ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๕

 
khampan.a
วันที่  4 ก.ค. 2564
หมายเลข  34557
อ่าน  2,025

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๕
* *



~ คำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งกว่าสมบัติใดๆ ในสากลจักรวาล ที่จะทำให้คนที่ไม่รู้อะไร เกิดแล้วเกิดอีกๆ เกินกว่าแสนโกฏิกัปป์ ได้มีความเข้าใจสิ่งซึ่งมีทุกวันแม้ในชาตินี้ แต่ก็ไม่เคยเข้าใจได้เลยสักอย่างเดียว จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ บูชาพระรัตนตรัย ด้วยการเคารพสูงสุดในการที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ เพื่อเข้าใจ เพราะเหตุว่า ทุกคนก็คงยอมรับว่า ก่อนได้ฟังพระธรรมไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย หรือว่าใครสามารถจะรู้ได้ก่อนฟังพระธรรม? เป็นไปไม่ได้เลย

~ ที่เกิดมาเป็นคนนี้ ที่เป็นประโยชน์ ก็คือ ได้รู้จักคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทุกคำ ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงจำแล้วก็ท่องหรือว่าคัดข้อความจากพระไตรปิฎกแล้วก็อาจจะพูดทั้งคืนก็ได้แต่ไม่ได้มีความเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสรู้แล้วทรงแสดงซึ่งหมายถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด

~ การที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ ความเคารพสูงสุดคืออะไร คือ พิจารณาไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจของตนเอง นั่นคือ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อแต่ละคนที่ได้ฟังคำของพระองค์สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้

~ แต่ละหนึ่งขณะของปัญญาที่เกิด ไม่สูญหายไปไหนเลย แต่จากการฟังแล้วฟังอีก จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ สภาพธรรมแต่ละหนึ่งมีลักษณะให้รู้ได้ว่าอาการนั้น เป็นธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เกิดแล้ว ใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย จึงเป็นปรมัตถธรรม ลักษณะนั้นเป็นใหญ่ คือ ใครเปลี่ยนไม่ได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เปลี่ยนไม่ได้ สุขเป็นสุข จะเปลี่ยนสุขให้เป็นทุกข์ ไม่ได้ ติดข้องเป็นติดข้อง จะเปลี่ยนให้เป็นโทสะความขุ่นเคืองใจ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมนั่นแหละทั้งหมด แต่ละหนึ่ง เป็นปรมัตถธรรม

~ ค่ามหาศาล ทรัพย์สินใดๆ ก็เปรียบไม่ได้เลยกับการที่ได้มีความเห็นถูกความเข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริงซึ่งในสังสารวัฏฏ์มีโอกาสจะได้ฟังบ่อยไหม ฟังได้เท่าไหร่ เข้าใจขึ้นเท่าไหร่ กว่าจะรู้ขึ้นๆ ในแต่ละภพแต่ละชาติ จนสามารถที่จะรู้ความจริง ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้จากการที่ได้ทรงตรัสรู้

~ วิธีไหนก็ไม่สามารถจะมาทำให้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นอกจากฟังคำของพระองค์ ไม่เผิน เคารพอย่างยิ่งที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่บิดเบือน

~ กตัญญู หมายความว่า รู้คุณ ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม? เพราะฉะนั้น ผู้รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่เข้าใจคำที่พระองค์ตรัส เมื่อได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีแล้วถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง แม้แต่เมตตาคืออะไร? เมตตาเป็นธรรมฝ่ายดี เป็นความหวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล ไม่หวังร้าย ไม่คิดร้าย ไม่โกรธ ขณะใดที่มีความเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู เพราะฉะนั้น จะไม่คิดร้าย ไม่หวังร้าย ไม่ทำร้าย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ใจก็ไม่คิดร้ายด้วย จึงจะมีเมตตา ไม่ใช่ท่อง (บทเมตตา) เสร็จ ก็เกลียดเหลือเกินคนนั้น โกรธเหลือเกินคนนั้น แต่ก็ท่องว่าขอสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข นั่น เป็นสิ่งที่ไร้สาระ เพราะเหตุว่า เป็นคำพูดที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย เพราะอยากพูด อยากมี ทั้งหมดทำไปด้วยความอยาก
แต่ถ้าเมตตาจริงๆ คือไม่ทำร้าย

~ ถ้าจิตขณะนั้นมีเมตตาจริงๆ ไม่ต้องเปล่งคำว่าขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข เพียงขณะที่ไม่ทำร้ายกัน ไม่เบียดเบียนกัน หวังดีต่อกันทั้งกายวาจาใจ ขณะนั้น ไม่ต้องพูดว่าขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข เพราะเขามีความสุขแล้ว จากการที่เราไม่เบียดเบียนเขา

~ ถ้าระลึกถึงความตาย ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทิ้งสิ่งที่ผิดโดยเร็วที่สุดที่สามารถจะทำได้ แล้วก็ทำสิ่งที่ถูกต้อง ยังมีเวลา

~ พระธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุด ซึ่งเมื่อใครได้เข้าใจถูกต้องแล้วเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชีวิตของเขาในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว

~ ถ้าเคารพพระธรรม ทุกอย่างที่ทำเพื่อพระธรรม ไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้น เพราะว่าพูดคำจริงเป็นโทษอะไร? มีแต่ความหวังดี เพราะฉะนั้น ทุกคน ทุกท่านที่เคารพในพระธรรม ไม่เห็นว่าจะลำบากในการที่จะทิ้งความเห็นผิดเลย และไม่ลำบากที่จะเริ่มต้นในสิ่งที่ถูก เพราะถ้าไม่เริ่มต้น ยิ่งผิด ยิ่งละยาก ถูกยากขึ้น

~ วิธีที่จะพิสูจน์ว่าอกุศลละคลายลงไปบ้างไหม และได้เข้าใจประโยชน์ของกุศลเห็นโทษของอกุศลบ้างไหม ในวันหนึ่งๆ ก็มีบทพิสูจน์หลายบท เช่น ถ้าเป็นคนที่ไม่สำคัญเลยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ขณะนั้นจะสบายใจไหม ถ้าเป็นคนที่ไม่สำคัญเลย ที่จริงแล้วสบายมาก แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความสำคัญตนที่สะสมมามาก จะเป็นผู้ที่เดือดร้อน กระสับกระส่าย ไม่สบายใจเลย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า วิถีชีวิตของแต่ละคนที่ได้ฟังพระธรรม มีการสะสมอบรมเหตุที่จะให้ปัญญาเกิดและอบรมจนกระทั่งถึงขั้นที่จะละคลายกิเลสบ้างไหม เพราะว่าเป็นผู้ที่เริ่มเห็นความละเอียดของกิเลสขึ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ

~ คนที่เข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งนั้น ไปเพื่ออะไร? เพื่อฟังพระธรรม ฟังคำแต่ละคำให้เกิดปัญญาความเข้าใจถูกของตนเอง เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องของตนเองในคำแต่ละคำที่ได้ฟัง

~ ต้องอาศัยการสะสมอบรมเจริญไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ลองคิดดูว่า ถ้าไม่ฟังเลย จะเป็นอย่างไร จะคงยังมีความเห็นผิดอยู่ และไม่มีหนทางที่จะละความเห็นผิด ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียด

~ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นไปตามกรรมที่กระทำแล้ว จะไม่ให้อยู่ก็ไม่ได้ ใครจะไม่ให้เกิดได้ไหม? เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดขึ้นเป็นไป แต่ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นธรรม คำนี้คำเดียวที่จะต้องเข้าใจขึ้น เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่อะไรทั้งหมด นอกจากเป็นธรรม

~ ถ้าท่านจะดูชีวิตของบุคคลอื่น อาจจะเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น เป็นไปได้ตามกรรม ซึ่งก็เป็นที่กล่าวถึงว่า ทำไมถึงช่างวิจิตรต่างๆ กันอย่างนั้น ตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง หรือว่าเรื่องของญาติมิตรทั้งหลายบ้าง อันนั้นก็พอที่จะเห็นได้ว่า แต่ละชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม

~ พระธรรม ลึกซึ้ง และก็เป็นชีวิตปกติประจำวันสามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่ว่าจะในเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เพราะฉะนั้น ก็รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ชีวิตยังอยู่อีก จะศึกษาธรรมในเพศใด ตรงตามอัธยาศัย

~ ชีวิตถึงจะลำบากสักเท่าไหร่ ก็อยู่ได้เมื่อเข้าใจธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรม ชีวิตจะสุขสบายสักเท่าไหร่ ก็อยู่ยาก เพราะไม่เข้าใจธรรม


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๔





...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 4 ก.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
natthayapinthong339
วันที่ 4 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 4 ก.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Lai
วันที่ 4 ก.ค. 2564

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Jans
วันที่ 4 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 5 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สิริพรรณ
วันที่ 5 ก.ค. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

ยินดีในกุศลและขอบพระคุณอ.คำปั่นด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pulit
วันที่ 9 ก.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เฉลิมพร
วันที่ 9 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มังกรทอง
วันที่ 21 ก.พ. 2565

คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง แม้แต่เมตตาคืออะไร? เมตตาเป็นธรรมฝ่ายดี เป็นความหวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล ไม่หวังร้าย ไม่คิดร้าย ไม่โกรธ ขณะใดที่มีความเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู เพราะฉะนั้น จะไม่คิดร้าย ไม่หวังร้าย ไม่ทำร้าย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ใจก็ไม่คิดร้ายด้วย จึงจะมีเมตตา น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ