ธรรมะในการทำงาน
ผู้ที่จะปฎิบัติเพื่อระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงย่อมเป็นผู้ที่ตรง นั่นหมายความว่าในการทำงาน ถึงแม้เราจะเจอคนรอบข้างที่ชอบแสดงสภาวธรรมที่ไม่ตรง (ไม่ซื่อสัตย์พูดต่อหน้าอย่างหนึ่งพูดลับหลังอย่างหนึ่ง) แต่เราก็จะต้องเป็นผู้ที่ตรง ไม่ว่าจะเกิดผลเสียต่อเรา ถูกต้องหรือไม่ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
ความเป็นผู้ตรง หมายถึง ตรงตามหลักพระธรรมคำสอน เป็นผู้ที่มีสัจจะ จริงใจที่จะศึกษาเพื่อการละกิเลส สำหรับการดำรงชีวิตประจำวัน กับครอบครัว ผู้ร่วมงานและสังคม ก็เช่นเดียวกัน คือ เป็นผู้มีปกติเจริญกุศลทุกประการ สิ่งใดที่ดีมีประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือส่วนรวม ควรกระทำ แต่สิ่งใดที่ไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ไม่ควรกระทำ ทางวาจา คำพูดก็เช่นเดียวกัน เป็นผู้รู้จักกาลเทศะ สิ่งใดที่ไม่มีประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ไม่ควรพูด ที่สำคัญ คือ เราไม่สามารถแก้ไขคนอื่นให้ดีได้ทั้งหมด
ธรรมะในการทำงาน ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเราไม่มีธรรมะในการทำงานเราจะทุกข์มาก เพราะการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เราสามารถเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงทุกขณะ เห็นความโกรธ ความเสียใจ ความไม่พอใจต่างๆ มากมาย ถ้าเราเข้าใจธรรมะเราสามารถอยู่กับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้โดยไม่ทุกข์ หรือทุกข์น้อยลง ต้องอาศัยความเข้าใจและมองโลกตามความเป็นจริง ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
การดำเนินชีวิตประจำวัน ย่อมพบปะผู้คน ดังนั้น การอยู่ร่วมกับบุคลต่างๆ ที่ดี ก็ต้องอาศัยความเข้าใจพระธรรม ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร พระพุทธจ้าสอนให้ทำดี ละชั่วแต่ต้องไม่ลืมว่าต้องเป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่เรา เมื่อยังมีกิเลสอยู่ก็มีเหตุให้เกิดกิเลสระดับต่างๆ ไม่ว่าจะที่ทำงาน และที่ไหนเพราะปัญญาเรายังน้อย ก็ต้องเป็นผู้ตรงว่า ปัญญายังน้อยจริงๆ และปัญญาขั้นการฟัง ทำอะไรอนุสัยกิเลสที่เป็นพืชเชื้อของกิเลสต่างๆ ไม่ได้เลย จึงเป็นที่มาให้เรายังโกรธ ยังโลภ อยู่ จึงต้องเป็นผู้ตรงว่า การจะดับกิเลสเริ่มจากการรู้ว่า เป็นธัมมะไม่ใช่เรา ดับความเห็นผิดก่อน ดังนั้น จึงไม่มีคำว่า จะเอาธัมมะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เลยหรือที่ทำงาน เพราะไม่มีใครเอาธัมมะไปใช้ได้ แต่เป็นหน้าที่ของธัมมะ เมื่อฟังพระธรรมมากขึ้นและเข้าใจมากขึ้น สภาพธัมมะที่เป็นฝ่ายดี ย่อมเกิดบ่อยขึ้นตามระดับปัญญา ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงานหรือที่ไหนก็ตามอย่าลืมว่าบังคับบัญชาธัมมะไม่ได้ครับ แต่ทุกอย่างต้องมีเหตุ แม้สภาพธัมมะที่เป็นฝ่ายดี (ขันติ เมตตา) ที่จะเกิด ก็มีเหตุ จากการฟังพระธรรมนั่นเองครับ เราใช้คำว่าเป็นผู้ตรงบ่อยๆ มาดูความหมายของคำว่า ตรง กันครับ ซึ่งก็มีหลายระดับ จนถึงขั้นที่เป็นผู้ตรงด้วยการอบรมสมถภาวนา (อารัมมณูปนิชฌาน) และอบรมสติปัฏฐาน (ลักขณูปนิช-ฌาน) แม้อบรมสติปัฏฐานก็ชื่อว่าเป็นผู้ตรงครับ ลองอ่านดูนะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 340
ข้อความบางตอนจากอรรรถกถา เมตตสูตร
หรือว่าชื่อว่า ตรง (อุชุ) เพราะทำด้วยความไม่อวดดี ชื่อว่า ตรงดี (สุหุชู) เพราะ ไม่มีมายา. หรือว่า ชื่อว่า ตรง เพราะละความคดทางกายและวาจา ชื่อว่า
ตรงดี เพราะละความคดทางใจ. หรือชื่อว่า ตรง เพราะไม่อวดคุณที่ไม่มีจริง ชื่อว่าตรงดี เพราะไม่อดกลั้นต่อลาภที่เกิดเพราะคุณที่ไม่มีจริง. พึงชื่อว่าเป็นผู้ตรงและตรงดีด้วยอารัมมณูปนิชฌานและลักขณูปนิชฌาน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนา
ผมได้ยินประโยคที่ว่า ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เป็นผู้ตรง แล้วซาบซึ้ง ทุกครั้ง คุณแล้วเจอกัน ก็เป็นผู้หนึ่งที่คอยให้ทานผมทางปัญญาด้วยดีเสมอมา
เป็นประโยคที่ได้ยินครั้งใด เป็นกุศลจิตจริงๆ
ผู้ที่จะปฎิบัติเพื่อระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงย่อมเป็นผู้ที่ตรง
ในที่นี้ ท่านหมายถึง ขณะที่สภาพธรรมใดสภาพธรรมหนึ่งกำลังเกิดขึ้นปรากฏเช่น ขณะที่โลภะเกิด หรือโทสะเกิด แล้วสติระลึกรู้ในลักษณะที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏย่อมเป็นผู้ตรง นั่นหมายความว่าในการทำงาน ถึงแม้เราจะเจอคนรอบข้างที่ชอบแสดงสภาวธรรมที่ไม่ตรง (ไม่ซื่อสัตย์ พูดต่อหน้าอย่างหนึ่งพูดลับหลังอย่างหนึ่ง) แต่เราก็จะต้องเป็นผู้ที่ตรง ไม่ว่าจะเกิดผลเสียต่อเรา ถูกต้องหรือไม่ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
อกุศลจิตของบุคคลอื่น ไม่ต้องไปสนใจเลยค่ะ เพราะไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ ต่อเราเลย แต่สิ่งที่เราควรตระหนัก คือ ขณะที่เราไม่พอใจเพื่อนร่วมงาน อกุศลจิตของเรากำลังเกิดขึ้นแล้ว เราเคยสังเกตและพิจารณาบ้างไหมคะ? เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงบุคคลอื่นได้ แต่เราสามารถที่จะพิจารณาสภาพธรรมใดสภาพธรรมหนึ่งกำลังเกิดขึ้นปรากฏทันที นั่นคือประโยชน์โดยตรงที่เราจะได้รับ และหากเรามีความมั่นคงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง คือ ธรรมทั้งหมด (จากการฟัง) และมั่นคงในเรื่องของกรรมและผลของกรรม ก็จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในชีวิตของเราค่ะ
ตรงในที่นี้น่าจะหมายถึงทุกเรื่อง แม้แต่ความคิด ความเข้าใจ มิเช่นนั้นก็จะเป็นเพียงแค่ศรัทธา โดยไม่มีเหตุผลมารองรับ เป็นเช่นนี้ด้วยไช่ไหมครับ
การพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่ออกุศลจิตของเราเกิด บางครั้งก็ทันบางครั้งก็ไม่ทัน ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างยากจริงๆ ที่จะมีสติระลึกรู้ตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฎของตัวเราเอง ส่วนใหญ่เราจะมองออกไปนอกตัวเรา พยายามที่จะไปแก้ไขกิเลสของคนอื่น
สัตว์ตื้น แต่มนุษย์รกชัฎ เพราะสัตว์ไม่มีมายา แสดงออกให้คนเห็น แต่มนุษย์มีการซ่อนเร้น มีมายา ปกปิดไม่แสดงความไม่ดีของตัวเองให้ใครเห็น แต่มนุษย์ที่มีปัญญาก็จะขัดเกลากิเลสความไม่ดีของตนเอง ด้วยการเป็นผู้ตรง ซื่อตรง ไม่มีมายา ไม่ถือตัว ไม่มีมานะ ไม่กระด้าง เป็นผู้ว่าง่าย มีศรัทธาในพระรัตนตรัย และประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมค่ะ