ไม่มีเรา_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ไม่มีเรา"
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๔
~ ต้องไม่ลืม การเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟังคำของพระองค์ทุกคำที่เป็นความละเอียด ไม่ใช่ฟังแล้วก็ผ่านแล้วคิดว่าเข้าใจแล้ว
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น จะไม่ไตร่ตรองอย่างละเอียด ไม่ได้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรม ก็ต้องคิด ต้องไตร่ตรอง เข้าใจหรือยังว่าอะไรเป็นธรรม และธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส หมายถึงอะไร?
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีประโยชน์ยิ่ง เพราะแสดงความจริง
~ เดี๋ยวนี้ มีธรรมไหม? รู้จักธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ไหม?
~ ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้รีบทำรีบเข้าใจรีบฟังเยอะๆ แต่ทุกคำต้องเข้าใจจริงๆ เพราะลึกซึ้ง ต้องไม่ลืมคำว่า “ลึกซึ้ง”
~ ฟังธรรม จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ตั้งแต่เกิดและนานแสนนานมาแล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่มีอยู่ตลอดเวลา
~ ค่อยๆ ฟังทีละคำ นี่คือ ความเคารพในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริง
~ อย่าลืม ฟังทุกคำ ไม่ใช่ให้ตอบ แต่ให้เข้าใจความจริง เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะสามารถรู้ความจริงนั้นถึงที่สุด
~ พูดตามหนังสือ ตามตำรา ตามพระไตรปิฎก ใครๆ ก็พูดได้ แต่คนพูด เข้าใจความลึกซึ้งของคำนั้นไหม
~ เดี๋ยวนี้เห็นเกิด ไม่ใช่ความไม่รู้ ใช่ไหม? เห็น ไม่ใช่ความไม่รู้ ใช่ไหม? เห็น เกิดแน่ๆ เห็นทำอะไรไม่ได้เลย เห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ไม่ใช่ความไม่รู้
~ เห็นเป็นอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา เป็นความจริงอย่างหนึ่ง คือ เป็นธรรม ความไม่รู้ เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นความจริง ไม่ใช่เราเป็นธรรม
~ เราศึกษาธรรม คือ ศึกษาสิ่งที่มีจริงเดียวนี้ที่กำลังมี
~ จิต เป็นสภาพรู้ เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏแต่ละหนึ่ง
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ว่าระหว่างเห็นที่เกิดแล้วดับและได้ยินเกิดแล้วดับ มีสภาพรู้เกิดระหว่างนั้นที่ไม่ปรากฏ มาก
~ ศึกษาธรรม ต้องไม่ลืม ไม่ใช่ศึกษาชื่อ แต่ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ วันนี้ มีแข็ง มีรส มีเสียง มีกลิ่น มีทุกอย่าง เพราะมีสภาพรู้เกิด สิ่งนั้นจึงได้ปรากฏ เพราะสภาพรู้กำลังรู้สิ่งนั้น แต่ละหนึ่งๆ เร็วมาก
~ ถ้าไม่มีสภาพรู้ อะไรก็ปรากฏไม่ได้ ไม่ใช่สำหรับจำ แต่สำหรับรู้ความจริงเดี๋ยวนี้
~ ใครทำให้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เกิดได้ไหม?
~ เริ่มเห็นความมากของอวิชชา (ความไม่รู้) จึงไม่ประมาทที่จะฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจจริงๆ จึงสามารถที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา
~ ต้องเข้าใจก่อนจริงๆ ว่า จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) ไม่ใช่เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) แต่ทั้งสองเป็นสภาพรู้ ที่ต่างกัน
~ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้เลยว่า จิตเห็นเกิดขึ้นได้อย่างไร ทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
~ การเข้าใจคำ เข้าใจเรื่อง ไม่ใช่การรู้จักจริงๆ ในธรรมหนึ่งที่เป็นอย่างนั้น
~ ฟังเรื่องราว เข้าใจเรื่องราว แต่ยังไม่รู้จักตัวธรรมแต่ละหนึ่งๆ เดี่ยวนี้จริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงหนทางให้เข้าใจจนรู้จักธรรมได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่าสิ่งที่เกิดอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครทำให้เกิดได้ และสิ่งที่มีจริงๆ ที่เป็นสภาพรู้ มี ๒ อย่าง คือ สภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้ สิ่งที่ปรากฏทั้งหมดเวลานี้ปรากฏเพราะจิตรู้ และสภาพรู้อื่นเป็นเจตสิก เช่น อวิชชา เพราะฉะนั้น จิตอาศัยเจตสิกเกิด เจตสิกอาศัยจิตเกิด พร้อมกัน
~ พอพูดถึงเห็น ก็เหมือนเข้าใจว่ารู้จักเห็นว่าเห็นมีจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเห็นจริงๆ เป็นอะไร เพราะฉะนั้น เราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้รู้สิ่งที่เราไม่เคยรู้เลย เมื่อไม่ได้ฟังของพระองค์ทั้งชาติ
~ เห็นเดี๋ยวนี้ มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นลักษณะที่มีจริงที่เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดง เพื่อให้ฟังแล้วไตร่ตรองแล้วค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้น ต้องมั่นคงด้วย
~ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยขาดสภาพรู้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจากการตรัสรู้ว่าขณะที่หลับ ไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่ก็มีสภาพรู้เกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ ยังไม่ตาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้เชื่อว่าเป็นอย่างนี้ แต่พระองค์ทรงแสดงว่าขณะที่หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏ ไม่มีใครรู้อะไรเลย พระองค์ตรัสรู้ว่า ขณะนั้นมีอะไร?
~ ต้องฟังพระธรรมด้วยความเคารพจริงๆ รู้ว่า พระองค์ทรงแสดงว่าขณะที่หลับสนิทเหมือนไม่มีโลกนี้ ไม่มีอะไรเลย แต่ก็ยังมีธาตุรู้ที่ต้องเกิดดับดำรงภพชาติ และขณะนั้นรู้อะไร พระองค์ทรงแสดงไว้ด้วย
~ ทุกอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่เป็นเหตุและเป็นผล
~ เดี๋ยวนี้ จิตเห็นเกิดดับ จิตได้ยินเกิดดับ ไม่ปรากฏการเกิดดับ กำลังหลับสนิท ยังไม่ตาย จิตก็เกิดขึ้น ไม่เห็นไม่ได้ยิน แต่จิตใดก็ตามที่เกิดขึ้นก็ต้องดับ
~ จิตเกิดขึ้นแล้วต้องดับ ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่น ไม่ว่าจะเห็นหรือจะได้ยิน ทั้งหมดเพื่อให้มีความมั่นคงว่านี่เป็นจิต ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แต่เป็นลักษณะของธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ฟังและเข้าใจ ก็เพื่อให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่าไม่มีเรา ไม่มีธรรมที่เที่ยง ทุกอย่างชั่วคราว เกิดขึ้นแล้วดับไปจนกว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ นั่น เป็นปัญญาที่เจริญขึ้น
~ ความเข้าใจถูกเกิดขึ้นแล้วดับหรือเปล่า? ความติดข้องเกิดขึ้นดับหรือเปล่า? ไม่มีอะไรเหลือเลย จึงไม่มีเรา และไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น
~ ศึกษาธรรมต่อไปก็เพื่อเข้าใจละเอียดขึ้น มั่นคงขึ้น เพราะรู้ความจริงว่าแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกัน เกิดขึ้นแล้วดับไป
~ เข้าใจมั่นคงขึ้นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เกิดแล้วดับ แล้วไม่เหลือเลย จึงเข้าใจได้ว่า ไม่มีเรา
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...