ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๖

 
khampan.a
วันที่  11 ก.ค. 2564
หมายเลข  34592
อ่าน  1,420

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๖
* *



~ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่พ้นจากความเป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) ต้องมีความมั่นคง เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมมาแล้วในชาติก่อนๆ ในชาตินี้ ในชาติต่อไปก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่า ไม่ใช่เรา

~ สะสมความไม่หวั่นไหว เพราะเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นธรรม

~ เพียงแค่ศรัทธาคำเดียว ก็ต้องเข้าใจ ขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ จึงผ่องใส ขณะหวั่นไหว อยากผ่องใส อยากไม่มีกิเลส ขณะนั้นก็ไม่ใช่ศรัทธา

~ ชีวิตประจำวันมีการที่จะเพิ่มบารมี (ความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) อะไรขึ้นบ้างหรือเปล่า? ง่ายมาก ไม่ยากเลย สั้นด้วย "ทำความดี" หรือว่า "เป็นคนดี"พราะว่าคนอื่นจะไม่เดือดร้อนเพราะเรา ใครๆ ก็ไม่เดือดร้อน มีใครบ้างที่ไม่ชอบหรือไม่ได้รับประโยชน์จากความดี แม้เพียงเล็กน้อยที่เป็นสิ่งที่ดี คนอื่นก็ได้รับความสบายใจ ไม่เดือดร้อนเลย

~ ถ้าปราศจากบารมี กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ก็เต็มเหมือนเดิม เพิ่มขึ้นด้วย

~ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เกิด ต้องไม่ลืมว่า เป็นธรรมทั้งนั้น และไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย ขณะนี้เพียงมีแล้วหมด เร็วแค่ไหน ลึกซึ้งแค่ไหน ติดข้องแค่ไหนด้วยความไม่รู้

~ ศึกษาพระธรรมแต่ละคำในพระไตรปิฎก มีประโยชน์ล้ำค่ามหาศาล ทุกคำ เตือน ทุกคำ ให้เข้าใจ ทุกคำ ให้รู้ความจริง ว่า ตรงไหนเลว ตรงไหนไม่ดี ควรละ

~ ถ้าเป็นผู้ที่หวังดีจริงๆ ก็ไม่ท้อถอยเลย ชีวิตนี้มีค่า มีประโยชน์ ก็ตรงที่สามารถที่จะเข้าใจถูกและให้คนอื่นได้เข้าใจถูกด้วย ไม่ว่าเขาเป็นใคร

~ ถ้าเห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะจะตายเย็นนี้ ก็ได้ ดีกว่าไปนั่งกลัวอะไร แต่ไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์

~ กลัวโควิดแล้วเราไม่กลัวความไม่รู้หรือ? ไม่ได้ตายเพราะโควิด คืนนี้อาจจะตาย
(เพราะอย่างอื่น) ก็ได้


~ ไม่เคยรู้ความจริง จึงฟังพระธรรมจนกว่าจะมีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ

~ ฟังพระธรรม เพื่อรู้ความจริง ไม่ใช่ต้องการจะไปทำอย่างนี้จะไปทำอย่างนั้น แต่เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะให้เข้าใจได้นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ตายแน่ทุกคน แต่ขอให้เป็นความดีที่ได้ทำ ไม่ใช่ความชั่วที่ได้ทำแล้วไม่แก้ไข

~ แค่เป็นคฤหัสถ์ที่ดียังยาก แล้วถ้าเป็นภิกษุ จะยิ่งยากกว่าสักแค่ไหน

~ ถ้าไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่รู้ ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องวัดเครื่องตัดสินได้เลยว่าพูดถูกหรือผิด แต่เมื่อได้ศึกษาธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่งได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังก็รู้ว่าใครผิดใครถูก ถ้าไม่มีความรู้เลย จะตัดสินได้อย่างไร แต่เพราะเหตุว่า ได้รู้แล้วได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอใครพูดคำซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ว่านั่นคิดเองสอนเอง คิดเองขณะนั้นก็เป็นคำสอนของผู้ซึ่งไม่ได้ศึกษาไม่ได้เข้าใจพระธรรมจึงกล่าวคำที่ตรงกันข้ามกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำที่ตรงกันข้ามกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการทำลายคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ผู้ที่ศึกษาพระธรรม จะได้สาระจากพระธรรม ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ตรง เพราะธรรม (สิ่งที่มีจริง) ตรงมาก เพียง (ผู้นั้น) ไม่ตรงนิดเดียว ผิดแล้ว ไม่ได้สาระจากพระธรรมแล้ว เพราะฉะนั้น สัจจะ (ความเป็นผู้ตรง) จึงเป็นบารมี

~ เมื่อมีความเข้าใจ จะไปเดือดร้อนทำไม เพราะว่า เดือดร้อนเป็นอกุศล เมื่อถึงเวลาที่ธรรมใดจะเกิด ธรรมนั้นต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย

~ เวลาที่มีทุกขเวทนาเกิดและเป็นทุกข์เดือดร้อนใจ ให้ทราบว่า เพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง เหมือนกับถูกลูกศรดอกที่ ๑ ทางกายแล้ว ยังไม่พอ ยังต้องถูกยิงด้วยลูกศรดอกที่ ๒ ที่แผลเก่านั้นซ้ำลงไปอีก เพราะฉะนั้น ทุกขเวทนาก็ต้องเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากทุกข์กายแล้ว ยังมีทุกข์ใจด้วย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทุกข์ใจน้อยลงไหม ไม่ว่าจะได้รับอกุศลวิบากทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย แต่ถ้าไม่รู้ วันหนึ่งๆ ทุกข์ใจมากเหลือเกิน เพิ่มขึ้นมาอีก


~ โรคที่เกิดเพราะกรรม มีไหม โรคบางโรคถึงจะรักษาก็ไม่หายถ้าโรคนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน (เหตุก่อให้เกิด) ซึ่งตอนเกิดมายังไม่มีโรคนั้น แต่หลังจากนั้นแล้วจะมีโรคนั้นเกิดขึ้นก็ได้ เพราะว่าการให้ผลของกรรม อาจจะให้ผลในชาตินี้ก็ได้ ถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้ กรรมนั้นจะให้ผลในชาติหน้าก็ได้ หรือถ้าไม่ให้ผลในชาติหน้า จะให้ผลในชาติหลังๆ ต่อจากชาตินั้นไปก็ได้ แล้วแต่ประเภทของกรรม

~ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ควรจะพิจารณาเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ถ้ารู้สึกตัวว่าจิตเน่า น่ารังเกียจมาก ต้องใช้ยารักษา (คือ พระธรรม) มิฉะนั้นแล้ว ไม่สามารถทำให้จิตเน่ากลับคืนสู่สภาพปกติได้ จึงต้องฟังพระธรรม และอบรมเจริญกุศลทุกประการให้ถึงพร้อม

~ คนเราเกิดมา แสนสั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน ที่ไหน ด้วยอาการอย่างไร แต่ก่อนจากไป เป็นคนดีหรือเปล่า? สามารถที่จะดีกว่านี้ได้ไหม? เพราะเหตุว่าเป็นมนุษย์มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรมได้คิดได้ไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น ถ้าจะจากโลกนี้ไป ก็ให้สมกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็คือ ได้มีความเข้าใจถูกซึ่งสามารถที่จะได้ยินได้ฟังคำจริงที่ทำให้เข้าใจต่อไป

~ ถ้ามั่นคงในกรรมแล้ว เรื่องกรรมของเขา เขาก็ต้องมีแน่ๆ วิบากของเขา เขาก็ต้องได้รับแน่ๆ และอกุศลของเขาก็มี ของเราก็มี เรามีหน้าที่อย่างเดียวที่เกิดมาในโลกนี้ คือ เพียรละอกุศลของเรา ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับอกุศลของคนอื่น

~ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน แม้ว่าคนอื่นจะทำกรรมที่ไม่ดีกับเรา แต่เรามีกรรมดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับกรรมไม่ดีที่คนอื่นกระทำกับเรา เพราะว่าใครทำกรรมอย่างใดก็ได้อย่างนั้น แล้วเราจะไปคิดที่จะพยาบาทเบียดเบียนเขาทำไม ในเมื่อรู้ว่าเขาต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน แล้วความพยาบาทไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเก็บให้มีมากๆ เลย เพราะเหตุว่า เป็นทุกข์ในขณะที่เกิดขึ้นด้วย

~ ขณะที่ได้ฟังพระธรรม ปัญญาจะทำให้เป็นสังขารขันธ์ (ปรุงแต่ง) ชีวิตข้างหน้าให้เป็นไปตามความเข้าใจถูก

~ ทุกคนจะไม่รู้เลยว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ วันนี้ก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก่อนจะตายไป เราจะรู้สึกไหมว่าเราได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งคือ ช่วยให้คนที่เข้าใจผิดๆ ในพระพุทธศาสนาได้เข้าใจถูกต้อง มิฉะนั้น พระพุทธศาสนาก็ล่มสลายแน่นอน เพราะเหตุว่า พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งเท่านั้น



* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๕



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 11 ก.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
natthayapinthong339
วันที่ 11 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 11 ก.ค. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pulit
วันที่ 12 ก.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Jans
วันที่ 12 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 12 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kukeart
วันที่ 12 ก.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ