู้อะไรเลย
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...