ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๒ * *
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งหมด เพื่อเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งสิ่งนั้นปรากฏความเป็นธรรมนั้นๆ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น การที่จะไม่เป็นเราได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจลักษณะของแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน แล้วค่อยๆ เข้าใจ (ตั้งแต่ขั้นการฟัง)
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอดคล้องกันหมด ธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราด้วย
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ
~ มีความจริงในขณะนี้ซึ่งใครๆ ก็บังคับให้เกิดไม่ได้ และจะให้เป็นไปอย่างที่ต้องการก็ไม่ได้ จะให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ทั้งหมดแสดงความไม่ใช่เราและไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราชัดเจนมาก ว่า เกิดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะคิดอะไรเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วทั้งนั้น
~ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ในสังสารวัฏฏ์ คือ ไม่รู้ความจริง เหมือนมืดสนิท หลงว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยที่ไม่มีเลย จากชาตินี้ไปก็ไม่เหลือแล้ว แต่ละชาติๆ ก็ไม่เหลืออะไรเลย
~ ถ้าบอกว่าไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมเลย นั่นคือ ย่ำยีพระศาสนาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ผู้ที่เกิดมาเป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ ก็คือ ผู้ที่มีความเห็นผิดและชักชวนให้คนอื่นเห็นผิด
~ การสนทนาธรรมเป็นมงคล เพื่อเข้าใจถูกต้องจึงมีการสนทนา สิ่งใดผิด ก็ต้องทิ้ง สิ่งไหนถูก ก็ต้องถูก
~ แม้การฟังธรรม ก็ยังต้องมีการตั้งจิตไว้ชอบ แต่ไม่ใช่เราที่ตั้ง เพราะทั้งหมด ต้องไม่ใช่เรา ต้องเป็นความละเอียด ความรอบคอบ ความเห็นประโยชน์ และรู้ว่าเป็นเรื่องขัดเกลา
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยขาดเลย คือ มีธาตุรู้ซึ่งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้
~ ถ้าปิดบัง เปลี่ยนแปลง กล่าวตู่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งเป็นโทษ เพราะเหตุว่าทำให้คนอื่นเข้าใจผิด
~ การกล่าวถึงธรรม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และด้วยความเคารพ ด้วยความมั่นคงและจริงใจที่จะกล่าวคำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไม่ใช่เอาความคิดของเราที่ไม่ตรงไปเพิ่ม ซึ่ง (การเอาความคิดของเราที่ไม่ตรงไปเพิ่ม) นั่นก็เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ มีเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ ต้องเฉพาะที่ปรากฏด้วย แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้จริงๆ จะละไหม ก็ต้องรู้ว่าจะไปติดข้องอะไรกับสิ่งที่หมดแล้วจริงๆ และไม่กลับมาอีกและยิ่งเป็นการประจักษ์ชัดเจนต่อหน้าต่อตา ความที่เคยเป็นเราก็ต้องค่อยๆ หมดไปตามกำลังของปัญญา
~ เราไม่เดือดร้อน ใครจะเข้าใจไม่เข้าใจ ก็เป็นอนัตตา จะไปทำอะไรได้ แต่ก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดเท่านั้นเอง ประโยชน์นั้น ก็เป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ของคนอื่นด้วย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมทั้งหมดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นแต่ละคำนำมาซึ่งความค่อยๆ เข้าใจจากคำที่กล่าวถึงธรรมด้วยพระปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น คำนั้นเป็นธัมมเตชะ (ธรรมเดช) สามารถที่จะทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีเรา ตอนก่อนที่ไม่ได้ฟังก็เป็นเราทั้งนั้นเลย เป็นของเราหมดเลย แต่พอฟังแล้ว คำนั้นๆ สามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกิดขึ้นได้
~ ยากมากที่จะไม่ตามโลภะไปด้วยความต้องการ เพราะว่าโลภะนานมากที่คุ้นเคยกันมา มองไม่เห็นเลย
~ กุศลเล็กๆ น้อยๆ ทำไมประมาท ถ้าไม่ทำกุศล ก็อกุศลทั้งนั้นเลยทั้งวัน
~ ตอนนี้ที่เข้าใจประโยชน์และคุณของกุศล แล้วเห็นโทษของอกุศลเพิ่มขึ้นไหม หรือว่ายังพอใจที่จะให้อกุศลทุกประการมากเหมือนเดิม โลภะก็ยังเท่าเก่า โทสะก็ยังให้เหมือนเดิม หรือว่า ปัญญาเริ่มนำ ไม่ใช่เรา แต่ปัญญานำไปให้เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และเห็นประโยชน์ของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ปัญญา ทำให้ขยันในกุศล แล้วค่อยๆ เบาบางทางฝ่ายอกุศล
~ เพื่อนแท้ ย่อมไม่ให้ใครไปในทางที่ผิดเลย ถึงเขาจะชังอย่างไรก็ตามแต่ แต่หวังดีต่อเขา ที่จะให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง ไม่หวั่นไหว ใครจะรักจะชัง ในเมื่อเราไม่ได้ทำเพื่อใครรักใครชัง แต่ทำเพราะว่าหวังจะให้ได้เข้าใจถูกต้อง
~ ความเห็นผิด อันตรายที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะถ้าวันนี้ ผิด ผิด ผิด ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ผิดต่อไป ไม่มีวันที่จะกลับมาหาความเห็นถูกได้ น่าเสียดายไหม พลาดโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริง
~ กุศลความดีเท่านั้น ที่ขณะนั้นไม่มีอกุศล แต่ถ้าไม่เป็นกุศล ก็ต้องเป็นอกุศล แล้วเราก็ให้โอกาสแก่อกุศลมาเท่าไหร่ในชีวิตของเรา?
~ เครื่องวัดว่าเรามีปัญญาระดับไหน ก็คือ ชีวิตประจำวันที่ค่อยๆ เปลี่ยนบ้างหรือเปล่า ค่อยๆ ทำอย่างอื่นที่เป็นกุศลโดยไม่ขัดเคือง โดยไม่ได้ไปเพ่งโทษใคร เพราะฉะนั้น ก็เห็นต่างกันมากเลย ว่า ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้เราก็เหมือนเดิม แต่ว่าปัญญานำไปในกิจที่เป็นกุศลทั้งปวง
~ ชีวิตประจำวันก็เป็นเครื่องส่องให้รู้ ว่า ปัญหาทั้งหมดมาจากอกุศล แล้วก็ปัญหาทั้งหมด ไม่มี เมื่อจิตเป็นกุศล
~ ไม่มีอะไรเป็นปาฏิหาริย์ที่ประเสริฐ นอกจากนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คือ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ จะประพฤติปฏิบัติตามไหม ก็ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม แต่ผู้ใดก็ตามที่ฟังด้วยความเคารพ มีหรือที่จะไม่ประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่า ใครก็ตามที่เข้าใจว่าตนเองเป็นภิกษุ สมควรที่จะพิจารณาตนเองว่าเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยหรือเปล่า เพราะเหตุว่า การเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ประการเดียว คือ เพื่อขัดเกลากิเลส อย่าลืมเลย และ การกระทำที่จะเป็นการรับเงินรับทอง ไม่ว่าจะโดยประการใดทั้งสิ้น เป็นการขัดเกลากิเลสหรือเปล่า
~ ถ้า (ภิกษุ) มีความมั่นคงว่าจะขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ มีหรือที่บุคคลนั้นจะไม่ศึกษาพระธรรมความเคารพ ไม่ประพฤติผิดจากพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่า ยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่ จะต้องเป็นผู้ที่ระมัดระวังที่จะศึกษาทั้งพระธรรมและพระวินัย เพราะเหตุว่า เมื่อเข้าใจพระธรรมแล้ว ปัญญาที่เข้าใจนั้น ก็จะทำให้เห็นคุณของพระวินัยทุกข้อ และเห็นประโยชน์ของการที่จะปฏิบัติตามด้วย ไม่ใช่ฝ่าฝืน
~ ต้องรู้ว่าการบวชเป็นภิกษุเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น การกระทำใดๆ ซึ่งไม่ใช่การขัดเกลากิเลส ก็ไม่ใช่กิจหน้าที่ของภิกษุ บุคคลนั้นเมื่อกระทำด้วยการเพิ่มกิเลส ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ ก็คือว่า ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เป็นโทษอย่างยิ่ง
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
แม้การฟังธรรม ก็ยังต้องมีการตั้งจิตไว้ชอบ แต่ไม่ใช่เราที่ตั้ง เพราะทั้งหมด ต้องไม่ใช่เรา ต้องเป็นความละเอียด ความรอบคอบ ความเห็นประโยชน์ และรู้ว่าเป็นเรื่องขัดเกลา
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งหมด เพื่อเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งสิ่งนั้นปรากฏความเป็นธรรมนั้นๆ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น การที่จะไม่เป็นเราได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจลักษณะของแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน แล้วค่อยๆ เข้าใจ (ตั้งแต่ขั้นการฟัง)