ประวัติพระทัพพมัลลบุตร
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 423
อรรถกถาสูตรที่ ๖
ประวัติพระทัพพมัลลบุตร
พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ ๖ (พระทัพพมัลลบุตร) ดังตอไปนี้.
บทวา เสนาสนปฺาปกาน ความวา ภิกษุผูเจาหนาที่จัด เสนาสนะ.
ไดยินวาในเวลาพระเถระจัดเสนาสนะในบรรดามหาวิหาร ทั้ง ๑๘ แหง มิไดมีบริเวณที่ยังมิไดกวาดใหเรียบรอย เสนาสนะ ที่มิไดปฏิบัติบํารุง เตียงตั่งที่ยังมิไดชําระใหสะอาด น้ําดื่ม น้ําใช ที่ยังมิไดตั้งไว เพราะฉะนั้นทานจึงชื่อวา เปนยอดของเหลาภิกษุ ผูเปนเจาหนาที่จัดเสนาสนะ คําวา ทัพพะ เปนชื่อของทาน แต เพราะทานเกิดในตระกูลของเจามัลละจึงชื่อวา มัลลบุตร ในปญหา กรรมของทานมีเรื่องที่จะกลาวไปตามลําดับดังตอไปนี้ . จะกลาวโดยยอ ครั้งพระปทุมุตตระพุทธเจา พระเถระนี้ เกิดในครอบครัวในกรุงหงสวดี เจริญวัยแลวไปวิหารฟงธรรม โดยนัยที่กลาวแลวนั่นแหละ เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุ ไวในตําแหนงเปนยอดของเหลาภิกษุผูมีหนาที่จัดเสนาสนะ กระทํา กุศลกรรมปรารถนาตําแหนงนั้น พระศาสดาทรงพยากรณแลว กระทํากุศลจนตลอดชีพ เวียนวายอยูในเทวดาและมนุษย เมื่อครั้ง ศาสนาของพระกัสสปทศพล เสื่อมแลว จึงบวชแลว ครั้งนั้น คนอื่น อีก ๖ คน กับภิกษุนั้นรวมเปนภิกษุ๗ รูป มีจิตเปนอันเดียวกัน เห็นบุคคลเหลาอื่น ๆ นั้น ไมกระทําความเคารพในพระศาสดา จึงปรึกษากันวา ในครั้งนี้เราจะทําอยางไร กระทําบําเพ็ญสมณธรรม
พระสุตตันตปฎกอังคุตตรนิกายเอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 424
ในที่สมควรสวนหนึ่งจักการทําที่สุดทุกขได จึงผูกบันได ขึ้นยอดภูเขาสูง กลาววา ผูที่รูกําลังจิตของตน จงผลักบันไดให ตกไป ผูที่ยังมีความเดือดรอนในภายหลังอยูเถิด จึงพรอมใจกัน ผลักบันไดใหตกไป กลาวสอนซึ่งกันและกันวา อาวุโสทานจงเปน ผูไมประมาทเถิด นั่งในที่ที่ชอบใจ เริ่มบําเพ็ญสมณธรรม บรรดา ภิกษุทั้ง ๗ นั้น พระเถระรูปหนึ่ง บรรลุพระอรหัตในวันที่ ๕ คิดวา กิจของเราเสร็จแลว เราจักทําอะไรในที่นี้ จึงไปนําบิณฑบาต มาแตอุตตรกุรุทวีปดวยอิทธิฤทธิ์ กลาววา อาวุโสทานทั้งหลาย จงฉันบิณฑบาตนี้ หนาที่ภิกษาจารเปนของขาพเจา ทานทั้งหลาย จงบําเพ็ญสมณธรรมเถิด อาวุโส พวกเราผลักบันไดใหตกไปได พูดกันอยางนี้มิใชหรือวา พูดกระทําใหแจงซึ่งธรรมกอน ผูนั้น จงไปนําภิกษามา ภิกษุนอกนี้ฉันภิกษาที่ทานนํามาแลวจักกระทํา สมณธรรม ภิกษุทั้งหลายกลาววา อาวุโส ไมตอง พระเถระกลาววา ทานทั้งหลายไดแลวดวยเหตุอันมีในกอนแหงตน แมกระผมทั้งหลาย สามารถอยูก็จักกระทําที่สุดแหงวัฏฏะได นิมนตไปเถิดทาน พระเถระเมื่อไมอาจยังภิกษุเหลานั้นใหเขาใจกันได ฉันบิณฑบาตใน ที่ที่เปนผาสุกแลวก็ไป ในวันที่ ๗ พระเถระอีกองคหนึ่งบรรลุ อนาคามิผล จุติจากอัตภาพนั้นไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส
ฝายพระเถระนอกนี้ จุติจากอัตภาพนั้น ก็เวียนวายอยูใน เทวดาและมนุษยสิ้นพุทธันดรหนึ่ง บังเกิดในตระกูลนั้น ๆ องคหนึ่ง บังเกิดในพระราชนิเวศนในกรุงตักกศิลาแควนคันธาระ องคหนึ่ง เกิดในทองนางปริพาชิกาในปพพไตยรัฐ องคหนึ่งเกิดในเรือนกุฏมพี ในพาหิยรัฐ องคหนึ่งเกิดในเรือนแหงกุฎมพีกรุงราชคฤห สวน
พระสุตตันตปฎกอังคุตตรนิกายเอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 425
พระทัพพมัสละนี้ถือปฏิสนธิในนิเวศนของเจามัสละพระองคหนึ่ง ในอนุปยนคร มัลลรัฐ ในเวลาใกลตลอด มารดาของทานก็ทํากาละ ญาติทั้งหลายนําสรีระของตนตายไปยังปาชาแลวยกขึ้นสูเชิงตะกอน ไมแลวจุดไฟ. พอไฟสงบลงพื้นทองของนางนั้นก็แยกออกเปน ๒ สวน มีทารกกระเด็นขึ้นไปตกที่เสาไมตนหนึ่งดวยกําลังบุญของตน คนทั้งหลายอุมทารกนั้นไปใหแกยาแลว ยานั้นเมื่อจะตั้งชื่อทารกนั้น จึงตั้งชื่อของทานวา ทัพพะ เพราะทานกระเด็นไปที่เสาไมจึงรอด ชีวิต
เมื่อทานมีอายุ๗ ขวบ พระศาสดามีภิกษุสงฆเปนบริวาร เสด็จจาริกไปในมัลลรัฐ ลุถึงอนุปยนิคมประทับอยู ณ อนุปยอัมพวัน ทัพพกุมารเห็นพระศาสดาก็เลื่อมใสในพุทธศาสนาทีเดียว ก็อยาก จะบวชจึงลายาวา "หลานจักบวชในสํานักพระทศพล" ยากลาววา ดีละพอ พาทัพพกุมารไปเฝาพระศาสดากราบทูลวาทานเจาขา ขอจงใหกุมารนี้บวชเถิด พระศาสดาทรงประทานสัญญาแกภิกษุ รูปหนึ่งวา ภิกษุ เธอจงใหทารกนี้บวชเถิด พระเถระนั้นรับพระพุทธดํารัสแลวก็ใหทัพพกุมารบรรพชา บอกตจปญจกกัมมัฎฐาน สัตวผูสมบูรณดวยบุรพเหตุ ไดบําเพ็ญบารมีไวแลวในขณะที่ปลงผม ปอยแรก ตั้งอยูในโสดาปตติผลเมื่อปลงผมปอยที่ ๒ ตั้งอยูใน สกทาคามิผลปอยที่ ๓ ตั้งอยูในอนาคามิผล ก็การปลงผมเสร็จ และการทําใหแจงอรหัตตผล ก็เกิดไมกอนไมหลังคือพรอมกัน. พระศาสดาประทับอยูในมัลลรัฐตามพระพุทธอัธยาศัยแลว เสด็จไปยังกรุงราชคฤห สําราญพระอิริยาบถอยูในพระเวฬุวัน
พระสุตตันตปฎกอังคุตตรนิกายเอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 426
วิหาร ในที่นั้น ทานพระทัพพมัลลบุตรอยูในที่ลับ ตรวจดูความ สําเร็จกิจของตน ประสงคจะประกอบกายในการกระทําความ ขวนขวายแกพระสงฆคิดวาถากะไร เราจะพึงจัดแจงเสนาสนะ และจัดอาหารถวายสงฆ ทานจึงเขาเฝาพระศาสดากราบทูลถึง ความปริวิตกของตน พระศาสดาทรงประทานสาธุการแกทาน แลวทรงมอบหนาที่จัดเสนาสนะและหนาที่จัดอาหาร ครั้งนั้นพระศาสดาทรงดําริวาพระทัพพนี้ ยังเด็กอยู แตดํารงอยูในตําแหนงใหญ จึงทรงใหทานอุปสมบทแลว ในเวลาที่ทานมีพรรษา ๗ เทานั้น ตั้งแตเวลาที่ทานอุปสมบทแลว พระเถระจัดเสนาสนะและจัดอาหาร ถวายภิกษุทุกรูปที่อาศัยกรุงราชคฤหอยู ความที่ทานมีหนาที่ จัดเสนาสนะไดปรากฏไปในทิศทั้งปวงวา ไดยินวาพระทัพพมัลลบุตร ยอมเขาใจจัดเสนาสนะในที่เดียวกันสําหรับภิกษุผูถูกอัธยาศัย กัน ยอมจัดแจงเสนาสนะแมในที่ไกล พวกภิกษุที่ไมอาจจะไปไดทาน นําไปดวยฤทธิ์.
ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลาย สั่งใหทานจัดแจงเสนาสนะอยางนี้วา อาวุโส จงจัดเสนาสนะแกพวกเราในชีวกัมพวัน จงจัดเสนาสนะ ใหแกพวกเราในมัททกุจฉิมิคทายวัน แลวเห็นฤทธิ์ของทานก็ไป ในกาลบางในวิกาลบาง แมพระทัพพนั้นก็บันดาลกายมโนมัย ดวยฤทธิ์เนรมิตเปนภิกษุใหเหมือนกับตนสําหรับพระเถระองค ละรูป ๆ ถือไฟไปขางหนาบอกวา นี่เตียง นี่ตั่ง เปนตน จัดเสนาสนะ แลวจึงกลับมายังที่อยูของตนอีก นี้เปนความสังเขปในเรื่องนี้. แต โดยพิสดารเรื่องนี้มาในพระบาลีแลวเหมือนกัน พระศาสดาทรง
พระสุตตันตปฎกอังคุตตรนิกายเอกนิบาต เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 427
กระทําเหตุนี้นั่นแหละใหเปนอัตถุปบัติเหตุเกิดเรื่อง เหมือนกับ นั่งทามกลางหมูพระอริยะ. ทรงสถาปนาพระเถระไวในตําแหนง เปนยอดของเหลาภิกษุผูเปนเจาหนาที่จัดเสนาสนะแล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๖