พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๖. รุรุมิคจริยา ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาเนื้อ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  22 ก.ค. 2564
หมายเลข  34745
อ่าน  472

[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 299

๖. รุรุมิคจริยา

ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาเนื้อ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 299

๖. รุรุมิคจริยา

ว่าด้วยจริยาวัตรของพระยาเนื้อ

[๑๖] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาเนื้อ ชื่อรุรุ มีขนสีเหลืองคล้ายหลอมทองคำ ประกอบด้วยศีลอันบริสุทธิ์ยิ่ง เราเข้าไปอาศัยอยู่ ณ ประเทศน่ารื่นรมย์ เป็นรมณียสถาน สงัดเงียบปราศจากมนุษย์ เป็นที่ยินดีแห่งใจ ใกล้ฝั่งคงคา ครั้งนั้น บุรุษถูกเจ้าหนี้ทวงถาม จึงโดดลงในแม่น้ำ ในกระแสน้ำข้างเหนือ ด้วยคิดว่า เราจะเป็นหรือตายก็ตามที เขาถูกกระแสน้ำพัดไปในแม่น้ำใหญ่ ตลอดคืน ตลอดวัน ร้องไห้คร่ำครวญขอความช่วยเหลือ ลอยไปในท่ามกลางคงคา เราฟังเสียงของเขาผู้ร้องไห้คร่ำครวญขอความช่วยเหลือแล้ว ไปยืนอยู่ที่ฝั่งคงคา ได้ถามว่า ท่านเป็นใคร เขาอันเราถามแล้ว ได้แจ้งเหตุของตนในกาลนั้นว่า เราเป็นผู้ถูกเจ้าหนี้ทำให้สะดุ้งกลัว จึงแล่นมายังมหานทีนี้ เราทำความกรุณาแก่เขา สละชีวิตของเรา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 300

ว่ายน้ำไปนำเขามาในเวลากลางคืนข้างแรม เรารู้กาลว่า เขาหายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วได้กล่าวกะเขาดังนี้ว่า เราจะขอพรกะท่านสักข้อหนึ่ง คือท่านอย่าบอกเราแก่ใครๆ เขาไปยังพระนครแล้ว พระราชาตรัสถามจึงกราบทูล เพราะต้องการทรัพย์ เขาได้พาพระราชาเข้ามายังที่อยู่ของเรา เรากราบทูลเหตุการณ์ทุกอย่างแด่พระราชา พระราชาทรงสดับคำของเราแล้ว ทรงสอดลูกศรจะยิงบุรุษนั้น ตรัสว่า เราจักฆ่าคนลามกผู้ประทุษร้ายมิตรเสียในที่นี้แหละ เราตามรักษาคนประทุษร้ายมิตรนั้น ได้มอบตนของเราถวายว่า ข้าแต่มหาราชา ขอได้ทรงโปรดงดก่อนเถิดพระเจ้าข้า ข้าพระบาทจะกระทำตามพระราชประสงค์ของพระองค์ เราตามรักษาศีลของเรา ไม่ใช่เราตามรักษาชีวิตของเรา เพราะในกาลนั้น เราเป็นผู้มีศีลเพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง ฉะนี้แล.

จบ รุรุมิคจริยาที่ ๖

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 301

อรรถกถารุรุมิคราชจริยาที่ ๖

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถารุรุมิคราชจริยาที่ ๖ ดังต่อไปนี้.

บทว่า สุตตฺต กนกสนฺนิโภ คือมีขนสีเหลียงคล้ายหลอมทองคำใส่เข้าไปในไฟ โดยปราศจากสีดำตลอดตัว.

บทว่า มิคราชา รุรุ นาม คือมีชื่อโดยสัญชาติว่า รุรุมิคราชโดยเชื้อชาติว่า รุรุ อธิบายว่า เป็นราชาแห่งเนื้อทั้งหลาย.

บทว่า ปรมสีลสมาหิโต คือตั้งมั่นอยู่ในศีลอันอุดม พึงทราบเนื้อความในบทนี้อย่างนี้ว่า ศีลบริสุทธิ์และมีจิตตั้งมั่น หรือมีจิตตั้งมั่นโดยชอบในศีลอันบริสุทธิ์.

ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดเนื้อชื่อว่า รุรุ ผิวในร่างกายของเนื้อนั้นมีสีเหมือนแผ่นทองคำที่เผาแล้วขัดเป็นอย่างดี เท้าทั้ง ๔ ดุจฉาบด้วยครั่ง หางดุจหางจามรี เขามีสีเหมือนพวงเงิน ตาดุจก้อนแก้วมณีที่ขัดดีแล้ว ปากดุจลูกคลีหนังหุ้มผ้ากัมพลสีแดงสอดตั้งไว้. เนื้อนั้นละความคลุกคลี ประสงค์จะอยู่อย่างสงบ จึงทิ้งบริวาร อยู่ผู้เดียวเท่านั้นในป่าใหญ่ สะพรั่งด้วยดอกไม้บานปนต้นสาละน่ารื่นรมย์ใกล้แม่น้ำคงคา. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

เราเข้าไปอาศัยอยู่ ณ ประเทศที่น่ารื่นรมย์ เป็นรมณียสถาน สงัดเงียบ ปราศจากมนุษย์ เป็นที่ยินดีแห่งใจใกล้ฝั่งคงคา.

ใบบทเหล่านั้น บทว่า รมฺเม ปเทเส คือในอรัญญประเทศน่ารื่นรมย์ เพราะประกอบด้วยภูมิภาคสีขาวปนทราย เช่นกับพื้นแก้วมุกดา

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 302

ด้วยพื้นป่าอันมีหญ้าเขียวสดงอกขึ้นอย่างสนิท ด้วยพื้นศิลาวิจิตรด้วยสีต่างๆ ดุจปูไว้อย่างสวยงาม และด้วยสระมีน้ำใสสะอาดดุจกองแก้วมณี และเพราะปกคลุมด้วยติณชาติ สัมผัสอ่อนนุ่มโดยมากสีแดงคล้ายสีแมลงค่อมทอง

บทว่า รมฺมณีเย คือเป็นรมณียสถาน ทำให้เกิดความยินดีแก่ชนผู้เข้าไป ณ ที่นั้น เพราะงดงามด้วยป่าหนาทึบ มีกิ่งก้านสาขาปกคลุมล้วนแล้วไปด้วยดอกไม้ ผลไม้และหน่อไม้ หมู่นกนานาชนิดส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ รุ่งเรืองไปด้วยต้นไม้เถาวัลย์และป่าหลายอย่างโดยมาก ก็มีมะม่วง ต้นสาละ ไพรสณฑ์ประดับ. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ในรุรุมิคราชชาดกว่า :-

ในไพรสณฑ์นั้น มีมะม่วง และดอกสาละบาน ดารดาษไปด้วยแมลงค่อมทอง. ณ ที่นี้ มิคราชนั้นอาศัยอยู่.

บทว่า วิวิตฺเต คือว่างเปล่าจากคนอยู่.

บทว่า อมนุสฺสเก คือ ปราศจากมนุษย์ เพราะไม่มีมนุษย์สัญจรใบมา ณ ที่นั้น.

บทว่า มโนรเม ชื่อว่า มโนรเม เพราะเป็นที่ยินดีแห่งใจโดยเฉพาะของผู้ต้องการความสงบ ด้วยคุณสมบัติตามที่กล่าวแล้ว.

บทว่า อถ ในบทว่า อถ อุปริคงฺคาย นี้ เป็นนิบาตลงในอธิการะ คือเหตุเกิดขึ้น ท่านแสดงไว้ว่า ด้วยเหตุนั้นเมื่อเราอยู่อย่างนั้นในที่นั้น จึงเกิดเหตุนี้ขึ้น.

บทว่า อุปริคงฺคาย คือบนกระแสแม่น้ำคงคา.

บทว่า ธนิเกหิ ปริปีฬิโต คือบุรุษถูกเจ้าหนี้ทวง ไม่สามารถใช้หนี้ได้.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 303

มีเรื่องเล่าว่า เศรษฐีชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่ง ไม่ให้บุตรของตนเล่าเรียนศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยคิดว่า บุตรนี้เรียนศิลปะจักลำบาก. บุตรเศรษฐีไม่รู้อะไรๆ นอกจากขับร้อง ประโคมดนตรี ฟ้อนรำ เคี้ยวกิน และบริโภค. เมื่อบุตรเจริญวัย มารดาบิดาก็หาภรรยาที่สมควรให้ มอบทรัพย์ให้แล้วก็ถึงแก่กรรม. บุตรเศรษฐีห้อมล้อมด้วยนักเลงหญิง นักเลงสุรา ทำลายทรัพย์ทั้งหมดด้วยอบายมุขต่างๆ กู้หนี้ยืมสินในที่นั้นๆ ไม่สามารถจะใช้หนี้ได้ เมื่อถูกเจ้าหนี้ทวง จึงคิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยชีวิตของเรา. เกิดมาด้วยอัตภาพนั้น แม้อย่างนี้ก็เหมือนเป็นอย่างอื่น. ตายเสียดีกว่า จึงบอกเจ้าหนี้ทั้งหลายว่า พวกท่านจงเอาใบกู้หนี้มา. เรามีทรัพย์อันเป็นของตระกูลฝังไว้ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา. เราจักให้ทรัพย์นั้นแก่พวกท่าน. เจ้าหนี้ทั้งหลายก็ไปกับเขา. บุตรเศรษฐีทำเป็นบอกที่ฝังทรัพย์ว่า ทรัพย์ฝังไว้ตรงนี้ๆ. คิดว่า ด้วยอาการอย่างนี้เราจักพ้นหนี้ จึงหนีไปโดดน้ำ. บุตรเศรษฐีนั้นลอยไปตามกระแสน้ำอันเชี่ยว ร้องขอความช่วยเหลือ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

ครั้งนั้นบุรุษถูกเจ้าหนี้ทวงถาม จึงโดดลงในแม่น้ำในกระแสน้ำข้างเหนือ ด้วยคิดว่า เราจะเป็นหรือตายก็ตามที เราถูกกระแสน้ำพัดไปในแม่น้ำใหญ่ ตลอดคืนตลอดวัน ร้องไห้คร่ำครวญขอความช่วยเหลือ ลอยไปในท่ามกลางคงคา ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 304

ในบทเหล่านั้น บทว่า ชีวามิ วา มรามิ วา ความว่าบุรุษนั้นตกลงไปในกระแสแม่น้ำนี้ คิดว่าเราจะเป็นหรือตายก็ตามที. อธิบายว่า เราจะมีชีวิตอยู่หรือตายในแม่น้ำนี้ก็ตามเถิด. แม้โดยประการทั้งสองอย่าง จะไม่มีการเบียดเบียนของเจ้าหนี้ ดังนี้.

บทว่า มชฺเฌ คงฺคาย คจฺฉติ ลอยไปในท่ามกลางแม่น้ำ คือบุรุษนั้นลอยไปในแม่น้ำตลอดวันและคืน เพราะยังรักชีวิตอยู่ยังไม่ถึงที่ตาย จึงกลัวมรณภัย ร้องขอความช่วยเหลือ ลอยไปตามห้วงน้ำในท่ามกลางแม่น้ำ.

ครั้งนั้นพระมหาบุรุษได้ยินเสียงของบุรุษนั้นร้องขอความช่วยเหลือ ในตอนเที่ยงคืนได้ยินเป็นเสียงมนุษย์ คิดว่า เมื่อเรายังอยู่ในที่นี้ บุรุษอย่าตายเลย. เราจักช่วยชีวิตเขา จึงออกจากพุ่มไม้ที่นอนอยู่ไปยังฝั่งแม่น้ำ กล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านอย่ากลัวเลย. เราจักช่วยชีวิตท่าน แล้วปลอบใจเดินฝ่ากระแสน้ำให้บุรุษนั้นขึ้นหลังนำไปถึงฝั่ง แล้วพาไปที่อยู่ของตน บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยแล้วก็ให้ผลไม้ ล่วงไป ๒ - ๓ วัน จึงกล่าวกะบุรุษนั้นว่า บุรุษผู้เจริญ เราจักพาท่านไปยังทางที่จะไปกรุงพาราณสี ท่านอย่าบอกใครๆ. ณ ที่โน้นมีกวางทองอาศัยอยู่. บุรุษนั้นรับว่าจ้ะ ฉันจะไม่บอกใครๆ. พระมหาสัตว์ให้เขาขี่หลังของตนหยั่งลงในทางที่จะไปกรุงพาราณสี แล้วก็กลับ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

เราฟังเสียงของเขาผู้ร้องไห้คร่ำครวญขอความช่วยเหลือ ไปยืนอยู่ที่ฝั่งคงคา ได้ถามว่า

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 305

ท่านเป็นใคร เขาได้บอกถึงการกระทำของตนว่า ข้าพเจ้าถูกเจ้าหนี้ให้สะดุ้งกลัว จึงวิ่งมายังมหานทีนี้. เราจึงช่วยเหลือเขา สละชีวิตของเรา ว่ายน้ำไปนำเขามาให้เวลากลางคืนข้างแรม เรารู้ว่าเขาหายเหน็ดเหนื่อยแล้ว ได้กล่าวกะเขาดังนี้ว่า เราจะขอพรกะท่านสักข้อหนึ่ง คือ ท่านอย่าบอกเราแก่ใครๆ ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า โกสิ ตฺวํ นโร ท่านเป็นใคร อธิบายว่า ท่านลอยมาจากไหนจึงถึงที่นี้ได้.

บทว่า อตฺตโน กรณํ คือการกระทำของตน.

บทว่า ธนิเกหิ ภีโต คือถูกเจ้าหนี้ทำให้หวาดสะดุ้ง.

บทว่า ตสิโต คือหวาดเสียว.

บทว่า ตสฺส กตฺวาน การุญฺํ จชิตฺวา มม ชีวิตํ คือเราช่วยเหลือเขาด้วยความสงสารมาก จึงสละชีวิตของเราแก่บุรุษนั้น.

บทว่า ปวิสิตฺวา นีหรึ ตสฺส คือลงแม่น้ำฝ่ากระแสน้ำไปตรงๆ ให้เขาขึ้นหลังเรา แล้วนำเขาออกไปจากที่นั้น.

บทว่า ตสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัตติ์ลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ์. บาลีว่า ตตฺถ ก็มี อธิบายว่า ในแม่น้ำนั้น.

บทว่า อนฺธการมฺหิ รตฺติยา คือในราตรีข้างแรม.

บทว่า อสฺสตฺถกาลมญฺาย คือเรารู้กาลที่เขาหายเหน็ดเหนื่อย แล้ว จึงให้ผลาผล ล่วงไป ๒ - ๓ วัน เขาปราศจากความลำบาก.

บทว่า เอกํ

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 306

ตํ วรํ ยาจามิ คือเราขอพรกะท่านสักข้อหนึ่ง. อธิบายว่า ท่านจงให้พรเราข้อหนึ่ง. หากถามว่า พรนั้นเป็นอย่างไร? ตอบว่า ท่านจงอย่าบอกเราแก่ใครๆ คืออย่าบอกเราแก่พระราชา หรือมหาอำมาตย์ของพระราชาว่า มีกวางทองอาศัยอยู่ ณ ที่โน้นดังนี้.

ลำดับนั้น ในวันที่บุรุษนั้นเข้าไปถึงกรุงพาราณสีนั่นเอง พระอัครมเหสีได้ทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ หม่อมฉันได้เห็นกวางทองแสดงธรรมแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันฝันจริง กวางทองจะมีแน่นอน เพราะฉะนั้น หม่อมฉันใคร่จะฟังธรรมของกวางทอง. หากหม่อมฉันได้ฟังก็จักมีชีวิตอยู่ หากไม่ได้ฟังหม่อมฉันก็จะไม่มีชีวิตอยู่ เพคะ. พระราชาทรงปลอบพระอัครมเหสี แล้วตรัสว่า หากกวางทองมีอยู่ในมนุษยโลก. เธอก็คงจักได้. แล้วรับสั่งเรียกหาพราหมณ์ ตรัสถามว่า ธรรมดากวางทองมีอยู่หรือ ทรงสดับว่า มีอยู่ จึงทรงเอาถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ใส่ไว้ในหีบทองคำยกขึ้นวางที่คอช้าง แล้วตีกลองเที่ยวป่าวประกาศว่า ผู้ใดจักบอกกวางทองได้ เราจักให้ถุงทรัพย์นี้ พร้อมด้วยช้างแก่ผู้นั้น. พระราชามีพระประสงค์จะให้แม้มากกว่านั้น จึงรับสั่งให้จารึกบ้านส่วยลงในแผ่นทองคำ แล้วประกาศไปทั่วพระนครว่า :-

เราให้บ้านส่วย และสตรีที่ตกแต่งแล้วอย่างสวยงามแก่ผู้บอกมฤคที่อุดมกว่ามฤคทั้งหลายดังนี้.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 307

ลำดับนั้นเศรษฐีบุตรได้ฟังดังนั้นจึงไปหาราชบุรุษแล้วพูดว่า เราจักทูลมฤคเห็นปานนั้นแด่พระราชา ท่านทั้งหลายจงนำเราเข้าเฝ้าพระราชาเถิด พวกราชบุรุษนำเศรษฐีบุตรนั้นเข้าเฝ้าพระราชา แล้วทูลความนั้นให้ทรงทราบ. พระราชาตรัสถามว่า เจ้าได้เห็นจริงหรือ. เขาทูลว่า ขอเดชะ จริง พระเจ้าข้า ขอจงมากับข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์จักให้ทอดพระเนตรมฤคนั้น. พระราชาให้บุรุษนั้นเป็นผู้นำทาง เสด็จไปถึงที่นั้นด้วยบริวารใหญ่ ให้พวกราชบุรุษถืออาวุธล้อมสถานที่ที่บุรุษผู้ทำลายมิตรนั้นชี้ให้ดูโดยรอบ แล้วตรัสว่า พวกท่านจงทำเสียงให้ดัง พระองค์เองประทับยืน ณ ข้างหนึ่งกับชนเล็กน้อย แม้บุรุษนั้นก็ได้ยืนอยู่ไม่ไกล. พระมหาสัตว์สดับเสียงก็รู้ว่า เป็นเสียงกองพลใหญ่. ภัยของเราคงจะเกิดจากบุรุษนั้นเป็นแน่ จึงลุกขึ้นมองดูหมู่ชนทั้งสิ้น ดำริว่า เราจักปลอดภัยในที่ที่พระราชาประทับอยู่ จึงเดินมุ่งหน้าเข้าไปหาพระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นกวางทองนั้นเดินมา ทรงดำริว่า กวางทองนี้มีกำลังดุจคชสารคงจะมาทำร้ายเรา จึงทรงสอดลูกศรเล็งตรงไปยังพระโพธิสัตว์ด้วยทรงพระดำริว่า หากมฤคนี้กลัวหนีไป เราจะยิงทำให้ทุพลภาพแล้วจึงจับ. พระมหาสัตว์ได้กล่าวคาถาว่า :-

ข้าแต่มหาราชผู้ประเสริฐ ขอทรงโปรดรอก่อน อย่าเพิ่งยิงข้าพระองค์เลย ใครบอกเรื่องนี้แด่พระองค์ว่า มีเนื้ออยู่ ณ ที่นี้ พระเจ้าข้า.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 308

พระราชาทรงยับยั้งด้วยถ้อยคำอันไพเราะของมฤคนั้น ทรงลดคันศร ประทับยืนด้วยความเคารพ. แม้พระโพธิสัตว์ก็เข้าไปหาพระราชา ได้ทำปฏิสันถารอย่างละมุนละม่อม. แม้มหาชนก็วางสรรพาวุธแวดล้อมพระราชา. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

เขาไปยังพระนครแล้ว พระราชาตรัสถาม จึงกราบทูลเพราะต้องการทรัพย์ เขาได้พาพระราชามายังที่อยู่ของเรา ดังนี้.

บทนั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้. ผู้ใดประทุษร้ายมิตรเป็นบุรุษชั่ว เราสละชีวิตช่วยให้พ้นจากเป็นเหยื่อสัตว์ พาไปกรุงพาราณสี บอกเราแด่พระราชา เพราะตนต้องการทรัพย์. ครั้นบอกแล้วบุรุษชั่วนั้นเป็นผู้นำทางเพื่อให้พระราชาจับเรา จึงพาพระราชามายังที่อยู่ของเรา

พระมหาสัตว์ทูลถามพระราชาอีกด้วยเสียงอันไพเราะดุจสั่นกระดิ่งทองคำว่า ใครหนอทูลเรื่องนี้แด่พระองค์ว่า ณ ที่นี้มีมฤคที่อาศัยอยู่. ในขณะนั้นบุรุษชั่วนั้นหลีกไปหน่อยหนึ่ง แล้วยืนในที่พอฟังได้ยิน. พระราชาตรัสว่า บุรุษผู้นี้บอกท่านแก่เรา แล้วทรงชี้ไปที่บุรุษชั่วนั้น. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวคาถาว่า :-

ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ไม่พูดความจริง ไม้ลอยน้ำยังดีกว่า ส่วนคนบางพวกไม่ดีเลย.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 309

พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงเกิดความสังเวช ตรัสคาถาว่า :-

ท่านรุรุมิคราช บรรดามฤค นก มนุษย์ ท่านติเตียนอะไร. มฤคได้ภัยใหญ่กะเราเพราะฟังมนุษย์นั้นบอก.

ลำดับนั้น พระมหาบุรุษเมื่อจะทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ไม่ติเตียนมฤค ไม่ติเตียนนก. แต่ข้าพระองค์ติเตียนมนุษย์จึงกล่าวว่า.

ข้าแต่ราชะ ข้าพระองค์ช่วยยกบุรุษใดซึ่งลอยอยู่ในน้ำที่มีน้ำมาก มีกระแสเชี่ยวขึ้นมาได้ ภัยมาถึงข้าพระองค์ เพราะบุรุษนั้นเป็นต้นเหตุ การสมาคมกับอสัตบุรุษเป็นทุกข์แท้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า นิปฺลวิตํ คือลอยน้ำ.

บทว่า เอกจฺจิโย คือคนบางคนประทุษร้ายมิตรเป็นบุรุษชั่ว แม้ตกลงไปในน้ำ เมื่อมีผู้ช่วยขึ้นมาได้ ก็ไม่ประเสริฐเลย. เพราะไม้ยังใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง. แต่คนประทุษร้ายมิตรย่อมเป็นไปเพื่อความพินาศ. เพราะฉะนั้น ไม้จึงดีกว่าคนประทุษร้ายมิตรนั้น.

บทว่า มิคานํ คือพระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนรุรุมิคราช บรรดาเนื้อ นก หรือมนุษย์ ท่านติเตียนอะไร?

บทว่า ภยํ หิ มํ วินฺทตินปฺปริปํ คือมฤคได้ภัยใหญ่กะเรา อธิบายว่า ทำดุจเป็นของตน.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 310

บทว่า วาหเน คือห้วงน้ำสามารถพัดพาคนที่ตกลงไปแล้วๆ เล่าๆ ได้.

บทว่า มโหทเก สลิเล คือในน้ำอันมีน้ำมาก. แม้ด้วยบททั้งสอง ท่านแสดงถึงห้วงน้ำมีน้ำมาก.

บทว่า ตโตนิทานํ คือมิคราชทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช บุรุษใดที่พระองค์แสดงแก่ข้าพระบาท. บุรุษนั้นลอยไปในแม่น้ำร้องคร่ำครวญขอความช่วยเหลือในตอนเที่ยงคืน ข้าพระองค์ช่วยยกเขาขึ้นจากแม่น้ำ. ภัยนี้มาถึงข้าพระองค์ เพราะบุรุษนั้นเป็นต้นเหตุ. ชื่อว่าการสมาคมกับอสัตบุรุษเป็นทุกข์. พระราชาครั้นทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงพิโรธบุรุษชั่วนั้น ทรงสอดลูกศรด้วยทรงดำริว่า เจ้านี้ไม่รู้จักคุณของผู้มีอุปการะมากถึงอย่างนี้. ทำให้เกิดลำบาก. เราจะยิงแล้วฆ่ามันเสีย. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

เรากราบทูลเหตุการณ์ทุกอย่างแด่พระราชา พระราชาทรงสดับคำของเราแล้ว ทรงสอดลูกศรจะยิงบุรุษนั้น ตรัสว่าเราจักฆ่าคนลามกผู้ประทุษร้ายมิตรเสียในที่นี้แหละ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา กรณํ คือทูลถึงการทำอุปการะทั้งหมดที่เราทำไว้แก่บุรุษนั้น.

บทว่า ปกปฺปยิ คือสอดลูกศร.

บทว่า มิตฺตทุพฺภึ ผู้ประทุษร้ายมิตร คือผู้มีปกติประทุษร้ายมิตรผู้มีอุปการะแก่ตน.

ลำดับนั้นพระมหาสัตว์ดำริว่า บุรุษพาลนี้อย่าได้พินาศไปเพราะอาศัยเราเลย จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าการฆ่าคนพาลก็ดี บัณฑิตก็ดี

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 311

วิญญูชนไม่สรรเสริญว่าเป็นคนดี. ที่แท้แล้ววิญญูชนติเตียนอย่างยิ่ง. เพราะฉะนั้นขอพระองค์อย่าฆ่าบุรุษพาลนี้เลย. ปล่อยเขาไปตามความพอใจเถิด ขอพระองค์อย่าทรงให้เขาเสื่อมเสีย จึงทรงพระราชทานสิ่งที่พระองค์ปฏิญญาไว้แก่เขาว่าจักพระราชทานเถิดพระเจ้าเข้า แล้วทูลต่อไปว่า อนึ่ง ข้าพระองค์จักนำสิ่งที่พระองค์ปรารถนา. ข้าพระองค์จะมอบตนแด่พระองค์. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

เราตามรักษาคนผู้ประทุษร้ายมิตรนั้นได้ มอบตนของเราถวายว่า ข้าแต่มหาราช ขอได้ทรงโปรดงดก่อนเถิดพระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะทำตามพระราชประสงค์ของพระองค์.

ในบทเหล่านั้น บทว่า นิมฺมินึ คือเราตามรักษาบุรุษนั้น ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นบุคคลชั่ว ได้มอบอัตภาพของเราถวายกะพระราชานั้น. อธิบายว่า เราได้มอบตนถวายแด่พระราชา แล้วยับยั้งความตายของเขาผู้ตกอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระราชา.

บทว่า ติฏฺเตโส เป็นต้น เป็นบทแสดงอาการถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน.

บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่ทำการถ้อยทีถ้อยอาศัยกันของพระองค์ จึงตรัสคาถาสุดท้าย.

ความคาถาสุดท้ายนั้นมีดังต่อไปนี้ :-

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 312

ในครั้งนั้นเมื่อพระราชามีพระประสงค์จะฆ่าบุรุษผู้ประทุษร้ายมิตรนั้นเพราะอาศัยเรา เราจึงสละตนแด่พระราชา ตามรักษาศีลของเรา มิใช่ตามรักษาชีวิตของเรา. ข้อที่เราเป็นผู้มีศีล มิได้คำนึงถึงชีวิตของตนก็เพราะเหตุแห่งสัมมาสัมโพธิญาณนั้นเอง.

ลำดับนั้น พระราชาเมื่อพระโพธิสัตว์สละชีวิตของตนยับยั้งความตายของบุรุษนั้น มีพระทัยยินดี ตรัสว่า ไปเถิดเจ้า เจ้าพ้นความตายจากมือของเราด้วยความช่วยเหลือของมิคราช แล้วพระราชทานทรัพย์แก่บุรุษนั้นตามปฏิญญา. พระราชาทรงอนุญาตพรตามความพอใจของพระโพธิสัตว์ แล้วนำพระโพธิสัตว์เข้าสู่พระนคร รับสั่งให้ตกแต่งพระนครและประดับพระโพธิสัตว์ ให้พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่พระเทวี. พระมหาสัตว์แสดงธรรมด้วยภาษามนุษย์ไพเราะ แด่พระราชา พระเทวี และแก่ราชบริษัท ถวายโอวาทพระราชาด้วยทศพิธราชธรรม สั่งสอนมหาชนแล้วเข้าป่า แวดล้อมด้วยหมู่มฤค อยู่อย่างสบาย. แม้พระราชาก็ทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์ ทรงประทานอภัยแก่สรรพสัตว์ ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น ได้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

เศรษฐีบุตรในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้. พระราชาคือพระอานนท์ รุรุมิคราชคือพระโลกนาถ.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 313

แม้ในรุรุมิตราชจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระโพธิสัตว์นั้นตามสมควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.

อนึ่ง แม้ในจริยานี้ ก็พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาสัตว์ มีอาทิอย่างนี้ คือ การละฝูงของมฤคราชผู้ไม่ปรารถนาเกี่ยวข้องกับชน เพราะยินดีในความสงบ. การได้ยินเสียงเศร้าโศกของบุรุษผู้คร่ำครวญขอความช่วยเหลือซึ่งลอยอยู่ในแม่น้ำในเวลาเที่ยงคืน จึงลุกจากที่นอนไปยังฝังแม่น้ำ สละชีวิตของตนหยั่งลงไปในห้วงน้ำซึ่งไหลลงไปในแม่น้ำใหญ่ ฝ่ากระแสน้ำให้บุรุษนั้นขึ้นหลังตน พาไปถึงฝั่ง ปลอบโยน ให้ผลาผลเป็นต้นแล้ว ให้บรรเทาความเหน็ดเหนื่อย. การให้บุรุษนั้นขึ้นหลังตนอีกครั้ง แล้วนำออกจากป่าไปส่งที่ทางหลวง. การเป็นผู้ไม่กลัวไปเผชิญหน้ากับพระราชาผู้สอดลูกศรประทับยืนจ้องด้วยหมายว่าจักยิง แล้วทูลด้วยภาษามนุษย์ก่อน แล้วทำการต้อนรับอย่างละมุนละม่อม. การกล่าวธรรมกถากะพระราชา ซึ่งมีพระประสงค์จะฆ่าบุรุษชั่วผู้ทำลายมิตร แล้วสละชีวิตของตนอีกแล้วก็พ้นจากความตาย. การทูลให้พระราชาทรงประทานทรัพย์แก่บุรุษนั้นตาม ปฏิญญา. การที่เมื่อพระราชาทรงประทานพรแก่ตน จึงขอให้พระราชาทรง ประทานอภัยแก่สรรพสัตว์. การแสดงธรรมแก่มหาชนซึ่งมีพระราชาและพระเทวีเป็นประมุข แล้วให้ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ในบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น. การให้โอวาทแก่เนื้อทั้งหลายที่ได้รับอภัยแล้ว ห้ามกินข้าวกล้าของพวกมนุษย์. การทำหนังสือสัญญาของบุรุษนั้น ถาวรมาจนกระทั่งทุกวันนี้ด้วย ประการฉะนี้.

จบ อรรถกถารุรุมิคราชจริยาที่ ๖