สติระลึกที่รูปธรรมและนามธรรมของบุคคลอื่นได้หรือไม่
สติระลึกที่รูปธรรมและนามธรรมของบุคคลอื่นได้หรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สติปัฏฐาน คือ อะไร
สติปัฏฐาน คือ สติและปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา อันเป็นการเจริญวิปัสสนา
สติปัฏฐาน ประกอบด้วยสภาพธรรม อะไรบ้าง
สติปัฏฐาน ก็ไม่พ้นจากความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา และ เจตสิกอื่นๆ อีกมายมาย ดังนั้น ก็ประกอบด้วยสภาพธรรมที่เป็น จิต ที่เป็นใหญ่ในการรู้ และประกอบด้วยเจตสิก อย่างน้อย ๑๙ ดวง ที่เป็นโสภณสาธารณะเจตสิก และประกอบด้วย สัพพจิตสาธารณะเจตสิก อีก ๗ ดวง และ ปกิณณกเจตสิก และที่ขาดไม่ได้เลย คือ ปัญญา ที่เป็นอโมหเจตสิก ที่เป็นสภาพธรรมที่รู้เห็นตามความเป็นจริง ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ
สติปัฏฐานเกิดได้อย่างไร
สติปัฏฐาน เป็นปัญญาภาวนา ขั้นวิปัสสนา ซึ่งก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในเรื่องของสภาพธรรม และ ฟังจนเป็นสัจจญาณ มั่นคงจริงๆ ก็จะทำให้คิด พิจารณาในเรื่องสภาพธรรม จนเมื่อปัญญาถึงพร้อมก็เกิดกิจจญาณ คือ สติปัฏฐานเกิด เพราะปัญญาขั้นการฟังแก่กล้า มีกำลังแล้ว จนเป็นเหตุให้เกิด สติปัฏฐาน ครับ
ลำดับการเกิดของสติ
ก็มีตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ดังนี้ ครับ
[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕- หน้าที่ 203
การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้บริบูรณ์ ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์
จากข้อความในพระไตรปิฎก แสดงถึง เหตุให้เกิดสติปัฏฐานเป็นลำดับ สำคัญ คือการคบสัตบุรุษ มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็มีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ ก็ ขณะที่ฟังธรรม ขณะนั้น ก็กำลังคบสัตบุรุษ และ อาศัยการฟังธรรม ย่อมเกิดศรัทธา เกิดการพิจารณาโดยแยบคาย และ เกิดสติและปัญญา พิจารณาถูกต้อง จนถึง เกิด สติปัฏฐาน ครับ
อารมณ์ของสติปัฏฐาน
อารมณ์ของสติปัฏฐาน คือ สภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม จิต เจตสิก รูป ดังนั้น นามและรูปของคนอื่น ก็คือ เกิดและดับไป คนอื่น หรือ จิตคนนั้นก็ต้องเป็นผู้รู้เอง ไม่ใช่สติและปัญญาของงเราที่เกิดขึ้นจะไปรู้ นามรูปคนอื่น เพราะนามรูปนั้นไม่ได้เป็นอารมณ์ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เกิดกับใคร ก็คือ สิ่งที่มีจริง ไม่พ้นจากความเป็นจริงสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป แต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่ง สำหรับผู้ที่มีการฟังเรื่องของสภาพธรรมบ่อยๆ เนืองๆ มีความเข้าใจอย่างมั่นคงในความเป็นจริงของธรรม เมื่อสภาพธรรมใด เกิดปรากฏ ก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่การไปทำไปสร้างอะไรขึ้นมาเพื่อจะรู้ แต่ต้องมีรากฐานที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...