๗. ยสเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระยสเถระ
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 526
๗. ยสเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระยสเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 526
๗. ยสเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระยสเถระ
[๒๕๔] ได้ยินว่า พระยสเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้ลูบไล้ดีแล้ว มีเครื่องนุ่งห่มอันงดงาม ประดับด้วยสรรพาภรณ์ ได้บรรลุวิชชา ๓ บำเพ็ญกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 527
อรรถกถายสเถรคาถา
คาถาของท่านพระยสเถระ เริ่มต้นว่า สุวิลิตฺโต สุวสโน. เรื่องราว ของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เข้าไปสั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ (เกิด) เป็นพระยานาคผู้มีอานุภาพมาก ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า สุเมธะ นำภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข มาสู่ภพของตน แล้วยังมหาทานให้เป็นไป ถวายให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองไตรจีวรมีค่ามาก และให้ภิกษุแต่ละรูปนุ่งห่มผ้าที่มีค่ามากเหมือนกันรูปละคู่ (พร้อมด้วย) สมณบริขารทุกอย่าง. ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย (เกิด) เป็นบุตรเศรษฐี ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ บูชาบริเวณต้นมหาโพธิด้วยรัตนะ ๗. ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เขาได้บวชในพระศาสนา แล้วบำเพ็ญสมณธรรม. เขาท่องเที่ยวไปแต่ในสุคติภพอย่างเดียว ด้วยอาการอย่างนี้ แล้วเกิดเป็นบุตรเศรษฐี มีสมบัติมาก ในกรุงพาราณสี ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายนี้ โดยนามมีชื่อว่า ยสะ เป็นสุขุมาลชาติ (ละเอียดอ่อน) อย่างยิ่ง. เรื่องทั้งหมดเป็นต้นว่า ยสกุลบุตรมีปราสาท ๓ หลัง พึงทราบโดยนัยอันมาแล้ว ในขันธกะ.
ยสกุลบุตร อันบุรพเหตุตักเตือนอยู่ เห็นประการอันแปลกของบริวารชน ผู้อันความหลับครอบงำแล้วในเวลากลางคืน เกิดความสลดใจ สวมรองเท้าทอง หลบออกจากเรือน ออกไปทางประตูเมือง ที่เทวดาเปิดให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 528
ไปใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กล่าวว่า วุ่นวายจริงหนอ ท่านผู้เจริญ ขัดข้องจริงหนอ ท่านผู้เจริญดังนี้. โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ที่ป่าอิสิปตนะ เสด็จจงกรมอยู่ในอัพโภกาส เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เข้านั่นแล ได้ตรัสว่า มาเถิดยสะ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ดังนี้ เขาจึงเกิดโสมนัสว่า ได้ยินว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มีอยู่ จึงถอดรองเท้าทอง เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมื่อพระศาสดาตรัสอนุปุพพิกถา ทรงแสดงสัจจเทศนาอยู่ เป็นพระโสดาบันในเวลาจบสัจจะ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัจจเทศนาแก่บิดาผู้ตามหา ได้กระทำให้แจ้งพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ภพของเราหยั่งลงสู่มหาสมุทร ตกแต่งดีแล้ว สระโบกขรณีตกแต่งสวยงาม มีนกจักรพรากส่งเสียงร้องอยู่ ดารดาษด้วยบัวขม บัวเผื่อน บัวหลวง และ อุบล ในสระนั้นมีน้ำไหล มีท่าน้ำราบเรียบ น่ารื่นรมย์ใจ มีปลาและเต่าชุกชุม มีเนื้อต่างๆ มาลง กินน้ำ มีนกยูง นกกระเรียน และนกดุเหว่าเป็นต้น ร่ำร้องด้วยเสียงอันไพเราะ นกเขา นกเป็ดน้ำ นก จักรพราก นกกาน้ำ นกต้อยตีวิด นกสาลิกา นก ค้อนหอย นกโพระดก หงส์ นกกระเรียน นกแสก นกขมิ้นเหลืองอ่อน เที่ยวอยู่มากมาย สระโบกขรณี สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแก้วมณี ไข่มุก และ ทราย ต้นไม้ทั้งหลายก็เป็นสีทองทั้งหมด มีกลิ่นหอม ต่างๆ ฟุ้งขจรไป ส่องภพของเราให้สว่างไสวตลอดกาลทั้งปวง ทั้งกลางวันกลางคืน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 529
ดนตรีหกหมื่นประโคมอยู่ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า หญิง ๑๖,๐๐๐ คน ห้อมล้อมเราอยู่ทุกเมื่อ เราออกจากภพแล้ว ได้เห็น พระพุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ ผู้นำของโลก มีจิตเลื่อมใส โสมนัส ได้ถวายบังคมพระองค์ผู้มียศใหญ่ ครั้นถวายบังคมแล้ว ได้ทูลอาราธนาพระองค์ พร้อมด้วยศิษย์พระพุทธเจ้าผู้เป็นนักปราชญ์ พระนามว่า สุเมธะ พระผู้นำของโลกทรงรับ พระมหามุนีกล่าวธรรมกถาแก่เรา แล้วส่งเราไป เราถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า เสร็จแล้วกลับเข้าภพของเรา เราเรียก บริวารชนมาสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงมาประชุมกัน เวลาเช้าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมาสู่ภพของเรา การที่เราทั้งหลายจะได้อยู่ในสำนักของพระองค์ เป็นลาภที่เราทั้งหลายได้ดีหนอ แม้เราทั้งหลายจักทำการบูชาแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้ศาสดา เราตระเตรียมข้าวและน้ำเสร็จแล้ว จึงกราบทูลเวลาเสวยภัตตาหาร พระพุทธเจ้าผู้นำของโลก เสด็จเข้ามาพร้อมด้วยพระอรหันต์หนึ่งแสน เราได้ทำการต้อนรับ ด้วยสังคีตและดนตรี พระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ ประทับนั่งบนตั่งทองล้วน ในกาลนั้น หลังคาเบื้องบนก็มุงด้วยทองล้วนๆ คนทั้งหลายโบกพัดถวาย ในระหว่างภิกษุสงฆ์ เราได้อังคาสภิกษุสงฆ์ให้อิ่มหนำ ด้วยข้าวและน้ำเพียงพอ ได้ถวายผ้าแด่ภิกษุสงฆ์รูปละหนึ่งคู่ พระพุทธเจ้าที่เขาเรียกกันว่า สุเมธะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 530
ผู้สมควรรับเครื่องบูชาของโลก ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดอังคาสเราให้ อิ่มหนำ ด้วยข้าวและน้ำทั้งปวง เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักรื่นรมย์อยู่ใน เทวโลก ตลอด ๑๘๐๐ กัป จักได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิราช ๑,๐๐๐ ครั้ง ผู้นั้นเข้าถึงกำเนิดใด คือ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ในกำเนิดนั้น หลังคาทองล้วนๆ จักกั้นเป็นร่มให้ในทุกขณะ ใน ๓๐,๐๐๐ กัป พระศาสดาทรงพระนามว่า โคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์ พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นจักเป็นทายาทในธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะนิพพาน จักนั่งในท่ามกลางสงฆ์แล้ว บันลือสีหนาท ชนทั้งหลายจักกั้นฉัตรไว้ที่เชิงตะกอน จักเผาภายใต้ฉัตร. สามัญผลอันเราบรรลุแล้วโดยลำดับ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ความเร่าร้อนไม่มีแก่เรา ที่มณฑปหรือโคนไม้ ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งทานทั้งปวง. เราเผา กิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรา กระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออกแล้ว ตรัสกะท่านผู้มีอายุ ชื่อว่า ยสะ ว่าจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในระหว่างที่มีพระพุทธดำรัสนั่นเอง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 531
ท่านพระยสะได้เป็นผู้มีผมและหนวด สักว่าเป็นองค์สองก็อันตรธานไป ได้เป็นประดุจพระเถระผู้มีพรรษา ๖๐ ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘. พระเถระ พิจารณาดูข้อปฏิบัติของตนแล้ว เมื่อจะเปล่งอุทาน ได้กล่าวคาถาด้วยสามารถ แห่งเนื้อความอันมีมาก่อน แต่จะถึงความเป็น เอหิภิกขุว่า
เราเป็นผู้ลูบไล้ดีแล้ว มีเครื่องนุ่งห่มอันงดงาม ประดับด้วยสรรพาภรณ์ ได้บรรลุวิชชา ๓ บำเพ็ญกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุวิลิตฺโต ความว่า มีร่างกายอัน ลูบไล้แล้ว ด้วยหญ้าฝรั่น จันทน์แดง อันงดงาม.
บทว่า สุวสโน ความว่า นุ่งห่มด้วยผ้าของชาวกาสีอย่างดีมีราคาแพง.
บทว่า สพฺพาภรณภูสิโต โดยความว่า ประดับแล้วด้วยอาภรณ์ทั้งปวง มีเครื่องประดับศีรษะเป็นต้น.
บทว่า อชฺฌคมึ แปลว่า ได้บรรลุแล้ว. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าว แล้วทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถายสเถรคาถา