ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๐

 
khampan.a
วันที่  30 พ.ค. 2564
หมายเลข  34324
อ่าน  2,091

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๐
* *


~ ความเป็นภิกษุ ต้องหมายความถึงสภาพของจิตที่สามารถจะสละความเกี่ยวข้องในเรื่องของบ้านเรือน ในเพศของคฤหัสถ์ ไม่มีการดูโทรทัศน์หรือว่าเรื่องรื่นเริงบันเทิงต่างๆ ต้องเป็นผู้สามารถตัดความผูกพันนั้นได้จริงๆ เพราะเหตุว่าความเป็นภิกษุ ก็เป็นสภาพจิตที่สูงกว่าคฤหัสถ์

~ ถ้าไม่ตรง ไม่ได้สาระจากพระธรรม เพราะพระธรรม ตรง ถ้าเข้าใจผิดแม้เล็กน้อย ก็ไม่ได้สาระแล้ว ไม่เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ตรง จะรักษาพระศาสนา ต้องเข้าใจพระศาสนา ถ้าไม่เข้าใจพระศาสนา รักษาอะไร? รักษาโบสถ์ รักษาวิหาร สร้างโน่นสร้างนี่ เพื่ออะไร? เพื่อรักษาพระศาสนาหรือ? พระศาสนา อยู่ที่ไหน? เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องตรง

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา ทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น บางท่านก็บอกว่า คุ้มค่าที่ได้ฟัง หรือ คุ้มค่าที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมีโอกาสได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ชีวิต สั้น การฟังพระธรรมแค่นี้ยังไม่พอ ความเข้าใจธรรมยังไม่พอ แต่กุศลใดที่ได้ทำไว้ ที่ทำให้มีศรัทธาในการที่จะได้ฟังมีการเห็นประโยชน์ว่า เป็นสิ่งเดียวที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้แม้เกิด ก็เกิดในที่ที่จะได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นด้วย

~ พระผู้มีพระภาคทรงชี้ให้เห็นว่า ความเจริญจริงๆ คือ ความเจริญด้วยปัญญา แต่ว่าผู้ที่ยังไม่ศึกษาธรรมโดยละเอียด ไม่ได้พิจารณาไตร่ตรอง ปกติธรรมดาก็ย่อมมีความเห็นว่า ความเจริญด้วยญาติ มีญาติมาก เป็นประโยชน์เกื้อกูลมาก ท่านคิดว่า ถ้ามีญาติ ก็จะมีผู้ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันในคราวจำเป็น แต่ว่าความเจริญจริงๆ นั้น ถึงแม้ว่าท่านจะมีญาติมาก แต่ถ้าท่านไม่เจริญด้วยปัญญา ก็ไม่ชื่อว่าเป็นความเจริญที่เลิศ

~ การที่จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ สุข ได้โภคสมบัติ ทรัพย์สมบัตินั้น เป็นผลที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้ว การที่จะเสื่อมจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โภคสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ก็ต้องเป็นผลที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้ว เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เมื่อมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ผลก็ย่อมมี ทั้งได้ลาภ ทั้งเสื่อมลาภ ทั้งได้ยศ ทั้งเสื่อมยศ ทั้งได้สรรเสริญ ทั้งได้นินทา ทั้งได้สุขได้ทุกข์

~ บางคนมีความหวังร้ายต่อผู้ที่ประพฤติไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ก็ลองพิจารณาสภาพจิตของท่านเองว่า เคยมุ่งหวังที่จะให้คนที่ประพฤติไม่ชอบ ได้รับโทษ ได้รับภัยอันตรายต่างๆ อย่างร้ายแรงหรือไม่? ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จิตของท่านเองทำร้ายตัวของท่านเอง เพราะบุคคลอื่นไม่ได้เป็นไปตามความคิดของท่าน แต่ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา เพราะฉะนั้น เขาย่อมได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นเอง โดยที่ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องไปหวังร้ายหรือว่าคิดร้ายต่อบุคคลนั้นเลย

~ กุศลทั้งหมด ควรเจริญ เพื่อที่จะขัดเกลาละคลายอกุศลธรรมให้เบาบาง มิฉะนั้นแล้ว ความรักตัว ความเห็นแก่ตัว ความเห็นผิดว่า มีตัวตนจะเพิ่มพูนขึ้น ทำให้ท่านนึกถึงแต่ตัวเองตลอดเวลา ไม่คำนึงถึงการที่จะสงเคราะห์บุคคลอื่น

~ มีโอกาสที่จะเจริญกุศลขณะใด ก็ควรจะรีบหรือปีติโสมนัส (เอิบอิ่มใจ) ที่จะได้เจริญกุศล ในขณะที่ท่านสามารถที่จะเจริญกุศลได้ เพราะเหตุว่าชีวิตไม่แน่ว่าท่านจะมีโอกาสได้เจริญกุศลต่อไปหรือไม่ อาจจะหมดโอกาสด้วยประการหนึ่งประการใดก็ได้

~ เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าจิตที่ผ่องใสเป็นกุศลนั้นไม่เป็นโทษเป็นภัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ด้วยจิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยเป็นเหตุ ย่อมจะไม่เป็นผลให้เกิดโทษภัยขึ้นได้ เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายมีวิบากที่เป็นสุข ไม่ใช่นำมาซึ่งวิบากที่เป็นทุกข์

~ อะไรเห็นโทษของกิเลส ก็ต้องปัญญา คำตอบก็อยู่ที่ปัญญา ก็ต้องเจริญปัญญาขึ้น เมื่อปัญญาเพิ่มขึ้นก็ต้องเห็นโทษของกิเลส แต่ถ้าปัญญายังไม่เกิด แล้วจะบอกว่าเห็นโทษของกิเลส ก็ยาก

~ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน แม้ว่าคนอื่นจะทำกรรมที่ไม่ดีกับเรา แต่เรามีกรรมดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับกรรมไม่ดีที่คนอื่นกระทำกับเรา เพราะว่าใครทำกรรมอย่างใดก็ได้อย่างนั้น แล้วเราจะไปคิดที่จะพยาบาทเบียดเบียนเขาทำไม ในเมื่อรู้ว่าเขาต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน แล้วความพยาบาทไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเก็บให้มีมากๆ เลย เพราะเหตุว่าเป็นทุกข์ในขณะที่เกิดขึ้นด้วย

~ คิดด้วยความเมตตาว่าบุคคลใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมไว้แล้ว เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ มารดาบิดาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ ก็จะทำให้เรามีแต่การที่จะคิดเป็นมิตรและก็ช่วยเหลือคนอื่น

~ ใครที่มักโกรธในชาตินี้ ให้ทราบว่าชาติก่อนๆ ก็ต้องมักโกรธ แล้วถ้าชาตินี้ยังมักโกรธอย่างชาตินี้ต่อไปอีก ก็ให้นึกถึงภาพชาติหน้าได้ว่าจะเป็นอย่างไร อยากจะเป็นอย่างนั้นต่อไป หรือว่า อยากเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าอยากจะเป็นอย่างอื่น ก็ต้องเริ่มสะสมทางฝ่ายกุศลไว้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้

~
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงเรื่องของกุศลธรรมไว้มาก และทรงแสดงชี้แจงเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมดไว้โดยละเอียด เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล และเห็นคุณของการอบรมเจริญกุศล โดยประการที่จะทำให้ผู้ฟังได้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ มากๆ โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้น

~
ความโกรธไม่ว่าจะเป็นของใคร ก็มีอาการที่ไม่สงบ ประทุษร้าย เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นคนที่กำลังโกรธจริงๆ เห็นอาการประทุษร้ายจิตใจที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เห็นโทษทันที เวลาที่เห็นความโกรธของบุคคลอื่น แล้วตัวเองเมื่อเห็นโทษอย่างนั้น ยังอยากจะโกรธเหมือนอย่างนั้นหรือ?

~ เมื่อพูดถึงความเจริญ คนส่วนใหญ่ก็คิดถึงความเจริญด้านวัตถุ แต่ว่าใจเป็นอย่างไร? ที่กำลังเดือดร้อนและก็จะเดือดร้อนต่อไปอีกก็เพราะจิตใจเจริญหรือเปล่า หรือว่า ไม่มีความเจริญเพราะไม่มีความเข้าใจ? ด้วยเหตุนี้ การแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ใช่แก้ด้วยอย่างอื่น แต่แก้ด้วยสภาพของจิตซึ่งได้ฟังพระธรรมและมีความเข้าใจ ซึ่งนำ
(เกื้อกูล,อุปการะ) ให้แม้แต่คิด แม้แต่ทำ ก็ถูกต้องยิ่งขึ้น

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำ นำไปสู่ความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเรา สำคัญที่สุด “อนัตตา” ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะเป็นอย่างที่อยากเป็น ก็ไม่ได้ จะไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็น ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า เกิดแล้วเป็นแล้วทั้งหมด

~ พระพุทธศาสนา ไม่ใช่สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ไม่ใช่สำหรับชาติหนึ่งชาติใดโดยเฉพาะ แต่สำหรับทุกคนทุกโลกทั้งมนุษย์เทวดาทั่วทุกจักรวาล เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นส่วนที่จะสามารถดำรงคำสอนไว้ได้ ก็เป็นชีวิตที่เกิดมามีประโยชน์ที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะว่า เป็นชาตินี้ชาติเดียวที่เราจะเป็นคนนี้ ต่อไปจะเป็นใครเราก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นคนนี้ก็ทำทุกอย่างที่ดีที่สุด ที่คนนี้จะทำได้

~ การที่เกิดมาได้พบกัน ได้เป็นเพื่อนหวังดี ก็คือ ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าเขาเต็มใจฟัง

~ จากโลกนี้ไป ไม่เหลืออะไรในโลกนี้ที่จะติดตามไปได้เลย โลกก่อนมีเยอะ มีอะไรบ้างโลกก่อน มีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีทรัพย์สมบัติ แล้วพ่อแม่เพื่อนฝูง ทรัพย์สมบัติของโลกก่อนชาติก่อน อยู่ไหน ตามมาชาตินี้ได้หรือเปล่า?

~ ประโยชน์สูงสุด คือ ได้เกิดมาเป็นบุคคลนี้แล้วได้เข้าใจธรรมและได้ทำดี เพราะเหตุว่า ประมาทไม่ได้เลย ขณะไหนไม่ดี ขณะนั้นเป็นอกุศล

~ ใครกำลังจะตายบ้าง? ลองคิด ทุกคนหรือเปล่า? ตายเดี๋ยวนี้ก็ได้จริงไหม? เพราะฉะนั้น ทุกคนก็กำลังจะตาย จนกว่าจะถึงขณะซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แม้ความตายก็ต้องเป็นในขณะนั้นที่มีปัจจัยถึงพร้อมที่จะพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์

~ สิ่งที่ควรระลึกถึงบ่อยๆ คือ ความตาย ก่อนตายควรที่จะเป็นอย่างไร? นี้คือสิ่งที่สำคัญ เตรียมตัวที่จะเป็นคนใหม่หรือยัง จะเป็นคนใหม่ในชาติใหม่ก็มาจากคนนี้แหละ


~ ตายแล้ว ทำความดีได้ไหม? ไม่ได้ รอก่อนได้ไหม ขอทำทานเสียก่อนแล้วจะตาย? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องของความตายซึ่งจะมาถึงเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ ก็ย่อมเป็นเครื่องเตือนให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการทำความดี

~ คนที่เห็นประโยชน์จริงๆ ในชีวิต ย่อมรู้ว่า ทรัพย์สมบัติเอาไปไม่ได้ ทุกอย่างเอาไปไม่ได้ แต่ความดี ความเข้าใจพระธรรม ก็จะนำทางต่อไป ให้เป็นคนที่สะสมที่จะเป็นคนที่ดี ในชาติต่อๆ ไป จนกว่ากิเลสจะหมด


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๐๙





...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 30 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Jans
วันที่ 30 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ 

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
natthayapinthong339
วันที่ 31 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ 

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 31 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kukeart
วันที่ 31 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 31 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
petsin.90
วันที่ 31 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ 

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Khemsai
วันที่ 31 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ 

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มังกรทอง
วันที่ 3 มิ.ย. 2564

แม้ว่าคนอื่นจะทำกรรมที่ไม่ดีกับเรา แต่เรามีกรรมดี จึงไม่ต้องไปเดือดร้อนกับกรรมไม่ดีที่คนอื่นกระทำกับเรา เพราะว่าใครทำกรรมอย่างใดก็ได้อย่างนั้น

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 3 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Sea
วันที่ 12 ก.พ. 2565

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ