เรื่องพระสาคตะ [สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑]
[เล่มที่ 4] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หนาที่ 630
ปาจิตตีย วรรคที่ ๖
สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องพระสาคตะ
พระวินัยปฎก มหาวิภังค ทุติยภาค เลม ๒ - หนาที่ 630
เรื่องพระสาคตะ
[๕๗๕] โดยสมัยนั้น พระผูมีพระภาคพุทธเจาเสด็จจาริกในเจติยชนบท ไดทรงพระดําเนินไปทางตําบลบานรั้วงาม คนเลี้ยงโค คนเลี้ยงปศุสัตว คนชาวนา คนเดินทาง ไดแลเห็นพระผูมีพระภาคเจากําลังทรงพระดําเนินมา แตไกลเทียว ครั้นแลวไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาวา ขอพระองคอยาได เสด็จไปยังทามะมวงเลย พระพุทธเจาขา เพราะที่ทามะมวงมีนาคอาศัยอยูใน อาศรมชฎิล เปนสัตวมีฤทธิ์ เปนอสรพิษมีพิษราย มันจะไดไมทํารายพระองค พระพุทธเจาขา
เมื่อเขากราบทูลอยางนั้นแลว พระองคไดทรงดุษณี.
แมครั้งที่สองแล . . . แมครั้งที่สามแล . . .
ครั้นพระผูมีพระภาคเจาเสด็จจาริกโดยลําดับ ถึงตําบลบานรั้วงามแลว ทราบวา พระองคประทับอยูณ ตําบลบานรั้วงามนั้น.
ครั้งนั้นแล ทานพระสาคตะเดินผานไปทางทามะมวง อาศรมชฎิล ครั้นถึงแลวไดเขาไปยังโรงบูชาไฟ ปูหญาเครื่องลาด นั่งบัลลังก ตั้งกาย ตรง ดํารงสติไวเฉพาะหนา นาคนั้นพอแลเห็นทานพระสาคตะเดินผานเขามา ไดเปนสัตวดุรายขุนเคือง จึงบังหวนควันขึ้นในทันใด แมทานพระสาคตะก็ บังหวนควันขึ้น มันทนความลบหลูไมได จึงพนไฟสูในทันที แมทานพระ
พระวินัยปฎก มหาวิภังค ทุติยภาค เลม ๒ - หนาที่ 631
สาคตะก็เขาเตโชธาตุกสิณสมาบัติ บันดาลไฟตานทานไว ครั้นทานครอบงํา ไฟของนาคนั้นดวยเตโชกสิณแลว เดินผานไปทางตําบลบานรั้วงาม
สวนพระผูมีพระภาคเจาประทับอยูณ ทําบลบานรั้วงาม ตามพระพุทธาภิรมยแลว เสด็จหลีกไปสูจาริกทางพระนครโกสัมพี พวกอุบาสกชาว พระนครโกสัมพีไดทราบขาววา พระคุณเจาสาคตะไดตอสูกับนาคผูอยูณ ทําบลทามะมวง พอดีพระผูมีพระภาคเจาเสด็จจาริกโดยลําดับถึงพระนคร โกสัมพี จึงพวกอุบายสกชาวพระนครโกสัมพีพากันรับเสด็จพระผูมีพระภาคเจา แลว เขาไปหาทานพระสาคตะ กราบไหวแลวยืนอยู ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง แลวถามทานวา ทานขอรับ อะไรเปนของหายากและเปนของชอบของพระคุณเจา พวกกระผมจะจัดของอะไรถวายดี
เมื่อเขาถามอยางนั้นแลว พระฉัพพัคคียไดกลาวตอบคํานี้กะพวก อุบาสกวา มี ทานทั้งหลาย สุราใสสีแดงดังเทานกพิราบ เปนของหายาก ทั้งเปนของชอบของพวกพระ ทานทั้งหลายจงแตงสุรานั้น ถวายเถิด.
ครั้งนั้น พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพี ไดจัดเตรียมสุราใสสีแดง ดังเทานกพิราบไวทุกๆ ครัวเรือน พอเห็นทานพระสาคตะเดินมาบิณฑบาต จึงตางพากันกลาวเชื้อเชิญวา นิมนตพระคุณเจาสาคตะดื่มสุราใสสีแดงดังเทา นกพิราบเจาขา นิมนตพระคุณเจาสาคตะดื่มสุราใสสีแดงดังเทานกพิราบ เจาขา.
ครั้งนั้น ทานพระสาคตะไดดื่มสุราใสสีแดงดังเทานกพิราบทุกๆ ครัว เรือนแลว เมือจะเดินออกจากเมือง ไดลมกลิ้งอยูที่ประตูเมือง
พอดีพระผูมีพระภาคเจาเสด็จออกจากเมืองพรอมดวยภิกษุเปนอันมาก ไดทอดพระเนตรเห็นทานพระสาคตะลมกลิ้งอยูที่ประตูเมือง จึงรับสั่งกะภิกษุ ทั้งหลายวา ดูกอนภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงชวยกันหามสาคตะไป
พระวินัยปฎก มหาวิภังค ทุติยภาค เลม ๒ - หนาที่ 632
ภิกษุเหลานั้นรับสนองพระพุทธดํารัสแลว หามทานพระสาคตะไปสู อาราม ใหนอนหันศีรษะไปทางพระผูมีพระภาคเจา แตทานพระสาคตะได พลิกกลับนอนผันแปรเทาทั้งสองไปทางพระผูมีพระภาคเจา
ลําดับนั้น พระผูมีพระภาคเจารับสั่งถามภิกษุทั้งหลายวา ดูกอนภิกษุ ทั้งหลาย สาคตะมีความเคารพ มีความยําเกรงในคถาคตมิใชหรือ.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลวา เปนดังรับสั่ง พระพุทธเจาขา.
ภ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เออก็บัดนี้ สาคตะมีความเคารพ มีความ ยําเกรงในตถาคต อยูหรือ
ภิ. ขอนั้นไมมีเลย พระพุทธเจาขา.
ภ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย สาคตะไดตอสูกับนาคอยูที่ตําบลทามะมวง มิใชหรือ
ภิ. ใช พระพุทธเจาขา
ภ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้สาคตะสามารถจะตอสูแมกับงูน้ําได
หรือ.
ภิ. ไมได พระพุทธเจาขา.
ภ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย น้ําที่ดื่มเขาไปแลวถึงวิสัญญีภาพนั้น ควรดื่ม หรือไม.
ภิ. ไมควรดื่ม พระพุทธเจาขา.
ภ. ดูกอนภิกษุทั้งหลาย การกระทําของสาคตะไมเหมาะ. ไม่สมควร ไมใชกิจของสมณะ ใชไมได ไมควรทํา ไฉนสาคตะจึงไดดื่มน้ําที่ทํา ผูดื่มใหเมาเลา การกระทําของสาคตะนั่น ไมเปนไปเพื่อความเลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไมเลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแลว . ..
พระวินัยปฎก มหาวิภังค ทุติยภาค เลม ๒ - หนาที่ 633
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอยางนี้ วาดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๐๐. ๑. เปนปาจิตตีย ในเพราะดื่มสุราและเมรัย.
เรื่องพระสาคตะ จบ
สิกขาบทวิภังค
[๕๗๖] นี้ชื่อวา สุรา ไดแกสุราที่ทําดวยแปง สุราที่ทําดวยขนม สุราที่ทําดวยขาวสุกสุราที่หมักสาเหลา สุราที่ผสมดวยเครื่องปรุง
ที่ชื่อ เมรัย ไดแกน้ําดองดอกไม น้ําดองผลไม น้ําดองน้ําผึ้ง น้ําดองน้ําออยงบ น้ําดองที่ผสมดวยเครื่องปรุง
คําวา ดื่ม คือ ดื่มโดยที่สุดแมดวยปลายหญาคา ตองอาบัติปาจิตตีย.
บทภาชนีย
ติกปาจิตตีย
[๕๗๗] น้ําเมา ภิกษุสําคัญวาน้ําเมา ดื่ม ตองอาบัติปาจิตตีย น้ําเมา ภิกษุสงสัย ดื่มตองอาบัติปาจิตตีย
น้ําเมา ภิกษุสําคัญวาไมใชน้ําเมา ดื่ม ตองอาบัติปาจิตตีย
ทุกะทุกกฏ
ไมใชน้ําเมา ภิกษุสําคัญวาน้ําเมา ดื่ม ตองอาบัติทุกกฏ
ไมใชน้ําเมา ภิกษุสงสัย ดื่ม ตองอาบัติทุกกฏ
พระวินัยปฎก มหาวิภังค ทุติยภาค เลม ๒ - หนาที่ 634
ไมตองอาบัติ
ไมใชน้ําเมา ภิกษุสําคัญวาไมใชน้ําเมา ดื่ม ไมตองอาบัติ
อนาปตติวาร
[๕๗๘] ภิกษุดื่มน้ําที่มีกลิ่นรสเหมือนน้ําเมา แตไมใชน้ําเมา ๑ ภิกษุ ดื่มน้ําเมาที่เจือลงในแกง ๑ . . .ที่เจือลงในเนื้อ ๑ ... ที่เจือลงในน้ํามัน ๑ ...น้ําเมาในน้ําออยที่ดองมะขามปอม ๑ ภิกษุดื่มยาดองอริฏฐะซึ่งไมใชของเมา ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมนิกะ ๑ ไมตองอาบัติแล
สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ
พระวินัยปฎก มหาวิภังค ทุติยภาค เลม ๒ - หนาที่ 635
ปาจิตตีย สุราปานวรรคที่ ๖ สุราปานสิกขาบทที่ ๑
พึงทราบวินิจฉัย ในสิกขาบทที่๑ แหงสุราปานวรรคดังตอไปนี้:-
[แกอรรถปฐมบัญญัติ เรื่องสุราเมรัย]
หมูบานแหงหนึ่ง ชื่อวา ภัททวติกะ หมูบานนั้นไดชื่ออยางนี้ เพราะประกอบดวยรั้วงาม
บทวา ปถาวิโน แปลวา คนเดินทาง
สองบทวา เตชสา เตช ไดแก (ครอบงํา) ซึ่งเดชแหงนาคดวยเดช คือ ดวยอานุภาพของตน
บทวา กาโปติกา คือ มีสีแดงเสมอเหมือนกับสีเทาแหงพวกนกพิราบ
คําวา ปสนฺนา นี้ เปนชื่อแหงสุราใส
สามบทวา อนนุจฺฉวิก ภิกฺขเว สาคตสฺส มีรูปความที่ทานกลาว ไววา ชื่อวา การดื่มน้ําเมา เปนการไมสมควรแกสาคตะผูสําเร็จอภิญญา ๕
เมรัยที่เขาทําดวยรสแหงดอกมะซางเปนตน ชื่อวา ปุปผาสวะ. เมรัย ที่เขาคั้นผลลูกจันทนเปนตนแลว ทําดวยรสแหงผลลูกจันทนเปนตนนั้น ชื่อวา ผลาสวะ. เมรัยที่เขาทําดวยรสชาติแหงผลลูกจันทน (หรือองุน) เปนตน ชื่อวา มัธวาสวะ อาจารยบางพวกกลาววา เขาทําดวยน้ําผึ้งก็มี เมรัยที่ ชื่อวา คุฬาสวะ. เขาทําดวยน้ําออยสด เปนตน
ธรรมดาสุรา ที่เขาใสเธอแปง กระทําดวยรสแมแหงจั่นมะพราว เปนตน ยอมถึงการนับวา สุราทั้งนั้น อาจารยบางพวกกลาววา เมื่อตักเอา น้ําใสแหงสุราใสเชื้อแลวนั่นแล (ที่เหลือ) ยอมถึงการนับวาเมรัยทั้งนั้น
พระวินัยปฎก มหาวิภังค ทุติยภาค เลม ๒ - หนาที่ 636
สามบทวา อนฺตมโส กุสคฺเคนาป ปวติ มีความวา ภิกษุดื่มสุรา หรือเมรัยนั่นตั้งแตเชื้อ แมดวยปลายหญาคา เปนปาจิตตีย. แตเมื่อดื่มแมมาก ดวยประโยคเดียว เปนอาบัติเพียงตัวเดียว. เมื่อดื่มขาดเปนระยะๆ เปนอาบัติ มากตัวโดยนับประโยค.
คําวา อมชฺชฺจ โหต มชฺชวณฺณ มชฺชคนฺธ มชฺชรส มี ความวา เปนยาดองน้ําเกลือก็ดี มีสีแดงจัดก็ดี
บทวา สูปส ปาเก มีความวา ชนทั้งหลายใสน้ําเมาลงนิดหนอย เพื่ออบกลิ่นแลวตมแกง, เปนอนาบัติ ในเพราะแกงใสน้ําเมาเล็กนอยนั้น. แมในตมเนื้อก็นัยนี้เหมือนกัน . ก็ชนทั้งหลายยอมเจียวน้ํามันกับน้ําเมา แม เพื่อเปนยาระงับลม, ไมเปนอาบัติในน้ํามัน แมนั้นที่ไมไดเจือน้ําเมาจนเกินไป เทานั้น. ในน้ํามันที่เจือน้ําเมาจัดไป จนมีสีมีกลิ่น และรสแหงน้ําเมาปรากฏ เปนอาบัติแท.
สองบทวา อมชฺช อริฏ มีความวา ในยาดองชื่ออริฏฐะซึ่งไมใช น้ําเมา ไมเปนอาบัติ. ไดยินวา ชนทั้งหลายทํายาดองชื่ออริฏฐะ ดวยรสแหง มะขามปอมเปนตนนั่นแหละ. ยาดองนั้นมี สี กลิ่น และรสคลายน้ําเมา แตไมเมา. พระผูมีพระภาคเจาทรงหมายเอายาดองชื่ออริฏฐะนั้น จึงตรัสคํานี้ แตยาดองอริฏฐะที่เขาปรุงดวยเครื่องปรุงจัดเปนน้ําเมา ไมควรตั้งแตเชื้อ. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เปนกิริยา โนสัญญาวิโมกขอจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ แล ก็ใน สมุฏฐานเปนตนนี้ บัณฑิตพึงทราบวา เปนอจิตตกะ. เพราะไมรูวัตถุ. พึง ทราบวา เปนโลกวัชชะ เพราะจะพึงดื่มดวยอกุศลจิตเทานั้น ดังนี้แล
สุราปานสิกขาบทที่ ๑
จบ