ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๑

 
khampan.a
วันที่  28 มี.ค. 2564
หมายเลข  33954
อ่าน  1,480

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๑
* *


~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะอ่านพระไตรปิฎกเล่มไหน มีคำอธิบายพระพุทธพจน์ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ให้เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้แต่การเป็นชาวพุทธก็ต้องมีกิจหน้าที่ของความเป็นชาวพุทธด้วย ไม่ใช่เป็นชาวพุทธกันเฉยๆ กิจที่สำคัญคือศึกษาอบรมปัญญา และก็ลองคิดดู ใครก็ตามที่ได้เริ่มเข้าใจธรรม กิจของเขา ก็คือ พระธรรมมีคุณแค่ไหน ไม่ควรที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจได้รู้คุณด้วยหรือ? เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจพระธรรมจริงๆ จะเห็นประโยชน์จริงๆ ไม่ดูดาย ไม่อยู่เฉย เพราะได้เข้าใจพระธรรมแล้วก็มีกิจที่จะต้องสะสมปัญญาและคุณความดีเพื่อถึงการดับกิเลส ผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรมแล้ว ไม่นิ่ง ไม่เฉย ไม่ดูดาย แต่ว่าจะทำกิจที่ทำให้คนอื่นได้มีความรู้ความเข้าใจด้วย

~ เห็นแก่ตัว แล้วจะละความเป็นตัว ได้อย่างไร

~ ทั้งหมดไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับความเข้าใจพระธรรม

~ ธรรม (สิ่งที่มีจริง) ลึกซึ้งมาก หนทางที่จะดับกิเลส ไม่ใช่หนทางง่ายๆ เลย ขณะนี้แหละที่เข้าใจถูกแล้วบำเพ็ญคุณความดีทั้งหมดขัดเกลากิเลสซึ่งหนาแน่นมาก

~ เห็นคุณของพระธรรม ยิ่งให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรม ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลก

~ คนที่ไม่เข้าใจพระธรรม จนยิ่งกว่าใครในโลก จนปัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้พ้นจากความจนและพ้นจากภัยต่างๆ

~ สามารถที่จะพิจารณาพระธรรมแล้วเข้าใจ พอเข้าใจแล้ว พระธรรม ส่องให้เห็นทางที่จะก้าวไปในชีวิต นำทางจริงๆ ว่า ไปทางไหน

~ เมื่อเป็นอกุศลจะใช้คำว่าศรัทธาไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะไม่ผ่องใส ไม่สะอาด

~ ศรัทธา เป็นสภาพที่ผ่องใส เพราะขณะนั้นไม่มีกิเลส แล้วยังทำให้สภาพธรรมที่เกิดกับตนทั้งหมดผ่องใสสะอาด ขณะนั้นกิเลสเกิดไม่ได้ และถ้าประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่เฉพาะแต่ศรัทธา ความผ่องใสนั้น จะสะอาดยิ่งขึ้นเท่าไหร่ เพราะชำระจิต

~ สำนักปฏิบัติ ไม่รู้จักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ถ้าไม่มีเบื้องต้น จะทำอะไร ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ไปสำนักปฏิบัติ ใช่ไหม? ตอบตรงๆ เพราะฉะนั้น ปริยัติ (รอบรู้ในพระพุทธพจน์) ไม่มี แล้วจะมีปฏิบัติ (ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) แล้วจะมีปฏิเวธ (แทงตลอดสภาพธรรม) ได้อย่างไร

~ ละอายไหม ที่จะเริ่มรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ด้วยการที่มีฉันทะที่จะเป็นผู้ตรงที่จะเข้าใจความจริงและได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นไกลแสนไกลจากพระองค์ หันหลังให้พระสัทธรรม ไม่มีปริยัติ ไม่มีความรอบรู้ที่จะนำไปสู่ปฏิบัติ แต่ว่าไปทำเลย ทำอะไร? ไม่รู้สักอย่าง แต่ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาทุกคำ ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำไหน เป็นปัญญาทั้งหมด คือ รู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา

~ โทสะเกิดขึ้น ก็ยังคงเป็นเราถ้าความเข้าใจพระธรรมไม่พอ จนกว่าหิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) เป็นต้น ค่อยๆ เกิด ค่อยๆ ไม่ลืม ระลึกได้ในขณะนั้น โกรธทำไม โกรธเป็นอะไร? โกรธเป็นอกุศล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าอย่างไร? ควรละอกุศล แล้วเราเคารพนับถือพระองค์แค่ไหน?

~ ใครรอบรู้ในปริยัติ? พระอริยบุคคลทุกท่าน ถ้าไม่รอบรู้ จะไปถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้หรือ เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลยสักคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำค่อยๆ นำไปสู่การดับอนุสัยกิเลส (กิเลสที่ละเอียดนอนเนื่องอยู่ในจิต)

~ อกุศลธรรมที่เคยเกิด จะไม่เกิด เมื่อมีการเข้าใจพระธรรม

~ แม้ว่าเป็นผู้ที่อวัยวะไม่เน่า คือ หัวใจก็ดี ปอด ตับ ไต ดีหมด แต่ก็ชื่อว่าเป็นผู้เน่าใน ในขณะที่เป็นอกุศล แม้ว่ากำลังมีชีวิตอยู่ จิตใจก็เน่าได้ แม้ว่าร่างกายจะไม่เน่า

~ ใครก็ตามอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่เขาสะสมมาที่จะสามารถเข้าใจธรรมได้ ก็เป็นโอกาสที่เขาจะได้เข้าใจ และเผยแพร่ความเข้าใจให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระศาสนา เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ก็เพราะมีความเห็นที่ถูกต้อง

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำจริงหรือเปล่า ตรัสคำตรงหรือเปล่า แล้วตรัสเพื่อประโยชน์หรือเปล่า? แล้วถ้าใครที่เข้าใจถูกต้อง ควรที่จะให้คนอื่นได้รู้ถูกต้อง หรือเปล่า?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้เราเกิดอกุศล แต่ตรัสให้รู้ว่าสิ่งใดควร และสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่คำชม ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญสำหรับเรา แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ สามารถที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา แล้วถ้าไม่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ไม่สืบทอดพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว พระธรรมก็อันตรธาน (สูญสิ้น)

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปปฏิบัติ และในครั้งพุทธกาลก็ไม่มีสำนักปฏิบัติเลย แล้วทำไมสมัยนี้ มี? ยุคนี้ มีสำนักปฏิบัติมากมาย แต่ในสมัยพุทธกาลไม่มีสำนักปฏิบัติ เพราะว่า มีความเข้าใจว่าธรรม เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) และการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่ใช่เราด้วย แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ ซึ่งก่อนที่จะได้ฟังธรรม ไม่มีความเข้าใจ เลย แต่เมื่อได้เข้าใจหลังจากที่ฟังแล้ว ก็รู้ว่า ไม่มีเรา พระพุทธเจ้าตรัสหรือเปล่า ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา?

~ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปาฏิหาริย์ (ความอัศจรรย์) ที่สามารถที่จะดับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดที่สะสมอยู่ในจิตแต่ละหนึ่งขณะแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว

~ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม เป็นผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรือเปล่าหรือว่าเป็นที่พึ่งหรือยัง? กฎหมายพึ่งให้ดับกิเลสได้ไหม? แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำไปสู่สิ่งที่ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ใดๆ ดับกิเลสที่สะสมมานานแสนนาน

~ ต้องเข้าใจพระพุทธศาสนา จึงจะรู้ว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์สูงสุดและผลคืออะไร ซึ่งประโยชน์สูงสุดก็ต้องมาจากประโยชน์ขั้นต้นเล็กๆ น้อยๆ ถ้าขั้นต้นไม่สามารถที่จะดีและเป็นประโยชน์ได้ ประโยชน์สูงสุด ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

~ ภิกษุใดก็ตามที่คิดว่าเพียงบวชก็จะเป็นภิกษุ แต่ไม่ได้ศึกษาไม่ได้เข้าใจพระธรรมเลย เป็นภิกษุหรือเปล่า?

~ ผู้ที่ครองจีวรแล้วก็มีบาตรแล้วก็เดินบิณฑบาต แต่ไม่เข้าใจธรรม ไม่ได้สละความติดข้อง ไม่ได้บวชเพื่อที่จะเข้าใจหนทางที่จะดับกิเลส ผู้นั้นก็ไม่ใช่ภิกษุ จะเป็นเนื้อนาบุญได้อย่างไร

~ ภิกษุคือผู้ที่สละเพศคฤหัสถ์ สละทั่วทุกประการที่เคยทำในเพศคฤหัสถ์สู่การได้เข้าใจพระธรรมฟังพระธรรมไตร่ตรองพระธรรมศึกษาพระธรรมปฏิบัติตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้เท่านั้น จึงจะเป็นภิกษุ เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาวิชาอื่นทางโลก ผู้นั้นที่ว่าเป็นภิกษุที่ไปศึกษาวิชาต่างๆ ทางโลก จะสนทนากันเรื่องอะไร? ไม่ได้สนทนาธรรมกันเลยใช่ไหม? เพราะศึกษาสิ่งใดก็สนทนาสิ่งนั้น ศึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้พยายามขวนขวายที่จะให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ศึกษามากขึ้น ไม่ได้กระทำกิจหน้าที่ของภิกษุในพระธรรมวินัย นั่นเป็น อาบัติ เป็นการประพฤติผิดต่อพระธรรมวินัย

~ ถ้าสมมติว่าไม่มีใครรู้พระธรรมวินัยแล้วจะบอกอ้างว่าตามพระธรรมวินัย จะได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้ว่าพระธรรมวินัยคืออะไร

~ พระธรรม เป็นสัจจธรรม จริงทุกกาลสมัย สิ่งที่ผิด ผิดแน่นอน เป็นโทษแน่นอน เป็นอกุศลแน่นอน


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๐




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 28 มี.ค. 2564

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Kalaya
วันที่ 28 มี.ค. 2564

กราบสาธุอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 29 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 29 มี.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Khemsai
วันที่ 29 มี.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ