รูปร่างดั่งเดิมของเราเกิดจากอะไรครับ
เข้าใจว่ามาจากธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟ แล้วนอกเหนือจากธาตุทั้ง4จะมีอะไรอีกไหมครับ ที่เป็นส่วนประกอบของเรา
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การบัญญัติเรียกว่าสัตว์ มี มนุษย์ เป็นต้น ที่มีชีวิต ก็เพราะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ประชุมรวมกัน คือ มี นาม (สภาพรู้) และ รูป (สภาพไม่รู้) หรือ มีขันธ์ 5 ที่เป็นนามธรรม รูปธรรม ประชุมรวมกันนั่นเอง จึงบัญญัติเรียกว่าเป็นมนุษย์ เป็นต้น เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่เกิดมา ไม่ใช่มีแค่รูป ธาคุดิน น้ำ ไฟ ลม และ ยังมีรูปอื่นๆ ที่เกิดพร้อมกันด้วย เป็นต้น และ ที่สำคัญ มี ธาตุรู้ คือ มีจิตด้วย มีเจตสิกที่ปรุงแต่งจิต จิต เช่น การเห็น กาไรด้ยิน คิดนึก ไม่พ้นจากจิต ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่ต่างจากศพ ไม่ต่างจากต้นไม้ ที่มีแต่เพียงรูปเท่านั้นครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่าน อ.สุจินต์ดังนี้ครับ
ธ. ชีวิตจริงๆ ที่เป็นชีวิตของธรรมะ ท่านอาจารย์จะอธิบายชีวิตขณะนี้อย่างไร
ส. ถ้าไม่มีจิต สภาพรู้หรือธาตุรู้ ขณะนี้กำลังเห็นเป็นจิต ขณะนี้กำลังได้ยินเป็นจิต ขณะนี้ที่กำลังคิดนึกก็คือจิต ทุกขณะในชีวิตประจำวันเป็นจิต เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีจิตกับเจตสิกก็จะไม่มีชีวิตเลย
เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ใครรู้บ้างว่า จิตแต่ละหนึ่งที่สะสมมาเป็นแต่ละบุคคลมีกุศลมากหรือมีอกุศลมาก มีความดีมากหรือมีความชั่วมาก ไม่ใช่ว่าเราจะพูดถึงคนใดคนหนึ่ง แต่พูดถึงธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ของใครเลย และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วย แลกกันก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรรู้ก็คือว่า แต่ละจิต โดยเฉพาะจิตของแต่ละบุคคลที่ยึดถือว่าเป็นเรา ดีชั่วขนาดไหน และชีวิตก็สั้นแสนสั้น เพียงแต่ขณะนี้ถ้าจิตไม่เกิดก็คือไม่มีชีวิตอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น แต่ละ ๑ ขณะที่เป็นชีวิตที่มีอยู่ ประโยชน์สูงสุดก็คือว่า เป็นจิตที่ดี ไม่ใช่จิตที่เป็นอกุศล เพราะเหตุว่าถ้าเป็นจิตที่ไม่ดี เป็นอกุศลเกิด ผลก็อย่างที่เราเห็น มีตาแบบไหน แบบช้าง แบบมด หรือแบบมนุษย์ หรือแบบเทวดา ทั้งหมดเป็นธรรมะซึ่งไม่มีใครสามารถดลบันดาลได้เลย แต่ก็มีแล้วตามที่เห็นทุกวันว่า เป็นธรรมะที่เลือกไม่ได้เลย และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร มีตาเพื่อเห็น หรือมีตาแล้วไม่เห็น แล้วจะมีตาไว้ทำไม แต่เพราะเหตุว่าตาสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะขณะนี้ที่ปรากฏได้เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น
นี่คือความละเอียดของชีวิตซึ่งไม่ใช่ของใคร แต่ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอกุศลธรรม แม้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็สามารถเป็นทุกข์ได้ เจ็บตาก็ได้ เป็นโรคหูก็ได้ จมูก บางคนก็หายใจไม่ออก เป็นไซนัส ลิ้นก็เป็นเม็ดมีหนองไหลก็ได้ กายก็เห็นแล้วแต่ บางคนก็มีหน้าช้างเพราะมีเนื้อทั้งหมด อันนี้ไม่ใช่ที่ประเทศไทย แต่ข่าวหลากหลายจากทุกมุมโลกที่สามารถได้ยินได้ฟัง ก็จะได้เห็นความวิจิตรของทั้งรูปธรรม รูปร่างกายและนามธรรมยิ่งละเอียดกว่านั้น
เพราะฉะนั้น แต่ละ ๑ ขณะ ก็กำลังเป็นไปในขณะนี้ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง ไม่มีใครสามารถรู้ว่า ทุกอย่างที่ปรากฏขณะนี้เป็นผลซึ่งมาจากเหตุ ต้องเป็นไปตามเหตุ ไม่ว่าสุขทุกข์ใดๆ ก็เป็นเรื่องยาวอย่างที่เราฟังกันมามากในเรื่องของสภาพธรรมะที่มีจริง แต่ฟังทั้งหมดเพื่อเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เคยมีใครคิดบ้างไหมว่า ปรากฏได้อย่างไร อย่างเห็น เห็นจนชิน ไม่รู้ว่า น่าอัศจรรย์ มีธาตุเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แม้แต่ได้ยินขณะนี้มีเสียงปรากฏ ก็มีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง แล้วก็ดับไป นี่คือชีวิตทุกขณะเลย ไม่ว่าโลกไหน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน ในนรก เป็นเปรต อสุรกาย บนสวรรค์ชั้นไหนก็ตาม สภาพธรรมะก็มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่กล่าวว่าเป็นบุคคลนี้ มีรูปร่างอย่างนี้ ก็เพราะมีสภาพธรรมเกิดขึ้นไป ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ไม่ได้มีเฉพาะรูปเพียงเท่านั้น เพราะถ้ามีเพียงรูป ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดไม่ได้ เห็นไม่ได้ ทำดี ไม่ได้ เป็นต้น ดังนั้น จึงมีทั้งสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม และ นามธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ โดยไม่ปะปนกันเลย ดังนั้น ประโยชน์ของการได้เกิดมาเป็นบุคคลนี้ ไม่ได้อยู่ที่อย่างอื่น แต่อยู่ที่การมีโอกาสได้สะสมความดีและฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...