เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี
[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 434
๓. เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี [๘๓]
ขอความเบื้องตน
พระศาสดาเมื่อประทับอยูในพระเชตวัน ทรงปรารภนางกุณฑลเกสี ตรัสพระธรรมเทศนานี้วา "โย จ คาถา สต ภาเส" เปนตน ธิดาเศรษฐีไดโจรเปนสามี
ดังไดสดับมา ธิดาเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤหมีอายุยาง ๑๖ ป มีรูปสวย นาดู ก็นารีทั้งหลายผูตั้งอยูในวัยนั้น ยอมมีความฝกใฝใน บุรุษ โลเลในบุรุษ ครั้งนั้น มารดาบิดา ใหธิดานั้นอยูในหองอันมีสิริ บนพื้นชั้นบนแหงปราสาท ๗ ชั้น ไดกระทําทาสีคนเดียวเทานั้น ใหเปนผูบํารุงบําเรอนาง
ครั้งนั้น พวกราชบุรุษจับกุลบุตรคนหนึ่ง ผูกระทําโจรกรรม ไดมัดมือไพลหลัง โบยดวยหวายครั้งละ ๔ เสนๆ แลวนําไปสูที่สําหรับฆา ธิดาเศรษฐีไดยินเสียงของมหาชน คิดวา "นี่อะไรกันหนอแล ยืนแลดูอยูบนพื้นปราสาท เห็นโจรนั้นแลวก็มีจิตปฏิพัทธปรารถนาอยู หามอาหารแลวนอนบนเตียง" ลําดับนั้น มารดาถามนางวา "แม นี้ อยางไรกัน"
ธิดาเศรษฐี. ถาดิฉันจักไดบุรุษคนที่ถูกเขาจับนําไปวา 'เปนโจร' นั่นไซร ดิฉันจักเปนอยู ถาไมได ชีวิตดิฉันก็จะไมมี ดิฉันจักตาย ในที่นี้นี่แหละ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 435
มารดา. แม เจาอยากระทําอยางนั้นเลย เจาจักไดสามีอื่นซึ่งเสมอ กันโดยชาติและโภคะของเรา.
ธิดาเศรษฐี. กิจดวยบุรุษอื่นสําหรับดิฉันไมมี ดิฉันเมื่อไมได บุรุษคนนี้ จักตาย
มารดา เมื่อไมอาจยังธิดาใหยินยอมไดจึงบอกแกบิดา ถึงบิดา นั้นก็ไมอาจยังธิดานั้นใหยินยอมได คิดวา "เราอาจจะกระทําอยางไรได" สงหอภัณฑะพันหนึ่งแกราชบุรุษ ผูใหจับโจรนั้น แลวเดินไปอยู ดวยคําวา "ทานจงรับภัณฑะนี้ไวแลว ใหบุรุษคนนั้นแกฉัน" ราชบุรุษนั้นรับคําวา "ดีละ" แลวรับกหาปณะ ปลอยโจรนั้นไป ฆาบุรุษอื่น แลวกราบทูลแดพระราชาวา "ขอเดชะขาพระองคฆาโจรแลว" แมเศรษฐีไดใหธิดาแกโจรนั้นแลว นางคิดวา "จักยังสามีให ยินดี" จึงตกแตงดวยเครื่องประดับทั้งปวง จัดแจงยาคูเปนตนแกโจร นั้นเองทีเดียว
โจรคิดอุบายพาภรรยาไปฆา
โดยกาลลวงไป ๒-๓ วัน โจรคิดวา "ในกาลไรหนอแล เรา จักไดเพื่อฆาหญิงนี้ ถือเอาเครื่องประดับของหญิงนี้ ขายกินในโรงสุรา แหงหนึ่ง" โจรนั้นคิดวา "อุบายนี้มีอยู" จึงหามอาหารเสียนอนบนเตียง ทีนั้น นางเขาไปหาโจรนั้นแลวถามวา "นาย อะไรเสียดแทงทาน"
โจร. อะไร ๆ ไมไดเสียดแทงดอก นางผูเจริญ.
ธิดาเศรษฐี. ก็มารดาบิดาของดิฉัน โกรธทานแลหรือ
โจร. ไมโกรธ นางผูเจริญ
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 436
ธิดาเศรษฐี. เมื่อเปนเชนนั้น นี่ชื่ออะไร
โจร. นางผูเจริญ ฉันถูกจับนําไปในวันนั้น บนบาน (๑) ไวตอเทวดา ผูสถิตอยูที่ภูเขาทิ้งโจรไดชีวิตแลว แมหลอนฉันก็ไดดวยอานุภาพแหง เทวดานั้นเหมือนกัน นางผูเจริญ ฉันคิดวา "ฉันตั้งพลีกรรมนั้นไวตอ เทพดา"
ธิดาเศรษฐี. นาย อยาคิดเลย ดิฉันจักกระทําพลีกรรม ทาน จงบอก ตองการอะไร
โจร. ตองการขาวมธุปายาสชนิดมีน้ํานอย และดอกไมมีขาวตอก เปนที่ ๕.
ธิดาเศรษฐี. ดีละ นาย ดิฉันจักจัดแจง
ธิดาเศรษฐีนั้นจัดแจงพลีกรรมทุกอยางแลว จึงกลาววา "มาเถิด นาย เราไปกัน"
โจร. นางผูเจริญ ถาอยางนั้น หลอนใหพวกญาติของหลอนกลับเสีย ถือเอาผาและเครื่องประดับที่มีดามาก แลวจงตกแตงตัว เราจักหัวเราะ เลนพลางเดินไปอยางสบาย
นางไดกระทําอยางนั้นแลว ทันทีนั้น ในเวลาถึงเชิงเขา โจรนั้น กลาวกะนางวา "นางผูเจริญ เบื้องหนาแตนี้ เราจักไปกัน ๒ คน หลอนจงใหคนที่เหลือกลับพรอมกับยาน ยกภาชนะพลีกรรมถือไปเอง" นางไดกระทําอยางนั้น โจรพานางขึ้นสูภูเขาทิ้งโจร
ก็มนุษยทั้งหลายยอมขึ้นไปโดยขางๆ หนึ่งแหงภูเขานั้น ขางๆ หนึ่งเปนโกรกชัน มนุษยทั้งหลายยืนอยูบนยอดเขาแลว ยอมทิ้งโจร
(๑.)พลิกมฺม ปฏิสฺสณิตฺวา รับซึ่งพลีกรรม คือการบวงสรวง
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 437
ทั้งหลายโดยทางขางนั้นโจรเหลานั้นเปนทอนเล็กทอนนอยตกลงไปที่ พื้น; เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกวา " เขาทิ้งโจร." นางยืนอยูบนยอด เขานั้นกลาววา "นาย ทานจรทําพลีกรรมของทาน." โจรนั้นไดนิ่งแลว. เมื่อนางกลาวอีกวา "นาย เหตุไรทานจึงนิ่งเสียเลา" จึงบอกกะนางวา "ฉันไมตองการพลีกรรมดอก แตฉันลอลวงพาหลอนมา"
ธิดาเศรษฐี. เพราะเหตุไร นาย
โจร. เพื่อตองการฆาหลอนเสีย แลวถือเอาเครื่องประดับของ หลอนหนีไป.
นางถูกมรณภัยคุกคามแลว กลาววา "นายจา ดิฉันและเครื่องประดับของดิฉัน ก็เปนของๆ ทานทั้งนั้น เหตุไร ทานจึงพูดอยางนี้" โจรนั้นแมถูกออนวอนบอย ๆ วา "ทานจงอยากระทําอยางนี้" ก็กลาว วา "ฉันจะฆาใหได" นางกลาววา "เมื่อเปนเชนนั้น ทานจะตองการอะไร ดวยความตายของดิฉัน ทานถือเอาเครื่องประดับเหลานี้ แลวใหชีวิตแกดิฉันเถิด จําเดิมแตนี้ทานจงจําดิฉันวา 'ตายแลว' หรือ วาดิฉันจักเปนทาสีของทานกระทําหัตถกรรม" ดังนี้แลว กลาวคาถานี้วา:- "สายสรอยทองคําเหลานี้ ลวนสําเร็จดวยแกว ไพฑูรย ทานผูเจริญ ทานจงถือเอาทั้งหมด และ จงประกาศวาดิฉันเปนทาสี"
โจรฟงคํานั้นแลว กลาววา "เมื่อฉันกระทําอยางนั้น หลอนไปแลว ก็จักบอกแกมารดาบิดา ฉันจักฆาใหได หลอนอยาคร่ําครวญไปนักเลย" ดังนี้แลว กลาวคาถานี้วา :-
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 438
"หลอนอยาคร่ําครวญนักเลย จงรีบหอสิ่งของ เขาเถิด ชีวิตของหลอนไมมีดอก ฉันจะถือเอาสิ่ง ของทั้งหมด"
ธิดาเศรษฐีผลักโจรตกเขาตาย
นางคิดวา "โอ กรรมนี้หนัก ชื่อวาปญญา ธรรมดามิไดสราง มาเพื่อประโยชนแกงกิน ที่แท สรางมาเพื่อประโยชนพิจารณา เรา จักรูสิ่งที่ควรกระทําแกเขา"
ลําดับนั้น นางกลาวกะโจรนั้นวา "นาย ทานถูกจับนําไปวา 'เปนโจร' ในกาลใด ในกาลนั้น ดิฉันบอกแกมารดาบิดา ทาน ทั้งสองนั้นสละทรัพยพันหนึ่ง ใหนำทานมากระทําไวในเรือน จําเดิม แตนั้นดิฉันก็อุปการะทาน วันนี้ทานจงใหดิฉันกระทําตัว ( ทาน ) ให เห็นถนัดแลวไหว"
โจรนั้นกลาววา "ดีละ นางผูเจริญ หลอนจงทําตัว (ฉัน) ใหเห็นไดถนัด แลวไหวเถิด" ดังนี้แลว ก็ไดยืนอยูบนยอดเขา ทีนั้น นางทําประทักษิณ ๓ ครั้ง ไหวโจรนั้นในที่ ๔ สถาน แลว กลาววา "นาย นี้เปนการเห็นครั้งสุดทายของดิฉัน บัดนี้การที่ทานเห็นดิฉัน หรือการที่ดิฉันเห็นทานไมมีละ" แลวสวมกอดขางหนา ขางหลัง ยืนที่ขาง หลังเอามือขางหนึ่งจับโจรผูประมาท ยืนอยูบนยอดเขาตรงคอ เอามือขางหนึ่งจับตรงรักแรขางหลัง ผลักลงไปในเหวแหงภูเขา โจรนั้นถูกกระทบ ที่ทองแหงเขา เปนชิ้นเล็กชิ้นนอย ตกลงไปแลวที่พื้น
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 439
หญิงผูมีปญญาก็เปนบัณฑิตได
เทวดาผูสถิตอยูบนยอดเขาที่ทิ้งโจร เห็นกิริยาแมของชนทั้งสองนั้น จึงใหสาธุการแกหญิงนั้น แลวกลาวคาถานี้วา :-
"บุรุษนั่น เปนบัณฑิตในที่ทุกสถาน ก็หาไม แมสตรี ผูมีปญญาเห็นประจักษ ก็เปนบัณฑิตได ในที่นั้นๆ"
ธิดาเศรษฐีแมนั้น ครั้นผลักโจรลงไปในเหวแลว (คิดวา) "หากวา เราจักไปบาน มารดาบิดาจักถามวา 'สามีของเจาไปไหน หากเราถูกถามอยางนั้นจะตอบวา 'ดิฉันฆาเสียแลว' ทานจักทิ่มแทง เราดวยหอกคือปากวา 'นางคนหัวดื้อ เจาใหทรัพยพันหนึ่งใหนําผัวมา บัดนี้ ก็ฆาเขาเสียแลว' แมเมื่อเราบอกวา 'เขาปรารถนาจะฆาดิฉัน เพื่อตองการเครื่องประดับ 'ทานก็จักไมเชื่อ อยาเลยดวยบานของเรา" ดังนี้แลว ทิ้งเครื่องประดับไวในที่นั้นนั่นเอง เขาไปสูปา เที่ยวไปโดย ลําดับ ถึงอาศรมของพวกปริพาชกแหงหนึ่ง ไหวแลว กลาววา "ทาน ผูเจริญ ขอทานทั้งหลายจงใหการบรรพชา ในสํานักของทานแกดิฉัน เถิด" ลําดับนั้น ปริพาชกทั้งหลายใหนางบรรพชาแลว
ธิดาเศรษฐีบวชเปนปริพาชิกา
ธิดาเศรษฐีนั้นพอบวชแลว ถามวา "ทานผูเจริญ อะไรเปน สูงสุดแหงบรรพชาของทาน"
ปริพาชก. นางผูเจริญ บุคคลกระทําบริกรรมในกสิณ ๑๐ แลว
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 440
พึงยังฌานใหบังเกิดบาง พึงเรียนวาทะพันหนึ่งบาง นี้เปนประโยชน สูงสุดแหงบรรพชาของพวกเรา
ธิดาเศรษฐี. ดิฉันไมอาจจะยังฌานใหเกิดไดกอน แตจักเรียน วาทะพันหนึ่ง พระผูเปนเจา
ลําดับนั้น ปริพาชกเหลานั้น ยังนางใหเรียนวาทะพันหนึ่งแลว กลาววา "ศิลปะ ทานก็เรียนแลว บัดนี้ ทานจงเที่ยวไปบนพื้นชมพูทวีป ตรวจดูผูสามารถจะกลาวปญหากับตน" แลว ใหกิ่งหวาในมือ แกนาง สงไปดวยสั่งวา "ไปเถิด นางผูเจริญ หากใครๆ เปนคฤหัสถ อาจกลาวปญหากับทานได ทานจงเปนบาทปริจาริกา ของผูนั้นเทียว หากเปนบรรพชิต ทานจงบรรพชาในสํานักผูนั้นเถิด" นางมีชื่อวา ชัมพุปริพาชิกา ตามนาม (ไม) ออกจากที่นั้นเที่ยวถามปญหากะผูที่ตน เห็นแลวๆ คนชื่อวาผูสามารถจะกลาวกับนางไมไดมีแลว มนุษย ทั้งหลายพอฟงวา "นางชัมพุปริพาชิกามาแตที่นี้' ยอมหนีไป นางเขาไปสูบานหรือตําบลเพื่อภิกษา กอกองทรายไวใกลประตูบาน ปกกิ่งหวา บทกองทรายนั้น กลาววา "ผูสามารถจะกลาวกับเรา จงเหยียบกิ่งหวา" แลวก็เขาไปสูบาน ใครๆ ชื่อวาสามารถจะเขาไปยังที่นั้น มิไดมี แมนางยอมถือกิ่งอื่น ในเมื่อ กิ่งหวา (เกา) เหี่ยวแหง เที่ยวไปโดยทํานองนี้ ถึงกรุงสาวัตถี ปกกิ่ง (หวา) ใกลประตูบาน พูดโดยนัย ที่กลาวมาแลวนั่นแล เขาไปเพื่อภิกษา เด็กเปนอันมากไดยืนลอมกิ่งไม ไวแลว
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 441
ธิดาเศรษฐีมีชื่อวากุณฑลเกสีเถรี
ในกาลนั้น พระสารีบุตรเถระเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต กระทําภัตกิจ แลวออกไปจากเมือง เห็นเด็กเหลานั้นยืนลอมกิ่งไม จึงถามวา "นี้ อะไร" เด็กทั้งหลายบอกเรื่องนั้นแกพระเถระแลว พระเถระกลาววา "เด็กทั้งหลาย ถาอยางนั้น พวกเจาจงเหยียบกิ่งไมนี้"
พวกเด็ก. พวกกระผมกลัว ขอรับ
พระเถระ. เราจักกลาวปญหา พวกเจาเหยียบเถิด เด็กเหลานั้น เกิดความอุตสาหะดวยคําของพระเถระ กระทําอยางนั้น โหรองอยู โปรยธุลีขึ้นแลว
นางปริพาชิกามาแลวดุเด็กเหลานั้น กลาววา "กิจดวยปญหาของเรากับพวกเจาไมมี เหตุไร พวกเจาจึงพากันเหยียบกิ่งไมของเรา" พวกเด็กกลาววา "พวกเรา อันพระผูเปนเจาใชใหเหยียบ"
นางปริพาชิกา. ทานผูเจริญ ทานใชพวกเด็กเหยียบกิ่งไมของดิฉันหรือ
พระเถระ. เออ นองหญิง
นางปริพาชิกา. ถาอยางนั้น ทานจงกลาวปญหากับดิฉัน
พระเถระ. ดีละ เราจักกลาว
นางปริพาชิกานั้น ไดไปสูสํานักของพระเถระเพื่อถามปญหาในเวลาเงาไมเจริญ (คือเวลาบาย) ทั่วทั้งเมือง ลือกระฉอนกันวา "พวกเราจักฟงถอยคําของ ๒ บัณฑิต" พวกชาวเมืองไปกับนางปริพาชิกานั้น เหมือนกัน ไหวพระเถระแลวนั่ง ณ ที่สุดขางหนึ่ง
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 442
นางปริพาชิกา กลาวกะพระเถระวา "ทานผูเจริญ ดิฉันจักถาม ปญหากะทาน"
พระเถระ. ถามเถิด นองหญิง
นางถามวาทะพันหนึ่งแลว พระเถระแกปญหาที่นางถามแลวๆ ลําดับนั้น พระเถระกลาวกะนางวา "ปญหาของทานมีเทานี้ ปญหาแมอื่นมีอยูหรือ"
นางปริพาชิกา. มีเทานี้แหละ ทานผูเจริญ
พระเถระ. ทานถามปญหาเปนอันมาก แมเราจักถามสักปญหาหนึ่ง ทานจักแกไดหรือไม
นางปริพาชิกา. ดิฉันรูก็จักแก จงถามเถิด ทานผูเจริญ
พระเถระ ถามปญหาวา "อะไร ชื่อวาหนึ่ง" นางปริพาชิกา นั้น ไมรูวา "ปญหานี้ ควรแกอยางนี้" จึงถามวา "นั่นชื่อวาอะไร ทานผูเจริญ"
พระเถระ. ชื่อพุทธมนต นองหญิง
นางปริพาชิกา. ทานจงใหพุทธมนตนั้น แกดิฉันบาง ทานผูเจริญ
พระเถระ. หากวา ทานจักเปนเชนเรา เราจักให
นางปริพาชิกา. ถาเชนนั้น ขอทานยังดิฉันใหบรรพชาเถิด
พระเถระ บอกแกนางภิกษุณีทั้งหลายใหบรรพชาแลว นางครั้นไดบรรพชาอุปสมบทแลว มีชื่อวา กุณฑลเกสีเถรี บรรลุพระอรหัต พรอมดวยปฏิสัมภิทาทั้งหลายโดย ๒-๓ วันเทานั้น
พระสุตตันตปฎกขุททกนิกายคาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 443
ชนะกิเลสประเสริฐ
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมวา "การฟงธรรมของ นางกุณฑลเกสีเถรีไมมีมาก กิจแหงบรรพชิตของนางถึงที่สุดแลว ได ยินวา นางทํามหาสงครามกับโจรคนหนึ่งชนะแลวมา" พระศาสดาเสด็จมาแลวตรัสถามวา "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันดวยถอยคําอะไรหนอ" เมื่อภิกษุทั้งหลายนั้น กราบทูล วา "ถอยคําชื่อนี้" จึงตรัสวา "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออยานับธรรม ที่เราแสดงแลววา 'นอยหรือมาก' บทที่ไมเปนประโยชนแม ๑๐๐ บท ไมประเสริฐ สวนบทแหงธรรมแมบทเดียวประเสริฐกวาเทียว อนึ่ง เมื่อบุคคลชนะโจรที่เหลือ หาชื่อวาชนะไม สวนบุคคลชนะโจรคือกิเลส อันเปนไปภายในนั่นแหละ จึงชื่อวาชนะ" เมื่อจะทรงสืบอันสนุธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาเหลานี้วา :-
๓. โย จ คาถาสต ภาเส อนตฺถปทสฺหิตา เอก ธมฺมปท เสยฺโย ย สุตฺวา อุปสมฺมติ. โย สหสฺส สหสฺเสน สงฺคาเม มานุเส ชิเน เอกฺจ เชยฺยมตฺตาน ส เว สงฺคามชุตฺตโม.
"ก็ผูใด พึงกลาวคาถาตั้งรอย ซึ่งไมประกอบ ดวยบพเปนประโยชน บทแหงธรรมบทเดียวที่บุคคล ฟงแลวสงบระงับได ประเสริฐกวา (การกลาว คาถาตั้ง ๑๐๐ ของผูนั้น) ผูใด พึงชนะมนุษย พันหนึ่งคูณดวยพันหนึ่ง (คือ ๑ ลาน) ในสงคราม
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 444
ผูนั้น หาชื่อวาเปนยอดแหงชนผูชนะในสงครามไม สวนผูใดชนะตนคนเดียวได, ผูนั้นแล เปนยอดแหง ผูชนะ ในสงคราม"
แกอรรถ
บรรดาบทเหลานั้น สองบทวา คาถาสต ความวา ก็บุคคลใด พึงกลาวคาถากําหนดดวยรอย คือเปนอันมาก. บาทพระคาถาวา อนตฺถปทสฺหิตา ความวา ประกอบดวยบททั้งหลายอันไมมีประโยชน ดวยอํานาจพรรณนาอากาศเปนตน
บทที่ปฏิสังยุตดวยธรรมมีขันธเปนตน สําเร็จประโยชน ชื่อวา บทธรรม. บรรดาธรรม ๔ ที่พระศาสดาตรัสไวอยางนี้วา "ปริพาชก ทั้งหลาย บทธรรม ๔ เหลานี้ ๔ คืออะไรบาง ปริพาชกทั้งหลาย บทธรรมคือ ความไมเพงเล็ง บทธรรมคือความไมปองราย บทธรรม คือความระลึกชอบ บทธรรมคือความตั้งใจไวชอบ บทธรรมแมบท เดียวประเสริฐกวา"
บาทพระคาถาวา โย สหสฺส สหสฺเสน ความวา ผูใดคือ นักรบในสงคราม พึงชนะมนุษยพันหนึ่งซึ่งคูณดวยพัน ในสงคราม ครั้งหนึ่ง ไดแกชนะมนุษย ๑๐ แสนแลว พึงนําชัยมา แมผูนี้ ก็หา ชื่อวา เปนยอดแหงชนทั้งหลายผูชนะในสงครามไม. บาทพระคาถาวา เอกฺจ เชยฺยมตฺตาน ความวา สวนผูใด พิจารณากัมมัฏฐานอันเปนไปในภายใน ในที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน พึงชนะตน ดวยการชนะกิเลสมีโลภะเปนตน ของตนได
พระสุตตันตปฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เลม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หนาที่ 445
บาทพระคาถาวา ส เว สงฺคามชุตฺตโม ความวา ผูนั้นชื่อวา เปนยอด คือประเสริฐ แหงชนทั้งหลายผูชนะในสงคราม ไดแก เปน นักรบเยี่ยมในสงคราม
ในเวลาจบเทศนา ชนเปนอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปตติผลเปนตน ดังนี้แล
เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี จบ