สัตว์เดรัจฉานฟังธรรมจะเป็นเหตุปัจจัยยังอัตภาพสัตว์นั้นให้ไปเกิดในสุคติภูมิได้หรือไม่

 
apiwit
วันที่  28 เม.ย. 2564
หมายเลข  34150
อ่าน  864

เคยได้ยินว่าตั้งแต่ภูมิมนุษย์ขึ้นไปเมื่อได้มีโอกาสฟังธรรมแล้ว มีโอกาสบรรลุธรรมได้ เพราะสามารถอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ แต่ในภูมิสัตว์เดรัจฉานนั้น แม้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่การได้ยินเสียงธรรมเป็นการได้สัมผัสที่ดีสามารถยังอัตภาพสัตว์นั้นให้ไปเกิดในสุคติภูมิได้ ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่ หากผมลองให้สัตว์เลี้ยงของผมได้มีโอกาสได้ยินเสียงธรรมไปด้วย ถ้านั่นเป็นการสงเคราะห์เกื้อกูลที่ประเสริฐให้สัตว์นั้นได้มีโอกาสเกิดในสุคติภูมิเพื่อมีโอกาสอบรมเจริญปัญญาฟังพระธรรมต่อไป ผมก็ปรารถนาจะช่วยสัตว์นั้น ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะด้วยครับว่า การให้สัตว์เดรัจฉานฟังธรรมจะเป็นการสงเคราะห์เกื้อกูลให้สัตว์ได้เข้าถึงสุคติภูมิหรือไม่ ในสมัยพุทธกาลเคยมีสัตว์ที่ตายลงในขณะได้ยินเสียงธรรมแล้วไปเกิดในสุคติภูมิบ้างหรือไม่ ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยครับ

 


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชึ้นชื่อว่า สัตว์ คือ สิ่งที่มีชีวิตที่เกิดจากกรรม และ เมื่อเกิดแล้ว โดยมาก สัตว์ก็มีจิต เจตสิกและรูป อย่างเช่น มนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน รูปพรหม เป็นต้น ก็มีจิต เจตสิก รูป ซึ่ง หากเราเข้าใจความจริงว่า บุญ และ บาป ก็คือ จิต และเจตสิกที่เกิดขึ้นทำหน้าที่เป็นบุญ และ เป็นบาป ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งมีชีวิตใดที่มี จิต เจตสิก ก็สามารถทำบุญ และ ทำบาปได้ ครับ อย่างเช่น มนุษย์ ก็ทำบุญ และ ทำบาปได้ เพราะ มี จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น เป็นบุญ และ เป็นบาป เช่นให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ เป็น

การทำบุญ ทำบาปที่เป็นการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ครับ แม้สัตว์เดรัจฉาน ก็มีจิต เจตสิก เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สามารถทำบุญ ทำบาปได้ มีการฆ่าสัตว์อื่น มีการทำบุญอื่น มีจิตคิดหวังดี ช่วยเหลือ เป็นต้น ดั่งเช่น พระโพธิสัตว์ทีเกิดเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ ท่านก็ทำกุศลประการต่างๆ ด้วย ครับ

ตามเป็นปกติ สัตว์เดรัจฉานนั้นมากไปด้วยโมหะความไม่รู้ เป็นภพภูมิที่ไม่เหมาะสมใน การอบรมเจริญปัญญา ย่อมได้ยินแต่เสียง ฟังพระธรรมไม่รู้เรื่อง ดังนั้น การแค่ได้ยิน จึงไม่ใช่การสะสมอุปนิสัย อันหมายถึงการบรรลุมรรคผลต่อไปเพราะขณะนั้นที่เพียงได้ยิน ขณะนั้นไม่เกิดปัญญา เมื่อปัญญาไม่เกิด ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เป็นอุปนิสัยในการบรรลุ มรรคผล ในเรื่อง ค้างคาวได้ยินเสียงพระธรรม แล้วมีสัญญาจำหมายในเสียงพระธรรม แต่ไม่รู้ความหมาย เป็นกุศลแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ในอดีตชาติของค้างคาวก็ ต้องอบรมอุปนิสัยในการบรรลุธรรม คือ การฟังพระธรรมด้วยความเข้าใจ (เกิดปัญญา) โดยเฉพาะในเรื่องสติปัฏฐาน อันเป็นอุปนิยสัยให้บรรลุมรรคผลครับ แต่ถามว่า สัตว์มี ปัญญาเกิดได้ไหม ได้ครับ แต่ไม่ใช่ปัญญาระดับสูงที่เป็นวิปัสสนาญาณ หรือบรรลุ มรรคผล แต่สัตว์ที่เกิดปัญญาได้นั้นก็ต้องเป็นสัตว์พิเศษ เช่น พระโพธิสัตว์หรือสัตว์ ที่สะสมปัญญามามาก แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่มีทางบรรลุมรรคผล แต่ก็มีปัญญาขั้นอื่นได้ แต่ที่สำคัญ ยกเว้น สัตว์พิเศษ ตามที่กล่าวมาข้างต้น เพราะปกติ ภพภูมิสัตว์เดรัจฉาน ไม่เอื้ออำนวยในการอบรมปัญญาครับ ลองอ่านข้อความในพระไตรปิฎก

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓- หน้า ๓๑๕

ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ภิกษุเหล่านั้นเป็นค้างคาวหนู ห้อยอยู่ที่เงื้อมแห่งหนึ่ง เมื่อพระเถระ ๒ รูป จงกรมแล้ว ท่องอภิธรรมอยู่ ได้ฟังถือเอานิมิตในเสียงแล้ว ค้างคาวเหล่านั้นไม่รู้ว่า "เหล่านั้น ชื่อว่าขันธ์ เหล่านี้ ชื่อว่าธาตุ" ด้วยเหตุสักว่าถือเอานิมิตในเสียงเท่านั้น จุติจากอัตภาพนั้น แล้วเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากเทวโลกนั้นแล้ว เกิดในเรือนตระกูล ในกรุงสาวัตถี เกิดความเลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์ บวชในสำนักของพระเถระแล้ว ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ ๗ ก่อน กว่าภิกษุทั้งปวง แม้พระศาสดาก็ทรงแสดงอภิธรรมโดยทำนองนั้นแล ตลอด ๓ เดือนนั้น


เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

กบฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้เป็นเทพบุตร [มหาวิภังค์]

ว่าด้วยผลแห่งการทอดตนเป็นสะพาน [ตรณิยเถราปทานที่ ๘]

เรื่อง สัตว์มีปัญญาหรือไม่

มิลินทปัญหา - หน้าที่ 50

พระเจ้ามิลินท์มีพระราชโองการซักถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ มี ปรีชาญาณ โยนิโสมนสิการนั้นไม่ใช่ปัญญาหรือประการใด พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า โยนิโสมนสิการ มิใช่ปัญญา และโยนิโสมนสิการ นั้นมีลักษณะสถาน ๑ ปัญญามีลักษณะสถาน ๑ และโยนิโสมนสิการนั้น มีในสันดาน แห่งสัตว์ทั้งหลาย คือ วัว ควาย ช้าง ม้า สรรพสัตว์ทั้งปวงเหล่านี้ และสัตว์ดังพรรณนานี้จะ ได้มีปัญญาหามิได้ มีแต่โยนิโสมนสิการ ขอถวายพระพร

ในคำอธิบายมิลินทปัญญาหาในเรื่องนี้แสดงว่า ไม่ได้หมายความว่า สัตว์จะไม่มีปัญญาเลย แต่หมายถึง ไม่มีปัญญาระดับสูงๆ เช่น วิปัสสนาญาณ แต่มีปัญญาที่เชื่อกรรมและผลของกรรมได้ ดังเช่น พระโพธิสัตว์ที่เกิด เป็นสัตว์เดรัจฉาน

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
apiwit
วันที่ 29 เม.ย. 2564

กราบอนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 29 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 29 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ หน้าที่ ๔๕๑

ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้วเป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันพระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดง นำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้ว แต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์


สัตว์ดิรัจฉาน เกิดด้วยผลของอกุศลกรรม ปฏิสนธิจิตของสัตว์ดิรัจฉานไม่มีสภาพธรรมฝ่ายดีใดๆ เกิดร่วมด้วยได้เลย ไม่มีอโลภะ อโทสะ และ อโมหะ เกิดร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย แต่สิ่งที่สะสมมาที่สืบต่ออยู่ในจิตไม่สูญหายไปไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์ดิรัจฉาน ก็มีกุศลจิตเกิดได้ ตามสมควร ในบางพระชาติของพระโพธิสัตว์ แม้จะเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็ยินดีในการที่จะได้ฟังคำที่เป็นสุภาษิตจากบุคคลผู้ที่เป็นบัณฑิต เป็นไปตามการสะสมอย่างแท้จริง เมื่อเป็นเหตุที่ดี ก็นำมาซึ่งผลที่ดีตามควรแก่เหตุ

สิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้ ได้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้เกิดในอบายภูมิ พ้นจากอบายภูมิแล้วในชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ยังดำรงอยู่ ก็ควรที่จะได้ฟังได้ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 29 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ