ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๒

 
khampan.a
วันที่  13 มิ.ย. 2564
หมายเลข  34407
อ่าน  1,768

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๒
* *



~ พุทธบริษัทไม่ใช่มีแต่เฉพาะพระภิกษุ อุบาสกอุบาสิกาก็สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้ เพราะว่าปัญญาจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่ามีเพศหญิงเพศชาย ไม่มีเด็กไม่มีผู้ใหญ่ ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เข้าใจ อยู่ตรงไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ แต่มีเหตุที่จะให้เกิด ถ้าไม่มีเหตุก็เกิดไม่ได้

~ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงเรื่องของอกุศลมากเพื่อให้เห็นโทษ ใครที่ยังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ยังประมาทอยู่ เพราะคิดว่ามีกุศลพอแล้ว แต่ถ้าเห็นโทษของอกุศลมากๆ จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท

~ อกุศลแม้นิดเดียว มีแล้ว ก็จะเพิ่มขึ้น งอกงามขึ้น เพิ่มขึ้น แล้วใครจะรู้ว่าวันไหนชาติไหน จะทำอย่างคนที่เราเห็นว่าเขาได้ทำอกุศลกรรม ซึ่งต้องระวังด้วย ถ้าชาตินี้เราประมาท ชาติหน้าเราทำ (อกุศลกรรม) อย่างนั้นได้แน่นอน เพราะกิเลสทุกวัน เพิ่มทุกวัน

~ คนด่าเรา เขาน่าสงสารที่สุด เขาด่าเรา แต่เราไม่ได้โกรธเขาเลย มาด่าเราทำไม เราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อนเลย แต่เขาด่าเรา เขาไม่ชอบเรา เขาเดือดร้อน

~ ถ้าถูกแล้ว ทำไมไม่ทำสิ่งที่ถูก กลัวอะไร ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลย เพราะเหตุว่าสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ควรทำ คำจริง ก็เป็นคำที่ควรพูด ผิดตรงไหน ได้ประโยชน์หรือเปล่า ถ้าได้ประโยชน์ก็ช่วยกันพูดคำจริง

~ ชีวิตที่เหลือ ควรที่จะให้เป็นประโยชน์สูงสุด คือ ฟังพระธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เข้าใจ แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น ใครจะเกลียดเรา นั่นเรื่องของเขา แต่ถ้าเราเกลียดคนอื่น ดีหรือ? ขณะนั้น เป็นอกุศล เร่าร้อนแล้วก็จะทำสิ่งที่ไม่ดีซึ่งให้โทษทั้งกับตนเองและคนอื่น ไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น

~ ใครเป็นใคร เขาก็ต้องได้รับผลของเหตุที่ได้กระทำแล้วทั้งนั้น ใครก็ไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เรามีจิตเมตตาได้ เห็นโทษภัยใหญ่หลวงซึ่งเขาไม่เห็น แต่เพราะเขาไม่เห็น เขาจึงทำ ถ้าเห็น (โทษภัยของสิ่งที่ไม่ดี) แล้วจะไม่มีใครกล้าทำสิ่งที่ไม่ดีเลย เพราะโทษมหาศาล แต่เพราะไม่รู้เขาจึงทำ

~ คนที่กล่าวคำต่างๆ กำลังโกรธ หรือกำลังเข้าใจผิด หรือกำลังเหลวไหล กำลังพูดสิ่งที่ไม่มีสาระ ทำไมใจของท่าน จะเดือดร้อนกับคำที่ไม่มีสาระ เรื่องที่ไม่มีสาระเหล่านั้น ควรที่จะเมตตาในผู้ที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาและอกุศลธรรมซึ่งเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน แต่เป็นเหตุที่จะให้ได้รับอกุศลวิบากสำหรับบุคคลนั้น ฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่น่าสงสารมากกว่าที่จะน่าโกรธ

~ ทุกท่านต้องเห็นอกุศลของตัวเองก่อน และยิ่งเห็นละเอียดขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ มากกว่าที่จะรู้ว่าได้ทำกุศลไว้มากเท่าไร เพราะถ้ารู้ว่าทำกุศลไว้มากเท่าไรโดยที่ไม่พิจารณาอกุศลของตนเอง จะไม่รู้เลยว่า อกุศลมากกว่ากุศลที่ได้ทำไว้แล้วมาก เพราะฉะนั้น ทำกุศลเท่าไรก็ยังไม่พอ และถ้ารู้ว่ามีอกุศลมากเท่าไร ก็เป็นผู้ตรงจริงๆ ว่า อกุศลประเภทใดมีมากมีน้อย และน่ารังเกียจแค่ไหน ซึ่งกิเลสและโทษภัยของกิเลสเป็นสิ่งที่เห็นยาก อย่างเช่น โลภะ รู้ว่าไม่ดี เป็นกิเลส แต่การที่จะเห็นโทษเห็นภัยของโลภะนี่ ยากจริงๆ

~ หน้าที่ของพุทธบริษัท ก็คือ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จึงจะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้ วิธีดำรงรักษาก็คือต้องเข้าใจคำสอน เมื่อเข้าใจแล้วก็เผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น

~ ไม่มีอะไรที่จะไปละความไม่รู้และความชั่วทั้งหลายได้ นอกจากความเข้าใจถูก เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความไม่ประมาทและด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

~ โอกาสที่จะได้ยินได้ฟังได้เข้าใจความจริงของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ เพราะเหตุว่าสิ่งอื่นติดตามเราไปไม่ได้เลย ทรัพย์สินเงินทองรูปร่าง ชื่อเสียง เกียรติยศ ทั้งหมด จบสิ้นเมื่อจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่จะติดตามไปคือดีและชั่ว และสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นก็คือความเข้าใจถูก ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม จะไม่มีโอกาสได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

~ จะตายวันไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เกิดมาแล้วไม่พ้นความตาย วันนี้สนุกมาก หมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ ทุกอย่างที่ผ่านมาไม่เหลือเลย แต่ว่าสะสมความดีและความชั่วสืบต่อไปในจิตทุกขณะ

~ ไม่ใช่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไปหยิบยื่นปัญญาให้แก่ใคร แต่ แต่ละคำของพระองค์ ตรัสให้คนฟังได้ไตร่ตรอง ได้คิดได้พิจารณา ความเข้าใจที่ถูกต้องเกิดเมื่อไหร่ นั่นคือ สมบัติซึ่งหาอีกไม่ได้ในชาตินี้ซึ่งจะติดตามต่อไปทำให้ไม่เข้าใจผิด

~ จะหยุดกล่าวคำจริงได้อย่างไร ถ้าหยุด เขาก็ไม่เข้าใจ แล้วปริมาณของความไม่รู้ก็ต้องเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่หยุดกล่าวคำจริง ก็ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า คนที่เข้าใจธรรมแล้ว ก็มี พอที่จะศึกษาต่อไปได้

~ พระพุทธศาสนาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค่ายิ่ง ที่เป็นคำที่ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาเป็นของตนเอง

~ ความไม่รู้ในโทษของความไม่รู้และในความติดข้อง เป็นเหตุที่จะให้เกิดอกุศล ทุกวันนี้ในชีวิตของเรา มองไม่เห็นอกุศลเลย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมด้วยความเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ และพระธรรมแต่ละคำก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตที่ยังมีกิเลส ก็สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีค่าที่สุด ที่จะทำให้ความไม่รู้และกิเลสนั้นค่อยๆ หมดไป ไม่ว่าในเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิต


~ ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะ คือ ความจริง ไม่เว้นเลยสักขณะเดียวทุกวันทุกเวลาสั้นยิ่งกว่าวินาที เพราะเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป โดยไม่รู้เลย ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะรู้โทษของการที่มีความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏจึงทำให้หลงพอใจมากจนกระทั่งเกิดความทุกข์เมื่อพลัดพรากหรือไม่ได้สิ่งที่พอใจ จนกระทั่งเป็นเหตุให้กระทำทุจริตกรรม ร้ายแรงถึงกับว่าสามารถที่จะฆ่าคนอื่นได้ เอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนมากมายมหาศาลไม่ใช่เฉพาะคนเดียว กี่คนๆ โกงมาหมด อย่างนี้ก็เพราะเหตุว่า ไม่รู้ว่า ขณะนี้ เพราะความไม่รู้ จึงมีโทษมากมาย

~ ความไม่รู้ (อวิชชา) ก็คือความไม่รู้ ไม่ต้องเรียกชื่อ แต่ก็มีสภาพธรรมที่ไม่รู้มานานแสนนาน แล้วก็ไม่มีวันจะหมดสิ้นไปได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง

~ การเป็นบรรพชิต ขัดเกลากิเลสด้วยความเข้าใจธรรม ซึ่งถ้าไม่เพื่อการศึกษาธรรมเข้าใจธรรม จะบวชทำไม?

~ อุปนิสัยในการฟังพระธรรม จะมีไม่ได้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม

~ ค่าของชีวิตอยู่ตรงนี้ คือ อยู่ตรงที่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงซึ่งแสนที่จะลึกซึ้ง แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ ขัดเกลา ค่อยๆ ตั้งมั่น ค่อยๆ มั่นคงขึ้นได้


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๑





...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 13 มิ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 13 มิ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Khemsai
วันที่ 13 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณอย่างยิ่ง และขออนุโมทนาด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 13 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
natthayapinthong339
วันที่ 13 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Centella
วันที่ 13 มิ.ย. 2564

น้อมระลึกบูชาพระคุณทั้งสามด้วยความเคารพอย่างสูงสุด

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 14 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pulit
วันที่ 14 มิ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
san.ree2990
วันที่ 15 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ