๙. เรื่องสันตติมหาอํามาตย์ [๑๑๕]
[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 113
๙. เรื่องสันตติมหาอํามาตย์ [๑๑๕]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 113
๙. เรื่องสันตติมหาอํามาตย์ [๑๑๕]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสันตติมหาอํามาตย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อลงฺกโต เจปิ สมฺจเรยฺย" เป็นต้น
สันตติมหาอํามาตย์ ได้ครองราชสมบัติ ๗ วัน
ความพิสดารว่า ในกาลครั้งหนึ่ง สันตติมหาอํามาตย์นั้นปราบปรามปัจจันตชนบท ของพระเจ้าปเสนทิโกศล อันกําเริบให้สงบแล้วกลับมา ต่อมา พระราชาทรงพอพระหฤทัย ประทานราชสมบัติให้ ๗ วัน ได้ประทานหญิงผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับนางหนึ่งแก่เขา เขาเป็นผู้มึนเมาสุราสิ้น ๗ วัน ในวันที่ ๗ ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง แล้ว ขึ้นสู่คอช้างตัวประเสริฐไปสู่ท่าอาบน้ํา เห็นพระศาสดากําลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่ระหว่างประตู อยู่บนคอช้างตัวประเสริฐนั่นเอง ผงกศีรษะ ถวายบังคมแล้ว
พระศาสดาทรงทําการแย้ม พระอานนท์ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุให้ทรงกระทําการแย้มให้ปรากฏ" เมื่อจะตรัสบอกเหตุแห่งการแย้ม จึงตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอํามาตย์ ในวันนี้เอง เขาทั้งประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่างเทียว มา สู่สํานักของเรา จักบรรลุพระอรหัตในเวลาจบคาถาอันประกอบด้วยบท ๔ แล้ว นั่งบนอากาศ ชั่ว ๗ ลําตาล จักปรินิพพาน"
มหาชนได้ฟังพระดํารัสของพระศาสดา ผู้กําลังตรัสกับพระเถระอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 114
คน ๒ พวกมีความคิดต่างกัน
บรรดามหาชนเหล่านั้น พวกมิจฉาทิฏฐิ คิดว่า "ท่านทั้งหลาย จงดูกิริยาของพระสมณโคดม พระสมณโคดมนั่น ย่อมพูดสักแต่ปากเท่านั้น ได้ยินว่า ในวันนี้ สันตติมหาอํามาตย์นั่น มึนเมาสุราอย่างนั้น แต่งตัวอยู่ตามปกติ ฟังธรรมในสํานักของพระสมณโคดมนั้นแล้ว จักปรินิพพาน ในวันนี้ พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมนั้นด้วยมุสาวาท" พวกสัมมาทิฏฐิ คิดกันว่า "น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีอานุภาพมาก ในวันนี้เราทั้งหลาย จักได้ดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า และการเยื้องกรายของสันตติมหาอํามาตย์"
ส่วนสันตติมหาอํามาตย์ เล่นน้ําตลอดวันที่ท่าอาบน้ําแล้ว ไปสู่อุทยาน นั่งที่พื้นโรงดื่ม
หญิงฟ้อนเป็นลมตาย
ฝ่ายหญิงนั้น ลงไปในท่ามกลางที่เต้นรํา เริ่มจะแสดงการฟ้อน และการขับ เมื่อนางแสดงการฟ้อนการขับอยู่ในวันนั้น ลมมีพิษเพียงดังศัสตรา เกิดขึ้นแล้วในภายในท้อง ได้ตัดเนื้อหทัยแล้ว เพราะความที่นางเป็นผู้มีอาหารน้อยถึง ๗ วัน เพื่อแสดงความอ้อนแอ้นแห่งสรีระ ในทีทันใดนั้นเอง นางมีปากอ้าและตาเหลือก ได้กระทํากาละแล้ว
โศกเพราะภรรยาตาย
สันตติมหาอํามาตย์ กล่าวว่า "ท่านทั้งหลาย จงตรวจดูนางนั้น" ในขณะสักว่าคําอันชนทั้งหลายกล่าวว่า "หญิงนั้นดับแล้ว นาย" ดังนี้ ถูกความโศกอย่างแรงกล้าครอบงําแล้ว ในขณะนั้นเอง สุราที่เธอดื่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 115
ตลอด ๗ วัน ได้ถึงความเสื่อมหายแล้ว ประหนึ่งหยาดน้ําในกระเบื้องที่ร้อนฉะนั้น เธอคิดว่า "คนอื่น เว้นพระตถาคตเสีย จักไม่อาจเพื่อจะยังความโศกของเรานี้ให้ดับได้" มีพลกายแวดล้อมแล้ว ไปสู่สํานักของพระศาสดาในเวลาเย็น ถวายบังคมแล้ว กราบทูลอย่างนั้นว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความโศกเห็นปานนี้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์มาแล้ว ก็ด้วยหมายว่า "พระองค์จักอาจเพื่อจะดับความโศกของข้าพระองค์นั้นได้" ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์เถิด"
พระศาสดาระงับความโศกของบุคคลได้
ลําดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า "ท่านมาสู่สํานักของผู้สามารถเพื่อดับความโศกได้แน่นอน อันที่จริง น้ําตาที่ไหลออกของท่านผู้ร้องไห้ ในเวลาที่หญิงนี้ตาย ด้วยเหตุนี้นั่นแล มากกว่าน้ําของมหาสมุทรทั้ง ๔" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"กิเลสเครื่องกังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น ให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่องกังวล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป"
ในกาลจบพระคาถา สันตติมหาอํามาตย์ บรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาดูอายุสังขารของตน ทราบความเป็นไปไม่ได้แห่งอายุสังขารนั้นแล้ว จึงกราบทูลพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด"
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 116
พระศาสดาแม้ทรงทราบกรรมที่เธอทําแล้ว ก็ทรงกําหนดว่า "พวกมิจฉาทิฏฐิประชุมกัน เพื่อข่มขี่ (เรา) ด้วยมุสาวาท จักไม่ได้โอกาส พวกสัมมาทิฏฐิ ประชุมกัน ด้วยหมายว่า ่พวกเราจักดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า และการเยื้องกรายของสันตติมหาอํามาตย์" ฟังกรรม ที่สันตติมหาอํามาตย์นี้ทําแล้ว จักทําความเอื้อเฟื้อในบุญทั้งหลาย" ดังนี้ แล้ว จึงตรัสว่า "ถ้ากระนั้น เธอจงบอกกรรมที่เธอทําแล้วแก่เรา ก็เมื่อจะบอก จงอย่ายืนบนภาคพื้นบอก จงยืนบนอากาศชั่ว ๗ ลําตาล แล้วจึงบอก"
แสดงอิทธิปาฏิหารย์ในอากาศ
สันตติมหาอํามาตย์นั้น ทูลรับว่า "ดีละ พระเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว จึงถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ขึ้นไปสู่อากาศชั่วลําตาลหนึ่ง ลงมาถวายบังคมพระศาสดาอีก ขึ้นไปนั่งโดยบัลลังก์ บนอากาศ ๗ ชั่วลําตาลตามลําดับแล้ว ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงสดับบุรพกรรมของข้าพระองค์" (ดังต่อไปนี้) :-
บุรพกรรมของสันตติมหาอํามาตย์
ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี ข้าพระองค์บังเกิดในตระกูลๆ หนึ่ง ในพันธุมดีนคร คิดแล้วว่า "อะไร หนอแล เป็นกรรมที่ไม่ทําการตัดรอนหรือบีบคั้น ซึ่งชนเหล่าอื่น" ดังนี้แล้ว เมื่อใคร่ครวญอยู่ จึงเห็นกรรมคือ การป่าวร้องในบุญทั้งหลาย จําเดิมแต่กาลนั้น ทํากรรมนั้นอยู่ ชักชวนมหาชนเที่ยวป่าวร้อง อยู่ว่า "พวกท่าน จงทําบุญทั้งหลาย จงสมาทานอุโบสถ ในวันอุโบสถ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 117
ทั้งหลาย จงถวายทาน จงฟังธรรม ชื่อว่า รัตนะอย่างอื่นเช่นกับพุทธรัตนะเป็นต้นไม่มี พวกท่านจงทําสักการะรัตนะทั้ง ๓ เถิด"
ผลของการชักชวนมหาชนบําเพ็ญการกุศล
พระราชาผู้ใหญ่ทรงพระนามว่าพันธุมะ เป็นพระพุทธบิดา ทรงสดับเสียงของข้าพระองค์นั้น รับสั่งให้เรียกข้าพระองค์มาเฝ้าแล้ว ตรัสถาม ว่า "พ่อ เจ้าเที่ยวทําอะไร" เมื่อข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์เที่ยวประกาศคุณรัตนะทั้ง ๓ ชักชวนมหาชนในการบุญทั้งหลาย" จึงตรัสถามว่า "เจ้านั่งบนอะไรเที่ยวไป" เมื่อข้าพระองค์ ทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์เดินไป" จึงตรัสว่า "พ่อ เจ้าไม่ควรเพื่อเที่ยวไปอย่างนั้น จงประดับพวงดอกไม้นี้แล้ว นั่งบนหลังม้า เที่ยวไปเถิด" ดังนี้แล้ว ก็พระราชทานพวงดอกไม้เช่นกับพวงแก้วมุกดา ทั้งได้พระราชทานม้าที่ฝึกแล้วแก่ข้าพระองค์
ต่อมา พระราชารับสั่งให้ข้าพระองค์ ผู้กําลังเที่ยวประกาศอยู่อย่างนั้นนั่นแล ด้วยเครื่องบริหารที่พระราชาพระราชทาน มาเฝ้าแล้วตรัสถาม อีกว่า "พ่อ เจ้าเที่ยวทําอะไร" เมื่อข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทํากรรมอย่างนั้นนั่นแล จึงตรัสว่า "พ่อ แม้ม้าก็ไม่สมควร แก่เจ้า เจ้าจงนั่งบนรถนี้เที่ยวไปเถิด" แล้วได้พระราชทานรถที่เทียมด้วยม้าสินธพ ๔ แม้ในครั้งที่ ๓ พระราชาทรงสดับเสียงของข้าพระองค์ แล้วรับสั่งให้หา ตรัสถามว่า "พ่อเจ้าเที่ยวทําอะไร" เมื่อข้าพระองค์ ทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทํากรรมนั้นแล" จึงตรัสว่า "แน่ะพ่อ แม้รถก็ไม่สมควรแก่เจ้า" แล้วพระราชทานโภคะเป็นอันมากและเครื่อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 118
ประดับใหญ่ ทั้งได้พระราชทานช้างเชือกหนึ่งแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ นั้น ประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง นั่งบนคอช้าง ได้ทํากรรมของผู้ ป่าวร้องธรรมสิ้นแปดหมื่นปี กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากกายของข้าพระองค์ นั้น กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ นี้เป็นกรรมที่ ข้าพระองค์ทําแล้ว"
การปรินิพพานของสันตติมหาอํามาตย์
สันตติมหาอํามาตย์นั้น ครั้นทูลบุรพกรรมของตนอย่างนั้นแล้ว นั่งบนอากาศเทียว เข้าเตโชธาตุ ปรินิพพานแล้ว เปลวไฟเกิดขึ้นในสรีระ ไหม้เนื้อและโลหิตแล้ว ธาตุทั้งหลายดุจดอกมะลิเหลืออยู่แล้ว พระศาสดาทรงคลี่ผ้าขาว ธาตุทั้งหลายก็ตกลงบนผ้าขาวนั้น
พระศาสดา ทรงบรรจุธาตุเหล่านั้นแล้ว รับสั่งให้สร้างสถูปไว้ที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง ด้วยทรงประสงค์ว่า "มหาชนไหว้แล้ว จักเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ"
สันตติมหาอํามาตย์ควรเรียกว่าสมณะหรือพราหมณ์
พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า "ผู้มีอายุ สันตติมหาอํามาตย์ บรรลุพระอรหัตในเวลาจบพระคาถาๆ เดียว ยังประดับประดาอยู่นั่น แหละ นั่งบนอากาศปรินิพพานแล้ว การเรียกเธอว่า "สมณะ" ควร หรือหนอแล หรือเรียกเธอว่า "พราหมณ์" จึงจะควร"
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ นั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่า "พวก ข้าพระองค์ นั่งประชุมกันด้วยกถาชื่อนี้" จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 119
การเรียกบุตรของเราแม้ว่า "สมณะ" ก็ควร เรียกว่า "พราหมณ์" ก็ควรเหมือนกัน" ดังนี้ เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
๙. อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย ๑ สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี สพฺเพสุ ภุเตสุ นิธาย ทณฺฑํ โส พฺราหฺมโณโส สมโณ ส ภิกฺขุ
"แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว พึงประพฤติสม่ําเสมอ เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม มีปกติประพฤติประเสริฐ วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจําพวก บุคคลนั้น เป็นพราหมณ์เป็นสมณะ เป็นภิกษุ"
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลงฺกโต ได้แก่ ประดับด้วยผ้าและ อาภรณ์ บัณฑิตพึงทราบความแห่งพระคาถานั้นว่า "แม้หากว่าบุคคลประดับด้วยเครื่องอลังการมีผ้าเป็นต้น พึงประพฤติสม่ําเสมอ ด้วยกาย เป็นต้น ชื่อว่าเป็นผู้สงบ เพราะความสงบระงับแห่งราคะ เป็นต้น ชื่อว่า เป็นผู้ฝึก เพราะฝึกอินทรีย์ ชื่อว่าเป็นผู้เที่ยง เพราะเที่ยงในมรรคทั้ง ๔ ชื่อว่าพรหมจารี เพราะประพฤติประเสริฐ ชื่อว่าวางอาชญาในสัตว์ทุกจําพวก เพราะความเป็นผู้วางเสียซึ่งอาชญาทางกายเป็นต้นแล้ว ผู้นั้น คือผู้เห็นปานนั้น อันบุคคลควรเรียกว่า "พราหมณ์" เพราะความเป็นผู้มีบาปอันลอยแล้ว ก็ได้ ว่า "สมณะ" เพราะความเป็นผู้มีบาปอันสงบ
๑. อรรถกถาเป็น สมฺจเรยฺยย