รู้ว่าตัวเองยังไม่ดี เพื่อที่จะละคลายความไม่ดีนั้น แล้วเพิ่มความดีขึ้น
หทเย นิเธตพฺพยุตฺตกํ
(ข้อความที่ควรเก็บไว้ในหทัย)
[๔๙๐]
รู้ว่าตัวเองยังไม่ดี เพื่อที่จะละคลายความไม่ดีนั้น แล้วเพิ่มความดีขึ้น
พระธรรมที่ทรงแสดงไว้มีทั้งหมด ๓ ปิฎก ถ้าไม่เห็นประโยชน์จะไม่ทรงแสดง คำตรัสของพระผู้มีพระภาคถ้าคำนั้นเป็นคำจริง ไพเราะ แต่ไม่มีประโยชน์ก็ไม่ตรัส ถ้าคำนั้นเป็นคำที่ไพเราะ จริงและมีประโยชน์จึงตรัส เพราะฉะนั้นคำใดที่ไม่จริงเป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึง แต่ว่าถ้าเป็นคำจริงแม้ว่าไม่ไพเราะแต่ว่ามีประโยชน์ก็ยังตรัส
เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทั้ง ๓ ปิฎก แสดงให้เห็นคุณค่าว่า เพราะเหตุว่าจึงทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษาอย่างละเอียด ซึ่งพระวินัยก็เป็นเรื่องของบรรพชิตส่วนใหญ่ที่เป็นเพศที่ขัดเกลากิเลสมากกว่าคฤหัสถ์ ส่วนพระสูตรก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่ทรงแสดงกับบุคคลต่างๆ เป็นเครื่องประกอบให้รู้ว่า พระธรรมเทศนาแล้วแต่อัธยาศัยของบุคคลว่า เมื่อบุคคลสะสมมาที่จะได้ฟังพระธรรมข้อนี้ เขาสะสมมาที่จะเข้าใจ ก็ทรงแสดงตามอัธยาศัยสำหรับเฉพาะแต่ละบุคคล
สำหรับอีกส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก คือ พระอภิธรรม อภิ หมายความถึงละเอียดยิ่ง เพื่อที่จะอนุเคราะห์คนที่ฟังสั้นๆ ปัญญาก็ไม่เกิด ไม่เหมือนกับว่าพอกำลังฟังอยู่ พอจบเทศนาก็เป็นพระโสดาบันหรือเป็นพระอรหันต์ อย่างท่านพระสารีบุตรก็ฟังท่านพระอัสสชิเพียงย่อๆ คาถาสั้นๆ ท่านก็เป็นพระโสดาบัน เพราะว่าท่านเป็นพระอัครสาวก เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องพูดถึงวันกับเดือนที่เรามีโอกาสได้ฟังพระธรรม แต่ว่าผู้ที่ฟังมาเป็นกัปป์ๆ ก็ลองคิดดูว่าขณะนี้พระอภิธรรมที่ทรงแสดงธรรมโดยละเอียด เรื่องของจิตแต่ละชนิด ให้เห็นว่าไม่ใช่จิตขณะเดียวในวันหนึ่งๆ จะต้องมีจิตเกิดดับหลายประเภทหลายชนิด และถ้าไม่ประจักษ์แจ้งว่าจิตเกิดดับ จะทรงแสดงอย่างนี้ได้หรือว่าขณะนี้นามธรรมคือจิตกำลังเกิดดับอยู่ทุกขณะ แล้วจิตขณะหนึ่งจะประกอบด้วยเจตสิกกี่ประเภทอะไรบ้าง ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งแทงตลอดจริงๆ ก็ทรงแสดงไม่ได้
เพราะฉะนั้นเหตุที่ทรงแสดงเรื่องจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) ก็ดี เรื่องเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ก็ดี เรื่องรูปก็ดี โดยละเอียดยิบที่สุด ที่บุคคลอื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ก็เพื่ออนุเคราะห์ให้คนฟังเห็นความจริงว่าเป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แม้ว่ายังไม่ประจักษ์ แต่อาศัยการฟังก็ทำให้เพิ่มสติปัญญาค่อยๆ รู้ว่า พระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออย่างไร พระมหากรุณาคุณคืออย่างไร
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องวันสองวัน หรือไม่ใช่เรื่องที่จะข้ามความละเอียดไป แต่ว่าจะต้องเข้าใจจริงๆ โดยการฟังมากขึ้น เป็นเรื่องที่น่าศึกษาเพราะว่าจิตใจก็อยู่ที่เรา เจตสิกต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะก็อยู่ที่เรา แล้วทำไมเราไม่รู้ ทำไมเราไม่ควรจะรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่ว่าจะข้ามไปรู้สิ่งอื่นซึ่งไม่มีประโยชน์เท่ากับรู้จักตัวเอง เพราะเหตุว่าผู้ที่จะประพฤติธรรมต้องเห็นโทษของกิเลส จะต้องเป็นคนรู้ว่าตัวเองยังไม่ดีเพื่อที่จะละคลายความไม่ดีนั้น แล้วก็เพิ่มความดีขึ้นแต่ถ้าใครคิดว่าดีมากแล้ว คนนั้นจะไม่ต้องฟังพระธรรมเลย เพราะเหตุว่าดีแล้ว แต่ผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าดีเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ ผู้นั้นก็มีโอกาสที่จะเจริญกุศลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
อ่านหัวข้ออื่นๆ คลิกที่นี่ ... เก็บไว้ในหทัย