พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

อรรถกถาอุทุมพริกสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  15 ก.ค. 2564
หมายเลข  34643
อ่าน  1,016
  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 81

อรรถกถาอุทุมพริกสูตร

อุทุมพริกสูตร เริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.

ในอุทุมพริกสูตรนั้น มีการพรรณนาตามลําดับบท ดังต่อไปนี้.

บทว่า ปริพฺพาชโก หมายเอาฉันนปริพาชก. บทว่า อุทุมฺพริกาย ปริพฺพาชการาเม ได้แก่ ในอารามปริพาชก ในสํานักของนางอุทุมพริกาเทวี. คําว่า สนฺธาโน เป็นชื่อของคฤหบดีนั้น. คฤหบดีผู้นี้มีอานุภาพมาก เป็นยอดบุรุษในจํานวนอุบาสก ๕๐๐ คน ผู้แวดล้อมเที่ยวไป เป็นพระอนาคามี (ด้วย) พระผู้มีพระภาคเจ้าได้สรรเสริญเขาในท่ามกลาง มหาบริษัทว่า สันธานคฤหบดีประกอบด้วยองค์ ๖ ประการ มีความเชื่อมั่นในพระตถาคต ดํารงตนอยู่ในพระสัทธรรม. องค์ ๖ ประการ เป็นไฉน คือด้วยความเลื่อมใสไม่คลอนแคลนในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ด้วยอริยศีล ด้วยอริยญาณ ด้วยอริยวิมุตติ. ภิกษุทั้งหลาย สันธานคฤหบดีประกอบด้วยองค์ ๖ ประการเหล่านี้แล จึงชื่อว่า มีความเชื่อมั่นในพระตถาคต ดํารงตนอยู่ในพระสัทธรรม. สันธานคฤหบดีนั้น อธิษฐานองค์อุโบสถแต่เช้าตรู่แล้ว ในเวลาเช้า ก็ถวายทานแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. เมื่อพวกภิกษุไปวิหารแล้ว เกิดความรําคาญ เพราะเสียงรบกวนของเด็กเล็กและเด็กใหญ่ในบ้าน จึงออกไปด้วยคิดว่า จักฟังธรรมในสํานักพระศาสดา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สันธานคฤหบดีออกจากกรุงราชคฤห์ตอนบ่าย

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิวาทิวสฺเสว ได้แก่ เวลาเลยเที่ยงไป ชื่อว่า เวลาบ่าย. อธิบายว่า สันธานคฤหบดีนั้นได้ออกไป ในเวลาบ่าย

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 82

คือพอเลยเที่ยงไป. บทว่า ปฏิสลฺลีโน ได้แก่ รวบรวมจิตจากอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้นๆ หลีกเร้นอยู่ คือถึงความเป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ด้วยอํานาจแห่งความเสวยความยินดีในฌาน. บทว่า มโนภาวนียานํ คือ ผู้ยังใจให้เจริญ ได้แก่ จิตของผู้ระลึกถึง กระทําไว้ในใจ ย่อมเป็นจิตอันปราศจากนิวรณ์ คือจิตฟูขึ้น เจริญขึ้น.

    บททั้งหลายมีบทว่า อุนฺนาทินิยา เป็นต้น พึงทราบตามนัยโดยพิสดารในโปฏฐปาทสูตรนั่นแล.

    บทว่า ยาวตา คือ มีจํานวนเท่าใด. บทว่า อยนฺเตสํ อฺตโร ความว่า บรรดาสาวกเหล่านั้น สันธานคฤหบดีนี้ นับเนื่องอยู่ภายในสาวกเหล่านั้น หรือเป็นสาวกคนหนึ่ง. ได้สดับว่า เหล่าสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เฉพาะคฤหัสถ์ซึ่งเป็นพระอนาคามี มีจํานวน ๕๐๐ คน อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์. นิโครธปริพาชกกล่าวว่า อยํ เตสํ อฺตโร ดังนี้เป็นต้น หมายถึงเหล่าอุบาสกแต่ละคน มีบริวารคนละ ๕๐๐ คน. นิโครธปริพาชกปรารถนาการเข้ามาของคฤหบดีนั้น จึงกล่าวว่า อปฺเปว นาม ดังนี้. ก็เหตุแห่งความปรารถนา ได้กล่าวไว้แล้วในโปฏฐปาทสูตรนั่นแล.

    บทว่า เอตทโวจ ได้แก่ สันธานคฤหบดีกําลังเดินมา ได้กล่าวคํานี้ว่า อฺถา โข อิเม เป็นต้น เพราะตนได้สดับถ้อยคําของปริพาชกเหล่านั้น ในระหว่างทางนั่นแล. ในบทเหล่านั้น บทว่า อฺติตฺถิยา ความว่า ที่ชื่อว่าอัญญเดียรถีย์ เพราะเป็นเดียรถีย์เหล่าอื่น ด้วยการเห็นบ้าง มารยาทบ้าง กิริยาบ้าง อาจาระบ้าง การอยู่บ้าง อิริยาบถบ้าง. บทว่า สงฺคมฺม สมาคมฺม ได้แก่ ในสถานที่ (พวกปริพาชก) ไปมา รวมกันนั่งเป็นกลุ่ม. บทว่า อรฺเ วนปฏานิ ได้แก่ ราวไพร

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 83

ในป่า คือเสนาสนะที่ไกลพ้นจากเขตบ้าน. เสนาสนะที่สงัด คือสถานที่อยู่ไกลห่างจากแดนของมนุษย์.

    บทว่า อปฺปสทฺทานิ คือมีเสียงเบาบาง แม้แต่เสียงคนเดินทาง ซึ่งเดินผ่านไปใกล้ที่อยู่. บทว่า อปฺปนิคฺโฆสานิ คือมีเสียงเบาๆ โดยไม่มีเสียงกึกก้อง. บทว่า วีชนวาตานิ คือปราศจากวาทะของคนผู้สัญจรไปในภายใน. บทว่า มนุสฺสราหเสยฺยากานิ ได้แก่ สมควร คือเหมาะแก่การทํากรรมอันเร้นลับของมนุษย์. บทว่า ปฏิสลฺลานสารุปฺปานิ ได้แก่ เหมาะแก่การอยู่คนเดียว. เพราะฉะนั้น สันธานคฤหบดีจึงคิดว่า โอ พระศาสดาของเราเสพเสนาสนะเห็นปานนี้ จึงประคองอัญชลีไว้เหนือศีรษะแล้วนั่ง เปล่งอุทานนี้.

    คําว่า เอวํ วุตฺเต ความว่า เมื่อสันธานคฤหบดีเปล่งอุทานอย่างนี้ นิโครธปริพาชกจึงคิดว่า คฤหบดีนี้ แม้นั่งในสํานักเรา ก็ยังชมเชยยกย่องพระศาสดาของตนองค์เดียว แต่ไม่สําคัญเราว่ามีอยู่ เราจะให้ความกําเริบที่เกิดขึ้นในคฤหบดีนั้น ตกไปในเบื้องบนของพระสมณโคดม จึงได้กล่าวคํานี้กับสันธานคฤหบดี. คําว่า ยคฺเฆ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่าทักท้วง. บทว่า ชาเนยฺยาสิ แปลว่าควรรู้ ควรเห็น. บทว่า เกน สมโณ โคตโม สลฺลปติ ความว่า พระสมณโคดมย่อมเจรจา พูด กล่าวกับใคร ด้วยเหตุไร. มีคําอธิบายอย่างไร? มีคําอธิบายว่า ผิว่า เหตุแห่งการเจรจาอะไรๆ จะพึงมี หรือ ผิว่า ใครๆ มีความต้องการเจรจา พึงไปสํานักพระสมณโคดม พึงเจรจา แต่ไม่มีเหตุ ใครๆ ก็ไม่ไปหาท่าน. พระสมณโคดมนั้นจะเจรจากับใครเล่า เมื่อไม่ได้เจรจาก็จักบันลือพระสีหนาทอย่างไรได้. บทว่า สากจฺฉํ คือสนทนาร่วมกัน. บทว่า ปฺาเวยฺยตฺติยํ ได้แก่ ความเป็นผู้ฉลาดในญาณ โดยอุตตรนัยและปัจจุตตรนัย.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 84

    บทว่า สุฺาคารตา คือหายไปแล้วในสุญญาคาร. นิโครธปริพาชกแสดงว่า เพราะพระสมณโคดม ได้บรรลุพระปัญญาเพียงนิดหน่อยที่โคนโพธิ์ เมื่อพระสมณโคดมพระองค์เดียวนั่งที่สุญญาคาร พระปัญญานั้นก็หายไป แต่ถ้าพระสมณโคดมนั้น พึงนั่งคลุกคลีด้วยหมู่คณะเหมือนเรา พระปัญญาของพระองค์ก็จะไม่พึงหายไป. บทว่า อปริสาวจโร ได้แก่ ไม่อาจเข้าสู่ที่ประชุมได้ เพราะไม่กล้า. บทว่า นาลํ สลฺลาปาย คือ ไม่สามารถเจรจาปราศัยได้. บทว่า อนฺตปนฺตาเนว ความว่าพระสมณโคดมกลัวต่อปัญหา ว่าใครๆ พึงถามปัญหากะเรา ดังนี้ จึงเสพที่อันสงัด ณ ภายในอย่างเดียว คือเสนาสนะอันสงัด. บทว่า โคกาณา ได้แก่ แม่โคมีตาบอดข้างเดียว ได้ยินว่า แม่โคบอดนั้นเที่ยววนเวียนเสพที่อันสงัดภายในเท่านั้น ได้สดับมาว่า แม่โคบอดนั้น แม้มุ่งหน้าไปราวป่า ก็ไม่สามารถไปได้ เพราะเป็นโคตาบอด. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะแม่โคบอดนั้นย่อมกลัวต่อใบไม้ กิ่งไม้ หรือหนามกระทบเอา. ย่อมไม่สามารถจะอยู่เฉพาะหน้าฝูงโคได้. ถามว่าเพราะเหตุใด? ตอบว่า เพราะแม่โคบอดนั้นย่อมกลัวต่อเขาโค หูโคหรือหางกระทบเอา.

    ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่าทักท้วง. บทว่า สํสาเทยฺยาม ได้แก่ เราพึงทําความเหยียดหยาม คือให้ถึงความกระอักกระอ่วนเท่านั้น ด้วยการถามปัญหาข้อหนึ่ง. บทว่า ตุจฺฉกุมฺภิํว นํ ได้แก่ (พึงบีบรัด) พระสมณโคดมนั้น เหมือนบุคคลบีบรัดหม้อเปล่าฉะนั้น. บทว่า โอโรเธยฺยาม คือ พึงบีบรัด. จริงอยู่ หม้อที่เต็มแล้วกลิ้งไปข้างโน้นข้างนี้ บุคคลบีบรัดไม่ได้ ส่วนหม้อที่เปล่า บุคคลจะสามารถพลิกกลับบีบรัดตามความชอบใจได้ ฉันใด นิโครธปริพาชกนี้ย่อมกล่าวว่า เราจักบีบรัดพระสมณโคดม เหมือนกับบีบรัดหม้อที่เปล่า

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 85

โดยรอบด้าน ด้วยการบีบคั้นด้วยวาทะ เพราะพระองค์มีปัญญาถูกขจัดเสียแล้ว.

    ปริพาชก เมื่อไม่เห็นวงพระนลาฏสีทองของพระศาสดา จึงแสดงกําลังของตนในที่ลับหลังพระทศพล คํารามเปล่าๆ ปรี้ๆ มีประการต่างๆ เหมือนบุตรคนจัณฑาลเสียดสีขัตติยกุมาร ซึ่งมิได้เจือปนโดยชาติ และเหมือนสุนัขจิ้งจอกเสียดสีพญาไกสรสีหราชแท้ๆ ด้วยกําลังฉะนั้น. แม้อุบาสกก็คิดว่า ปริพาชกผู้นี้ขู่ตะคอกเกินไป พยายามโดยไม่มีประโยชน์ เหมือนเหยียดเท้าไปเพื่อสัมผัสอเวจี เหยียดมือไปเพื่อจับภวัคคพรหม ฉะนั้น ถ้าพระศาสดาของเราพึงมาสู่ที่นี้ พระองค์พึงลดธงคือมานะ ที่ปริพาชกนี้ยกขึ้นจนถึงภวัคคพรหมโดยฐานะทีเดียว. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงสดับการสนทนาปราศัยนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อสฺโสสิ โข อิมํ กถาสลฺลาปํ ดังนี้.

    บทว่า สุมาคธาย ความว่า บุรุษคนใดคนหนึ่งนั่งที่ฝังสระโบกขรณีชื่อสุมาคธา ได้เห็นหมู่พวกอสูรกําลังเข้าไปยังภพอสูร ทางก้านดอกบัว.

    อาหารท่านเรียกว่า นิวาปะ ในคําว่า โมรนิวาเป นี้ อธิบายว่า ได้แก่สถานที่ๆ บุคคลให้เหยื่อพร้อมทั้งให้อภัยแก่นกยูง. บทว่า อพฺโภกาเส คือในสถานที่เป็นเนิน. บทว่า อสฺสาสปฺปตฺตา ได้แก่ ได้ประสบความยินดี คือประสบความโสมนัส. บทว่า อชฺฌาสยํ คือ เป็นนิสัยแห่งมรรคชั้นสูง. บทว่า อาทิพฺรหฺมจริยํ ได้แก่อริยมรรค กล่าวคือพรหมจรรย์ชั้นต้น. นิโครธปริพาชกได้กล่าวดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสาวกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนําแล้ว บําเพ็ญอริยมรรคอันเป็นอาทิพรหมจรรย์ ด้วยอัธยาศัยแล้ว ถึงความปลอดโปร่ง ย่อมรู้เฉพาะ ด้วยการบรรลุพระอรหัตด้วยธรรมชื่ออะไร.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 86

    บทว่า วิปฺปกถา ได้แก่ ที่ค้างอยู่ยังไม่จบ เพราะการมาของเราเป็นปัจจัย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยินยอมแบบพระสัพพัญูว่า เธอจงกล่าวไปเถิด เราจักแสดงธรรมนั้นให้จบให้ถึงที่สุด. บทว่า ทุชฺชานํ โข ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคําของปริพาชกแล้ว ทรงดําริว่า ปริพาชกนี้ย่อมถามถึงธรรมที่เราแสดงแก่พระสาวก อันเป็นข้อปฏิบัติที่พระสาวกเหล่านั้นพึงบําเพ็ญ หากเราจักกล่าวธรรมนั้นแต่ต้นแก่เขา เขาจักไม่รู้ธรรมแม้ที่เรากล่าวแล้ว ก็ปริพาชกนี้เป็นผู้มีวาทะรังเกียจบาปด้วยความเพียร เอาเถอะ เราจะให้เขาถามปัญหาในวิสัยแห่งวาทะนั้นเท่านั้น แล้วจะแสดงความไม่มีประโยชน์แห่งลัทธิของสมณพราหมณ์เป็นอันมาก ครั้นแล้ว จักพยากรณ์ปัญหานี้ในภายหลัง จึงตรัสว่า ทุชฺชานํ โข เอตํ เป็นต้น.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเก อาจริยเก คือในลัทธิอาจารย์ของตน. บทว่า อธิเชคุจฺเฉ คือในการเกลียดบาปด้วยความเพียร. บทว่า กถํ สนฺตา คือ เป็นอย่างไร. บทว่า ตโปชิคุจฺฉา ได้แก่ การเกลียดบาป คือการหน่ายบาปด้วยความเพียร. บทว่า ปริปุณฺณา คือบริสุทธิ์แล้ว. คําว่า กถํ อปริปุณฺณา ได้แก่ เธอจงถามอย่างนี้ว่า ไม่บริสุทธิ์อย่างไร. บทว่า ยตฺร หิ นาม คือ โย นาม.

    บทว่า อปฺปสทฺเท กตฺวา ได้แก่ ให้ไม่มีเสียงดัง คือ ให้มีเสียงเบา. ได้สดับว่า ปริพาชกนั้น คิดว่า พระสมณโคดมย่อมจะไม่บอกเพียงปัญหาข้อเดียว แม้การสนทนาปราศัยของพระสมณโคดมนั้นไม่มากนัก ก็ชนเหล่านี้ ย่อมคล้อยตามและสรรเสริญพระสมณโคดมตั้งแต่ต้น เอาเถอะ เราจะทําชนเหล่านี้ให้เงียบเสียงพูดเสียเอง. ปริพาชกได้ทําตามนั้นแล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อปฺปสทฺเท กตฺวา เป็นต้น. ในคําเป็นต้นว่า ตโปชิคุจฺฉวาทา ความว่า เรากล่าวการเกลียดบาปด้วย

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 87

ตบะ ย่อมยึดถือการเกลียดบาปด้วยตบะนั้น โดยความเป็นสาระ ด้วยใจบ้าง ย่อมแนบแน่น การเกลียดบาปด้วยตบะนั้น ประกอบความเพียรในการทรมานตนเอง ซึ่งมีประการต่างๆ แล้วอยู่ด้วยกายบ้าง. บทว่า ตปสฺสี คือ อาศัยตบะ. คําว่า อเจลโก เป็นต้น พึงทราบโดยนัยพิสดารในสีหนาทสูตร.

    บทว่า ตปํ สมาทิยติ ได้แก่ ยึดถือตบะ มีความเป็นอเจลกะเป็นต้น คือถืออย่างมั่นคง. บทว่า อตฺตมโน โหติ ความว่า ปริพาชกดีใจว่า มีใครอื่นในตบะนี้เช่นเรา. บทว่า ปริปุณฺณสงฺกปฺโป ได้แก่ มีความดําริสิ้นสุดลงอย่างนี้ว่า เพียงนี้ก็พอ. ก็คํานี้มาด้วยอํานาจแห่งพวกเดียรถีย์ พึงแสดงแม้ด้วยสามารถการเกี่ยวข้องทางศาสนา. จริงอยู่ คนบางคนสมาทานธุดงค์ เขาย่อมยินดีด้วยธุดงค์นั้นว่า คนอื่นใครเล่าจะทรงธุดงค์เช่นเรา ชื่อว่ามีความดําริบริบูรณ์แล้ว. คําว่า ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติ ได้แก่ นี้คืออุปกิเลสของผู้มีตบะทั้งสองประการนั้น. เราย่อมกล่าวว่า ตบะเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลนั้น ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น.

    บทว่า อตฺตานุกฺกํ เสติ ได้แก่ ยกตน คือชูตนว่า ใครจะเป็นเช่นเรา. บทว่า ปรํ วมฺเภติ ได้แก่ ขู่ คือดูหมิ่นคนอื่นว่า ผู้นี้ไม่เหมือนเรา. บทว่า มชฺชติ คือ มัวเมา ด้วยความเมา คือมานะ. บทว่า มุจฺฉติ ได้แก่ ลืมสติ คือติดอยู่ ได้แก่ข้องอยู่. บทว่า มทมาปชฺชติ ได้แก่ ถึงความมัวเมาว่า สิ่งนี้เท่านั้นเป็นสาระ. ปริพาชกนี้ แม้บวชในศาสนาแล้ว เป็นผู้มีธุดงค์บริสุทธิ์ ไม่ใช่มีกัมมัฏฐานบริสุทธิ์. ย่อมยึดถือธุดงค์เท่านั้น โดยความเป็นสาระ เหมือนยึดถือพระอรหัต. ในคําว่า ลาภสกฺการสิโลกํ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 88

    ที่ชื่อว่าลาภ เพราะอรรถว่าได้ปัจจัย ๔. ปัจจัยเหล่านั้นแหละ ที่ตกแต่งทําไว้อย่างดีได้มา ชื่อว่า สักการะ. การกล่าวสรรเสริญ ชื่อว่า สิโลกะ. บทว่า นิพฺพตฺเตติ ความว่า ลาภเป็นอันมาก ย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยความเป็นอเจลกเป็นต้น หรือการทําสมาทานธุดงค์ของเขา เพราะฉะนั้น ปริพาชกจึงกล่าวว่า นิพฺพตฺเตติ ดังนี้. คําที่เหลือในที่นี้ พึงทราบด้วยอํานาจแห่งผู้มีตบะทั้งสองประเภท โดยนัยที่กล่าวไว้ครั้งก่อนนั่นแล.

    บทว่า โวทาสมาปชฺชติ ได้แก่ ถึง ๒ ส่วน คือทําให้เป็น ๒ ส่วน. บทว่า ขมติ คือ ชอบใจ. บทว่า น ขมติ คือไม่ชอบใจ. บทว่า สาเปกฺโข ปชหติ ได้แก่ ผู้มีความอยากย่อมละ. ถามว่า อย่างไร. ตอบว่า ตอนเช้า เขาบริโภคนม. ทีนั้น ทายกได้นําเนื้อไปให้เขาอีก. เขามีความคิดอย่างนี้ว่า บัดนี้ เมื่อไรเราจักได้อย่างนี้อีก. ถ้ารู้อย่างนี้เราจะไม่ควรบริโภคนมตอนเช้า เราสามารถทําอะไรได้ จึงมุ่งสละเหมือนการสละชีวิต ด้วยการกล่าวว่า ไปเถิด ท่านผู้เจริญ ท่านนั่นแหละ จงบริโภค.

    บทว่า คธิโต คือกําหนัดแล้ว. บทว่า มุจฺฉิโต ได้แก่หลงลืมแล้ว เพราะความอยากมีกําลัง คือเป็นผู้มีสติหลงลืม. บทว่า อชฺฌาปนฺโน คือข้องอยู่ในอามิส. ไม่ทําแม้เพียงการเชื้อเชิญโดยธรรมว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท่านจักบริโภค กระทําให้เป็นคําใหญ่ๆ. บทว่า อนาทีนวทสฺสาวี คือไม่เห็นแม้เพียงโทษ. การรู้จักประมาณ ชื่อว่า นิสสรณะ ในคําว่า อนิสฺสรณปฺโ นี้. เขาไม่ทํา แม้เพียงการพิจารณาและการบริโภค. บทว่า ลาภสกฺการสิโลกนิกฺกนฺติเหตุ คือเพราะเหตุแห่งความอยากในลาภเป็นต้น. บทว่า สํภกฺเขติ แปลว่าเคี้ยวกิน. บทว่า อสนีวิจกฺกํ คือมีสัณฐานคมเหมือนสายฟ้า. มีคําอธิบายว่า ปลายฟันของบุคคลนี้คมประดุจสายฟ้า มิใช่จะไม่บริโภค

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 89

พืชอะไรในบรรดาพืชอันเกิดแต่รากเป็นต้น ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ชนทั้งหลายย่อมรู้จักเขาว่าเป็นสมณะ ด้วยการตู่ว่าเป็นสมณะ. เขาย่อมรุกราน คือดูหมิ่น ด้วยอาการอย่างนี้. ข้อนี้มาด้วยอํานาจพวกเดียรถีย์. แต่ด้วยอํานาจพระภิกษุ ในข้อนี้มีคําอธิบายประกอบ ดังต่อไปนี้ว่า ภิกษุนี้ ตนเองได้ทรงธุดงค์ เขาย่อมรุกรานผู้อื่นอย่างนี้ว่า ชนเหล่านี้จะชื่อว่าเป็นสมณะได้อย่างไร แต่กล่าวว่า พวกเราเป็นสมณะ ดังนี้ แม้คุณเพียงธุดงค์ก็ไม่มี คนเหล่านี้เมื่อแสวงหาอาหารมีอุทเทสภัตเป็นต้น ชื่อว่ามักมากด้วยปัจจัยเที่ยวไป.

    บทว่า ลูขชีวิํ ได้แก่ ผู้มีความเป็นอยู่เศร้าหมอง ด้วยความเป็นอเจลกเป็นต้น หรือด้วยอํานาจธุดงค์. บทว่า อิสฺสามจฺฉริยํ ได้แก่ความริษยามีการริดรอนสมบัติมีสักการะเป็นต้นของผู้อื่น เป็นลักษณะ และความตระหนี่มีความไม่ยอมทําสักการะเป็นต้น เป็นลักษณะ. บทว่า อาปาถกนิสาที โหติ ได้แก่ นั่งอยู่ในทางเดิน คือในที่ที่เห็นมนุษย์ทั้งหลาย. บุคคลผู้มีตบะยืนอยู่ในสถานที่ที่ชนทั้งหลายจะเห็นได้ ย่อมสอนวัคคุลิวัตร (ข้อปฏิบัติดุจค้างคาว) บําเพ็ญตบะ ๕ อย่าง ยืนด้วยเท้าข้างเดียวไหว้พระอาทิตย์. แม้ภิกษุผู้บวชในศาสนาแล้ว ได้สมาทานธุดงค์ นอนหลับตลอดคืนแล้ว บําเพ็ญตบะในทางที่คนแลเห็น เวลาเย็น ทําจีวรกุฏีบนที่นอนใหญ่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็เก็บ พอทราบว่า พวกมนุษย์มาหาก็เคาะระฆัง วางจีวรไว้บนศีรษะเดินจงกรม (ต่อมา) ก็จับไม้กวาด กวาดลานวิหาร. บทว่า อตฺตานํ ได้แก่ ซึ่งคุณของตน. อ อักษรในคําว่า อทสฺสยมาโน เป็นเพียงนิบาต. ความว่า แสดงอยู่. บทว่า อิทมฺปิ เม ตปสฺมิํ ได้แก่ กรรมแม้นี้อยู่ในตบะของเรา. อีกนัยหนึ่ง บทว่า ตปสฺมิํ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติ ใช้ในอรรถปฐมาวิภัตติ. อธิบายว่า กรรมแม้นี้เป็นตบะของเรา. จริงอยู่ คนมีตบะนั้น ได้ยินว่านักบวชอเจลกผู้ทอดทิ้งอาจาระ มีอยู่ที่โน้น เป็นต้น ก็พูดว่า นี่เป็นตบะ

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 90

ของเรา อเจลกนั่นเป็นอันเตวาสิกของเรา เป็นต้น ได้ฟังว่า ภิกษุผู้ทรงผ้าบังสุกุล อยู่ในที่โน้น เป็นต้น ก็พูดว่า นี้เป็นตบะของเรา ภิกษุนั้นเป็นอันเตวาสิกของเรา เป็นต้น. บทว่า กิฺจิเทว ได้แก่ โทษหรือทิฏฐิอะไรๆ. ทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ เสวติ ได้แก่ ย่อมเสพโดยประการที่ชนเหล่าอื่นจะไม่รู้. บทว่า อกฺขมมานํ อาห ขมติ ได้แก่ ย่อมกล่าวถึงสิ่งที่ตนไม่ชอบใจว่า เราชอบใจ. คนมีตบะย่อมบัญญัติโทษที่ตนทําแล้วมากมาย ว่ามีจํานวนน้อย แต่แสดงโทษที่คนอื่นทําแล้วเพียงแต่อาบัติทุกกฏ ว่าเป็นเหมือนต้องอาบัติปาราชิก. บทว่า อนุฺเยฺยํ ได้แก่ พึงทราบ คือพึงอนุโมทนา. บทว่า โกธโน โหติ อุปนาหิ ได้แก่ผู้ประกอบด้วยโกธะ มีความขัดเคือง เป็นลักษณะ และด้วยอุปนาหะ มีการไม่สละคืนเวร เป็นลักษณะ. บทว่า มกฺขี โหติ ปลาสี ได้แก่ประกอบด้วยมักขะ มีการลบหลู่คุณคนอื่น เป็นลักษณะ และด้วยปลาสะ มีการตีเสมอ เป็นลักษณะ. บทว่า อิสฺสุกี โหติ มจฺฉรี ได้แก่ ประกอบด้วยความริษยาในสักการะของผู้อื่น เป็นต้น เป็นลักษณะ และด้วยความตระหนี่ ๕ อย่าง มีความตระหนี่ในอาวาส ตระกูล ลาภ วรรณะ และธรรม เป็นลักษณะ. บทว่า สโ โหติ มายาวี ได้แก่ประกอบด้วยสาเถยยะ มีความโอ้อวด เป็นลักษณะ และมายา มีการปกปิดกรรมที่ทําแล้ว เป็นลักษณะ. บทว่า ถทฺโธ โหติ อติมานี ได้แก่ ประกอบด้วยถัมภะ มีความดื้อรั้นซึ่งขาดเมตตาและกรุณา เป็นลักษณะ และอติมานะ มีการดูหมิ่นล่วงเกินผู้อื่น เป็นลักษณะ. บทว่า ปาปิจฺโฉ โหติ ได้แก่ ประกอบด้วยความปรารถนาลามก มีการยกย่องและปรารถนาอสัตบุรุษ เป็นลักษณะ. บทว่า ปาปิกานํ คือลุอํานาจความอยากที่ลามกเหล่านั้น นั่นแล. บทว่า มิจฺฉาทิฏิโก คือประกอบด้วยทิฏฐิที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นไปตามนัยว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล เป็นต้น. บทว่า อนฺตคฺคาหิกาย ได้แก่ ทิฏฐิ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 91

นั้น นั่นแล ท่านเรียกว่า อนฺตคฺคาหิกา เพราะเขายึดถือความขาดสูญ อธิบายว่า ผู้ประกอบด้วยอันตัคคาหิกทิฏฐินั้น. พึงทราบวินิจฉัย ในคําว่า สนฺทิฏิปรามาสี เป็นต้น ดังต่อไปนี้ การเห็นด้วยตนเอง ชื่อว่า สนฺทิฏิ ผู้ใดจับต้องยึดถือสันทิฏฐินั้นนั่นแลเที่ยวไป เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า สันทิฏฐิปรามาสี. การตั้งไว้ด้วยดี มั่นคงดี เรียกว่า อาธานะ. ผู้ใดยึดถือไว้อย่างมั่นคง ผู้นั้นชื่อว่า อาธานัคคาหี. ผู้ใดไม่สามารถจะสละ การยึดถือมั่นนั้น เหมือนอริฏฐะสามเณร เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า ทุปปฏินิสสัคคี. ศัพท์ว่า ยทิเม ตัดเป็น ยทิ อิเม.

    บทว่า อิธ นิโคฺรธ ตปสฺสี ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระบาลี ฝ่ายที่เศร้าหมอง คือทรงแสดงลัทธิที่พวกอัญญเดียรถีย์ถือเอาตบะ ที่พวกเดียรถีย์เหล่านั้นรักษาว่าเป็นสิ่งเศร้าหมองทั้งหมดแล้ว บัดนี้เพื่อแสดงพระบาลี ฝ่ายบริสุทธิ์ เมื่อเริ่มเทศนา จึงตรัสว่า อิธ นิโคฺรธ ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น อตฺตมโน เป็นต้น พึงทราบด้วยอํานาจบทที่ตรงกันข้าม จากที่กล่าวแล้ว. ในวาระบททุกๆ บท พึงประกอบข้อความด้วยอํานาจผู้มีตบะเศร้าหมองและผู้ทรงธุดงค์. บทว่า เอวํ โส ตสฺมิํ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติ ความว่าผู้มีตบะนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ คือไร้อุปกิเลส เพราะมีความพอใจด้วยตบะนั้น ก็หาไม่ เพราะเหตุกล่าวคือความดําริบริบูรณ์ ก็หาไม่. ผู้มีตบะนี้ เมื่อพยายามยิ่งๆ ขึ้นไป ก็เป็นผู้มีกรรมฐานบริสุทธิ์ ย่อมบรรลุพระอรหัตได้. พึงทราบเนื้อความในวาระทุกๆ บท โดยนัยนี้. บทว่า อทฺธา โขภนฺเต ความว่า ปริพาชกย่อมรู้ตามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นอย่างนี้ วาทะที่เกลียดบาปด้วยความเพียรย่อมบริสุทธิ์ โดยส่วนเดียว. อนึ่ง ปริพาชกนั้น เมื่อไม่รู้ยอดและแก่นอื่นจากนี้ จึงกล่าวว่า อคฺคปฺปตฺตา สารปฺปตฺตา จ ดังนี้. ทีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 92

ทรงปฏิเสธวาทะนั้นเป็นแก่นสาร แก่ปริพาชกนั้น จึงตรัสว่า น โข นิโคฺรธ เป็นต้น.

    บทว่า ปปฺปฏิกมตฺตา โหติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงว่า การเกลียดบาปด้วยตบะเห็นปานนี้ เป็นเช่นกับสะเก็ดภายนอก พ้นจากแก่น กระพี้ เปลือก ของต้นไม้มีแก่น.

    บทว่า อคฺคํ ปาเปตุ ความว่า ย่อมทูลขอกะพระทศพลว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงให้ถึงยอด คือโปรดแสดงให้ถึงแก่นด้วยอํานาจแห่งเทศนา.

    บทว่า จาตุยามสํวรสํวุโต คือปิดแล้วด้วยความสํารวม ๔ อย่าง. บทว่า น ปาณมติปาเปติ คือไม่เบียดเบียนสัตว์. บทว่า น ภาวิตมาสิํสติ ความว่า กามคุณ ๕ อย่าง ชื่อว่าเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมา เพราะกําหนดจดจําไว้ ไม่หวัง คือไม่เสพกามคุณเหล่านั้น. บทว่า อทุฺจสฺส โหติ ความว่า ข้อที่จะกล่าวในบัดนี้เป็นต้นว่า โส อภิหรติ จึงเป็นลักษณะของเขา. บทว่า ตปสฺสิตาย คือ เพราะความเป็นผู้มีตบะ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส อภิหรติ ความว่า เขาย่อมรักษาศีลนั้นให้ยิ่ง คือบําเพ็ญให้สูงยิ่งขึ้นไป ได้แก่ไม่ยอมละความเพียรว่า ศีลเราบริบูรณ์แล้ว ตบะเราเริ่มแล้ว พอละ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้. บทว่า โน หินายาวตฺตติ ความว่า ไม่เวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว คือเพื่อความเป็นคฤหัสถ์ ได้แก่ทําความเพียรเพื่อต้องการบรรลุคุณวิเศษยิ่งกว่าศีล. เขาเมื่อทําได้อย่างนี้ ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด. บทว่า อรฺํ เป็นต้น มีพิสดารอยู่แล้วในสามัญญผลสูตร. บทว่า เมตฺตาสหคเตน เป็นต้น ท่านพรรณนาไว้ในวิสุทธิมรรค.

    บทว่า ตจปฺปตฺตา คือถึงเปลือกภายในแต่สะเก็ด. บทว่า เผคฺคุปฺปตฺตา คือถึงความเป็นกระพี้ภายในแต่เปลือก อธิบายว่า เป็นเช่น

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 93

กระพี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า เอตฺตาวตา โข นิโคฺรธ ตโปชิคฺจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จ นี้ ด้วยอํานาจพวกเดียรถีย์.

    จริงอยู่ ลาภและสักการะของพวกเดียรถีย์ เป็นเหมือนกับกิ่งไม้และใบไม้. เพียงศีล ๕ เช่นสะเก็ดไม้. เพียงสมาบัติ ๘ เช่นเปลือกไม้. ปุพเพนิวาสญาณและอภิญญาในที่สุด เช่นกระพี้. ก็พวกเดียรถีย์เหล่านั้น ย่อมถือเอาทิพพจักขุว่าเป็นพระอรหัต. เพราะเหตุนั้น ความยึดถือนั้นของพวกเขา เช่นแก่นต้นไม้. ส่วนลาภและสักการะในพระศาสนา เป็นเช่นกิ่งไม้และใบไม้. ความถึงพร้อมด้วยศีล เช่นกับสะเก็ด. ฌานและสมาบัติ เช่นกับเปลือก. โลกิยอภิญญาเช่นกระพี้. มรรคและผลเป็นแก่น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปรียบเทียบศาสนาของพระองค์ ด้วยต้นไม้มีผลดก ที่กิ่งน้อมลงและแผ่ออก ด้วยประการฉะนี้.

    เพราะพระองค์ฉลาดในการแสดงเทศนา พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเริ่มแสดงว่า อิติ โข นิโคฺรธ เป็นต้น เพื่อแสดงความแปลกแห่งเทศนาของพระองค์ว่า ศาสนาของเรายิ่งกว่า ประณีตกว่า ความถึงพร้อมด้วยแก่นของท่านนั้น ท่านจักรู้ศาสนานั้นเมื่อไร.

    บทว่า เต ปริพฺพาชกา ได้แก่ ปริพาชกจํานวน ๓,๐๐๐ คนเหล่านั้น เป็นบริวารของเขา. บทว่า เอตฺถ มยํ น ปสฺสาม ได้แก่ ในบาลีมีแบบแผนอเจลก เป็นต้นนี้. ท่านกล่าวว่า แม้แบบแผนอเจลก ก็ไม่มีแก่เรา แบบแผนที่บริสุทธิ์จักมีแต่ที่ไหน แม้แบบแผนที่บริสุทธิ์ของพวกเรา ก็ไม่มีในที่นั้น ความสํารวม ๔ อย่างเป็นต้น จักมีแต่ที่ไหน แม้ความสํารวม ๔ อย่าง ก็ไม่มี การอยู่ป่าเป็นต้น จักมีแต่ที่ไหน แม้การอยู่ป่า ก็ไม่มี การละนิวรณ์เป็นต้น จักมีแต่ที่ไหน แม้การละนิวรณ์ ก็ไม่มี แม้พรหมวิหารเป็นต้น จักมีแต่ที่ไหน แม้พรหมวิหาร ก็ไม่มี ปุพเพนิวาสญาณเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 94

จักมีแต่ที่ไหน แม้ปุพเพนิวาสญาณ ก็ไม่มี ทิพพจักขุของพวกเราจักมีแต่ที่ไหน พวกเราพร้อมทั้งอาจารย์ฉิบหายในที่นี้. บทว่า อิโต ภิยฺโยอุตฺตริตรํ ความว่า ปริพาชกเหล่านั้นย่อมกล่าวว่า พวกเรายังไม่รู้ชัดการบรรลุคุณวิเศษอื่น ที่ยิ่งไปกว่าการบรรลุทิพพจักขุญาณนี้ แม้ด้วยอํานาจการฟัง.

    บทว่า อถ นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกํ ความว่า สันธานคฤหบดีนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ปริพาชกเหล่านี้ ตั้งใจฟังภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าในบัดนี้ ก็นิโครธปริพาชกนี้ ได้กล่าวคําจ้วงจาบอย่างกักขฬะลับหลังพระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้ ปริพาชกนี้ได้เกิดอยากฟัง บัดนี้ เป็นกาลที่จะลดธง คือมานะของปริพาชกนี้ลงแล้ว ยกพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้น ลําดับนั้น เขาจึงได้พูดคํานั้นกะนิโครธปริพาชก และแม้สันธานคฤหบดีนั้นก็ได้มีความคิดอื่นอีกว่า ปริพาชกนี้ เมื่อเราไม่พูด ก็จักไม่ขอขมาพระศาสดา และการไม่ขอโทษนั้น จักเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์แก่เขาในอนาคต แต่เมื่อเราพูดแล้วเขาจักขอขมา การขอขมานั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่เขาตลอดกาลนาน ดังนี้ ทีนั้น เขาจึงได้กล่าวคํานั้นกะนิโครธปริพาชก. ศัพท์ว่า ปน ในคําว่า อปริสาวจรํ ปน นํ กโรถ นี้เป็นนิบาต. ความว่า ก็พวกท่านจงทําพระองค์ท่านไม่ให้กล้าเสด็จเที่ยวไปในที่ประชุม. บาลีว่า อปริสาวจเรตํ ดังนี้ ก็มี. อีกอย่างหนึ่งอธิบายว่า พวกท่านจงทําพระสมณโคดมนั้นไม่ให้กล้าเสด็จเที่ยวไปในที่ประชุม หรือจงทําให้เป็นเหมือนแม่โคตาบอดเป็นต้น ตัวใดตัวหนึ่ง. แม้ในคําว่า โคกาณํ นี้ มีอธิบายว่า พวกท่านจงทําพระสมณโคดมให้เป็นเหมือนโคตาบอดเที่ยววนเวียนไป ฉะนั้น. บทว่า ตุณฺหีภูโต คือ

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 95

เข้าถึงความเป็นผู้นิ่ง. บทว่า มงฺกุภูโต คือ หมดอํานาจ. บทว่า ปตฺตกฺขนฺโธ คือคอตก. บทว่า อโธมุโข คือ ก้มหน้า.

    บทว่า พุทฺโธ โส ภควา สมฺโพธาย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้เองแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อให้สัตว์ทั้งหลายรู้อริยสัจ ๔ ด้วย. บทว่า ทนฺโต คือ ฝึกทางจักษุบ้าง ฯลฯ ฝึกทางใจบ้าง. บทว่า ทมถาย ได้แก่ เพื่อต้องการฝึกสัตว์เหล่าอื่น หาใช่เพื่อวาทะ.

    บทว่า สนฺโต ได้แก่ ทรงสงบแล้ว เพราะมีราคะสงบระงับ คือทรงสงบ เพราะมีโทสะ และโมหะสงบ เพราะมีอกุศลธรรมทั้งปวงและอภิสังขารทั้งปวงสงบ. บทว่า สมถาย คือทรงแสดงธรรมเพื่อให้มหาชนมีราคะเป็นต้นสงบ. บทว่า ติณฺโณ คือข้ามพ้นโอฆะ ๔ อย่างได้. บทว่า ตรณาย คือ เพื่อต้องการจะให้มหาชนผ่านพ้นโอฆะ. บทว่า ปรินิพฺพุโต ได้แก่ เป็นผู้ดับแล้วด้วยกิเลสนิพพาน. บทว่า ปรินิพฺพานาย ได้แก่ ทรงแสดงธรรม เพื่อต้องการให้มหาชนดับกิเลสทุกอย่างได้หมด.

    บทว่า อจฺจโย เป็นต้น ได้กล่าวไว้แล้วในสามัญญผลสูตร. บทว่า อุชุชาติโก ได้แก่ เว้นจากความคดทางกายเป็นต้น มีความซื่อตรงเป็นสภาพ. บทว่า อหมนุสาสามิ ความว่า เราจะสั่งสอนบุคคลเช่นท่าน และจะแสดงธรรมแก่บุคคลเช่นท่านนั้น. บทว่า สตฺตาหํ คือตลอดเจ็ดวัน. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งถึงบุคคลผู้มีปัญญาทึบ จึงตรัสคํานี้ทั้งหมด. ก็บุคคลผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา เป็นคนตรง จักสามารถบรรลุพระอรหัตได้ โดยกาลครู่เดียวเท่านั้น. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงว่า คนผู้โอ้อวด คดโกง เราไม่สามารถสอนได้ ดังนี้ ด้วยคําเป็นต้นว่า อสํ ดังนี้ จึงเหมือนทรงจับปริพาชกที่เท้า ขว้างไปที่เชิงเขาพระสุเมรุ. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 96

เพราะปริพาชกผู้นี้โอ้อวดเหลือเกิน มีจิตใจคดโกง. แม้เมื่อพระศาสดาตรัสอยู่อย่างนี้ ปริพาชกก็ไม่น้อมใจไปในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ไม่เงี่ยโสตไปเพื่อความเป็นผู้น้อมใจไป คงอยู่ในความหลอกลวง ขอขมาพระศาสดา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของเธอ จึงตรัสว่า เราก็ไม่สามารถสอนคนโอ้อวดได้.

    บทว่า อนฺเตวาสิกมฺยตา ได้แก่ อยากได้อันเตวาสิก คือปรารถนาพวกเราเป็นอันเตวาสิก. บทว่า เอวมาห ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคําว่า บุรุษผู้รู้ ไม่โอ้อวด จงมา เป็นต้น. บทว่า โยเอว โว อาจริโย ความว่า ผู้ใด ตามปกติเป็นอาจารย์ของท่าน. บทว่า อุทฺเทสา โน จาเวตุกาโม ความว่า พระสมณโคดมปรารถนาจะให้เราถือคําสอนของพระองค์ แล้วให้พวกเราเคลื่อนจากอุเทศของพวกเรา. บทว่า โสเยว โว อุทฺเทโส โหตุ ความว่า ตามปกติ อุเทศใดเป็นอุเทศของท่าน อุเทศนั้นก็เป็นอุเทศของท่านนั่นแหละ เราไม่มีความต้องการด้วยอุเทศของท่าน. บทว่า อาชีวา คือจากความเป็นอยู่. บทว่า อกุสลสงฺขาตา คือถึงส่วนว่าอกุศล. บทว่า อกุสลา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมคือความเกิดแห่งอกุศลจิต ๑๒ ดวง อีกอย่างหนึ่ง โดยพิเศษ ก็ได้แก่ตัณหานั่นเอง. แท้จริง ตัณหานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า โปโนพฺภวิกา เพราะทําให้เกิดอีก. บทว่า สทรถา คือประกอบด้วยความกระวนกระวายด้วยกิเลส. บทว่า ชาติชรามรณิยา คือเป็นปัจจัยแห่งชาติ ชรา และมรณะ. บทว่า สงฺกิเลสิกา ธมฺมา คือถือความเกิดแห่งอกุศลจิต ๑๒ ดวง. บทว่า โวทานิยา ได้แก่ ธรรม คือสมถะและวิปัสสนา. เพราะธรรม คือสมถะและวิปัสสนาเหล่านั้น ย่อมทําให้สัตว์หมดจดได้ เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า โวทานิยา. บทว่า ปฺาปาริปูริํ คือบริบูรณ์ด้วยมรรค

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 97

ปัญญา. บทว่า เวปุลฺลตฺตฺจ ได้แก่ ความไพบูลย์ด้วยผลปัญญา. อีกนัยหนึ่ง ทั้งสองบทนี้เป็นไวพจน์ของกันและกัน. ท่านอธิบายไว้ว่า เพราะเหตุนั้น พวกท่านจักทําให้แจ้งมรรคปัญญาและผลปัญญา ด้วยปัญญาอันยิ่งของตน ในปัจจุบันนั่นแล เข้าถึงอยู่ ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภปริพาชกทั้งหลาย เมื่อจะทรงแสดงกําลังแห่งพระโอวาทานุสาสนีของพระองค์ จึงยังพระธรรมเทศนาให้จบลงด้วยยอดคือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ยถา ตํ มาเรน ได้แก่ พวกปริพาชกเหล่านั้น เป็นผู้นั่งนิ่ง ฯลฯ ไม่มีปฏิภาณ เหมือนถูกมารดลใจ ฉะนั้น. ได้ยินว่า มารคิดว่า พระศาสดาแสดงกําลังพระพุทธเจ้าคุกคามเหลือเกิน แสดงธรรมแก่ปริพาชกเหล่านี้ น่าจะมีการตรัสรู้ธรรมบ้างในบางคราว เอาเถอะ เราจะดลใจ ดังนี้. มารจึงดลจิตของปริพาชกเหล่านั้น. จริงอยู่ จิตที่ยังละวิปลาสไม่ได้ จึงถูกมารกระทําตามความปรารถนา. แม้ปริพาชกเหล่านั้นถูกมารดลใจแล้ว ก็นั่งนิ่งไม่มีปฏิภาณ เหมือนมีอวัยวะทุกส่วนแข็งกระด้าง ฉะนั้น. ลําดับนั้น พระศาสดาทรงรําพึงว่า ปริพาชกเหล่านี้นั่งเงียบเสียงเหลือเกิน มีเหตุอะไรหนอแล ดังนี้ จึงได้ทราบว่า พวกปริพาชกถูกมารดลใจ. ก็ถ้าเหตุแห่งการบรรลุมรรคและผลของปริพาชกเหล่านั้นพึงมี พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พึงห้ามมารแล้วแสดงธรรม แต่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงรู้แล้วว่า เหตุแห่งมรรคผลไม่มีแก่ปริพาชกเหล่านั้น ปริพาชกทั้งหมดนี้เป็นคนเปล่า เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคําเป็นต้นว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดําริว่า ปริพาชกทั้งหมดเหล่านี้ เป็นโมฆบุรุษ.

    ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผุฏา ปาปิมตา ได้แก่ ถูกมารผู้มีบาปดลใจแล้ว. บทว่า ยตฺร หิ นาม แปลว่า ในปริพาชกเหล่าใด. บทว่า อฺาณตฺถมฺปิ คือ เพื่อความรู้. บทว่า กิํ กริสฺสติ สตฺตาโห

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 20 ก.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 98

ได้แก่ เจ็ดวันที่พระสมณโคดมกําหนดไว้แล้ว จักทําอะไรแก่พวกเราได้. พวกปริพาชกได้กล่าวว่า พระสมณโคดมตรัสว่า นิโครธปริพาชกจักทําให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งของตนตลอดหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งสัปดาห์นั้น จะทําความไม่ผาสุกอะไรแก่เขา เอาเถอะ พวกเราจะประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความรู้ว่า ในภายในหนึ่งสัปดาห์ พวกเราจะสามารถทําให้แจ้งธรรมนั้น ได้หรือไม่. อีกนัยหนึ่ง ในข้อนี้ มีอธิบายว่า ปริพาชกเหล่านั้นไม่ได้เกิดความคิด เพื่อจะรู้สักครั้งเดียวว่า ในวันหนึ่งพวกเราจักรู้ธรรมของพระองค์เลย ก็หนึ่งสัปดาห์จักทําอะไรแก่ปริพาชกผู้เกียจคร้านเหล่านั้นได้ ปริพาชกเหล่านั้น จักบําเพ็ญตลอดสัปดาห์ได้อย่างไร.

    บทว่า สีหนาทํ คือบันลือแล้ว บันลือแบบไม่กลัวใคร เป็นการทําลายวาทะผู้อื่น และเป็นการประกาศวาทะของตน บทว่า ปจฺจุฏาสิ คือดํารงอยู่แล้ว บทว่า ตาวเทว แปลว่า ในขณะนั้น นั่นเอง บทว่า ราชคหํ ปาวิสิ ได้แก่ เข้าไปยังกรุงราชคฤห์ นั่นแล. ก็ปริพาชกเหล่านั้นไม่ได้เกิดคุณวิเศษ เพราะสดับพระสูตรนี้ ก็จริง ถึงอย่างนั้น จักเป็นปัจจัยเพื่อเป็นวาสนาแก่ปริพาชกเหล่านั้นต่อไป คําที่เหลือทุกๆ บท ชัดเจนแล้วทั้งนั้น.

    จบ อรรถกถาอุทุมพริกสูตร

    จบ สูตรที่ ๒