ปีติไหมที่ได้เข้าใจความจริง_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  3 ก.ค. 2564
หมายเลข  34543
อ่าน  1,291

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



"ปีติไหมที่ได้เข้าใจความจริง"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔



~ ต้องไม่ลืม ว่า ความไม่รู้มากแค่ไหนในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้ว ไม่รู้เหมือนชาตินี้ทั้งหมด แล้วถ้าชาตินี้ไม่รู้เหมือนอย่างนี้เลย แล้วต่อไปก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย

~ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจซึ่งไม่เคยมีเลยในสังสารวัฏฏ์ จริงๆ แล้ว รู้สึกปีติ (เอิบอิ่มใจ) ที่ได้รู้ความจริง


~ ความมืดของโลก มีมานานในสังสารวัฏฏ์ เริ่มเปิดเผย (ความสว่าง) ที่พุทธคยา เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วเป็นครั้งแรก เป็นสมัยที่ประเสริฐที่สุด ใช้คำว่า “อภิสมย - (อภิสมัย) ” สมัยที่ประเสริฐที่สุด ที่โลกที่มืดได้มีแสงสว่างเกิดขึ้นทำให้เข้าใจสิ่งที่มีในสังสารวัฏฏ์ ปีติไหมที่แสงสว่างเกิดแล้วสำหรับคนที่ได้ฟังธรรมในครั้งนั้น

~ กาลเวลาผ่านไป ความไม่รู้ เพราะไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพิ่มขึ้น โลกก็มืดอีก แต่เดี๋ยวนี้มีโอกาสได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส

~ ความจริง ลึกซึ้ง ละเอียด ยากไหม? เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ไม่เข้าใจธรรมเมื่อไหร่ เมื่อนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าทุกคำของพระองค์เป็นความจริงที่ลึกซึ้งที่สุด ฟังคำของพระองค์แล้วต้องไตร่ตรอง พอเข้าใจแล้วก็ปีติที่มีโอกาสได้เข้าใจความจริงแม้เพียงเล็กน้อย

~ เป็นความจริงที่สุดว่า ธรรม ละเอียดลึกซึ้งและยากที่สุด ยากที่สุดแต่เริ่มที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น มีความปีติที่เกิดมามีโอกาสได้เข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงให้เราได้ฟังและเข้าใจ

~ คนที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลยคิดว่าเขารู้ทุกอย่าง แต่พอได้ฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้แล้วเริ่มเข้าใจถูกต้องว่าไม่รู้อะไรเลยที่กำลังปรากฏ

~ เคารพต่อความจริงซึ่งลึกซึ้ง ต้องฟังด้วยการไตร่ตรองทีละคำ จนกระทั่งเป็นความค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ

~ ความจริงเป็นความจริงถึงที่สุด เปลี่ยนไม่ได้ ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้น เคารพต่อความจริงของสิ่งนั้น คือ ฟัง ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ ไม่เปลี่ยนความจริงของสิ่งนั้น ไม่พูดผิด

~ ไม่ใช่ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้เลยแล้วนับถือ คนในสมัยโน้นได้ยินคำว่ามีผู้ตรัสรู้ ก็ไปเฝ้า เมื่อฟังธรรมแล้วจึงนับถือในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เข้าใจเลย บอกว่านับถือ ถูกไหม?

~ สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ก็มี แต่ยากและลึกซึ้ง จึงต้องค่อยๆ เป็นความเข้าใจของตัวเอง เมื่อฟังแล้วไตร่ตรอง ถ้าไม่เริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ไหมว่าไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักอะไรเลยทั้งสิ้น

~ เรามาสนทนากัน เพื่อให้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรที่เราไม่รู้เลย ใครๆ ก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เขาจะรู้ว่าเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้นที่เป็นความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้น ต้องตรงต่อความจริงว่าก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้

~ ปัจจุบัน หมายถึง เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม? ปัจจุบัน หมายถึง เดี๋ยวนี้เท่านั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพียงได้ยินคำว่าปัจจุบัน ทุกคนก็รู้ว่าหมายถึงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อกี้นี้เลย ใช่ไหม? เมื่อกี้นี้ ไม่มีแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลย

~ ใครเปลี่ยนไม่ให้เดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ไม่หมดได้ นี่คือ สัจจธรรม ใช่ไหม? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงนี้ ใช่ไหม? ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้อย่างนี้ จะสอนอย่างนี้ได้ไหม และสอนหนทางที่จะรู้ความจริงนี้ด้วย ใช่ไหม? ถ้าไม่เริ่มเข้าใจความจริง สามารถจะรู้ได้ไหมว่า อะไรมีจริง และอะไรเป็นสัจจะ ความจริง

~ เดี๋ยวนี้ เห็นจริง เกิดแล้วก็หมดไป ขณะที่ไม่รู้ ขณะนั้น มีจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกว่าโมหะหรืออวิชชา เพราะฉะนั้น ขณะที่ไม่รู้ เป็นปัจจุบันหนึ่งขณะ หมดไป จึงมีคำว่าอนิจจัง ไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ควรยินดี เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ควรยินดี ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดี จึงเป็นทุกข์ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร (อนัตตา) ทุกอย่างที่เกิด เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา

~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรม จะไม่มีผู้รู้เลย จะไม่มีท่านพระสารีบุตร จะไม่มีท่านพระมหาโมคคัลลานะ ไม่มีพระอริยบุคคลเลย

~ ถ้าเข้าใจความจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ จะเข้าใจทุกคำในพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้จำแล้วตอบ แต่ให้สามารถรู้ว่าทุกคำแสดงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

~ เดี๋ยวนี้ มีอะไร? ความเข้าใจขึ้น จะทำให้ตอบตรงขึ้น เดี๋ยวนี้มีอะไร? เดี๋ยวนี้ มีเห็น ถูกต้อง เปลี่ยนได้ไหม? นี่คือธรรม เป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เป็นอภิธรรมลึกซึ้งเพราะไม่มีใครรู้ว่าเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่มีใครเลย

~ ปีติไหมที่ได้รู้ความจริงว่าขณะนี้เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริง เกิด เป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ไม่มีใครเลยนอกจากธรรมนั้น เป็นธรรมนั้น เปลี่ยนไม่ได้

~ ตราบใดที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ นั่นคือ การศึกษาธรรมจริงๆ เพราะเดี๋ยวนี้ สิ่งนั้นเป็นธรรม

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังอยู่ ให้เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ เป็นอย่างไร ตรัสรู้อย่างไร พระปัญญามากมายมหาศาลอย่างไร เมื่อเข้าใจธรรมเพียงเท่านี้ปีติไหมจากการที่ไม่เคยรู้ความจริงของเดี๋ยวนี้มาก่อนเลย เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรม เข้าใจในความลึกซึ้งในความละเอียด เคารพในความจริง และปีติที่มีโอกาสที่จะได้ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย

~ ต้องเป็นคนตรงที่จะรู้ว่า ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย แต่มีธรรมเท่านั้นที่ละเอียดหลากหลายต่างกันมาก และเพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

~ ความเข้าใจจะค่อยๆ สะสมสืบต่อจนสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้

~ การศึกษาชื่อเรื่องราวทั้งหมด ไร้ประโยชน์ ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ว่า ทุกคำเพื่อให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีจนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้

~ ไม่รู้ความจริงมานานมากๆ แล้ว กว่าจะรู้ความจริงจนประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมได้ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ได้ฟัง กำลังเริ่มที่จะสะสมเหตุที่จะให้รู้อย่างนั้น จึงเกิดความปีติว่า ได้มีความเข้าใจความจริงที่ไม่ผิดและรู้ค่าสูงสุดของปัญญาหรือความเข้าใจความจริง ว่า สามารถเกิดได้ ค่อยๆ เจริญได้ ค่อยๆ รู้ความจริงได้ ค่อยๆ ละความไม่รู้ได้

~ วันนี้ เมื่อได้เข้าใจขึ้น ปีติไหม และเมื่อสามารถทำให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยแม้เพียงเล็กน้อย ปีติไหม จากการที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน เป็นการที่เขาค่อยๆ เริ่มรู้ขึ้น ต้องอดทนนานไหม จากคนที่ไม่รู้อะไรเลยและเขาสามารถเข้าใจขึ้นจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราซึ่งช่วยให้เขาได้มีโอกาสได้ฟังและไตร่ตรองจนเขาเข้าใจ ปีติด้วยไหม จากการที่เขาไม่เคยรู้เลยแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นต้องอดทนไหมกว่าเขาจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจความจริงของขันติบารมี ต้องอดทนที่จะฟังธรรมให้เข้าใจ ต้องอดทนที่จะไม่โกรธคนที่เขาไม่รู้และทำสิ่งที่ไม่ดี ต้องอาศัยคุณความดีมาก จึงทำให้ค่อยๆ เข้าใจธรรมมากขึ้น เพราะอกุศลไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจธรรมได้เลย

~ ต้องมีความตรงต่อความจริง ไม่ผิดจากความจริงเลย จึงเป็นสัจจ
บารมี

~ อดทนที่จะไม่โกรธ อดทนที่จะไม่รัก อดทนที่จะไม่เป็นอกุศลต่างๆ แต่ทั้งหมดถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้

~ ในขณะใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ยังไม่ใช่กาลเวลาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เบิกบานที่จะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เสียใจว่าช้าเหลือเกิน นานเหลือเกิน นั่นคือ ความไม่รู้ความจริง ดูตัวอย่างของพระอริยสาวกในพระไตรปิฎกได้ ทุกท่านก่อนจะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงแต่ละชาติเป็นอย่างไร เป็นปกติธรรมดา แต่มีการอบรมเจริญปัญญาทุกชาติ

~ ข้อสำคัญที่สุด ต้องตรงต่อความจริง มิฉะนั้น ก็จะไม่ได้รู้จักความจริง

~ ถ้าขาดปัญญา จะไม่เป็นบารมีสักบารมีเดียว



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Jans
วันที่ 3 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
petsin.90
วันที่ 3 ก.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
swanjariya
วันที่ 3 ก.ค. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนากับคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Chamai
วันที่ 3 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณมากค่ะ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 3 ก.ค. 2564

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ในทุกคำที่ท่านกล่าวด้วยความเมตตากรุณากับผู้ที่ยังไม่รู้ความจริงเช่นเรา ให้ได้อดทนที่จะเคารพในการศึกษาพระธรรมที่แสนยาก ลึกซึ้ง และเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ให้โลกได้สว่างเมื่อเข้าใจความจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
กราบยินดีในกุศลคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาทุกท่านที่จะสืบทอดคำจริงของพระพุทธองค์ให้ผู้อื่นในแดนพุทธภูมิได้รู้ต่อๆ ไป

กราบขอบพระคุณกุศล อ.คำปั่นด้วยความเคารพด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 3 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และยินดียิ่งในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
panasda
วันที่ 3 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pulit
วันที่ 4 ก.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lai
วันที่ 4 ก.ค. 2564

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 4 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Wisaka
วันที่ 5 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ