๑. ยุธัญชยจริยา ว่าด้วยจริยาวัตรของยุธัญชยกุมาร
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 371
๓. ยุธัญชยวรรค
การบําเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๑. ยุธัญชยจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของยุธัญชยกุมาร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 371
๓. ยุธัญชยวรรค
การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๑. ยุธัญชยจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของยุธัญชยกุมาร
[๒๑] ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชโอรส (ของพระเจ้าสัพพทัตตราช) นามว่ายุธัญชัย มีบริวารยศหาประมาณมิได้ สลดใจเพราะได้เห็นหยาดน้ำค้างอันเหือดแห้งเพราะแสงอาทิตย์ เราทำความเป็นอนิจจังนั้นแลให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระมารดาและพระบิดาแล้ว ทูลขอบรรพชา มหาชนพร้อมทั้งชาวนิคม ทั้งชาวจังหวัด ประนมอัญชลีอ้อนวอนเรา พระบิดาตรัสว่า วันนี้ เจ้าจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิดลูก เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระราชบิดา นางสนม ชาวนิคม และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้ร่ำไรควรสงสาร เราไม่ห่วงใยสละไปแล้ว เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 372
และยศศักดิ์ทั้งสิ้นได้ ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณ เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่ก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ฉะนี้แล.
จบ ยุธัญชยจริยาที่ ๑
อรรถกถายุธัญชยวรรคที่ ๓
การบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
อรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑
พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๓ ดัง ต่อไปนี้.
บทว่า อมิตยโส คือมีบริวารและสมบัติหาประมาณมิได้.
บทว่า ราชปุตฺโต ยุธญฺชโย คือชื่อยุธัญชัย เป็นโอรสของพระราชาพระนามว่า สัพพทัตตะในรัมมนคร.
กรุงพาราณสีนี้ ในอุทยชาดก ชื่อว่า สุรุนธนนคร. ในจูฬสุตโสมชาดก ชื่อว่า สุทัศนนคร. ในโสณนันทชาดก ชื่อว่า พรหมวัฑฒนนคร. ในขัณฑหาลชาดก ชื่อว่า บุบผวตีนคร. แต่ในยุธัญชยชาดก ชื่อว่า รัมมนคร. บางครั้งชื่อของนครนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างนี้. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 373
พระราชบุตรเป็นโอรสของพระราชา พระนามว่า สัพพทัตตะในรัมมนคร. พระราชาพระองค์นั้นได้มีพระโอรส ๑,๐๐๐ องค์.พระโพธิสัตว์เป็นโอรสองค์ใหญ่. พระราชาพระราชทานตำแหน่งอุปราชให้. พระโอรสนั้นทรงให้มหาทานทุกๆ วัน ตามนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั้นแล. เมื่อกาลผ่านไปอย่างนี้ วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ขึ้นประทับรถอันประเสริฐแต่เช้าตรู่ เสด็จประพาสพระราชอุทยานด้วยสมบัติอันเป็นสิริใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นหยาดน้ำค้างที่ค้างอยู่บนยอดไม้ ยอดหญ้า ปลายกิ่งและใยแมลงมุมเป็นต้น มีลักษณะเหมือนข่ายแก้วมุกดา ตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี นั่นอะไร. ครั้นทรงสดับว่า นั่นคือหยาดน้ำค้างที่ตกในเวลามีหิมะ. ทรงเพลิดเพลินอยู่ ณ พระราชอุทยานตอนกลางวัน ครั้นตกเย็นเสด็จกลับ ไม่ทรงเห็นหยาดน้ำค้างเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า ดูก่อนสารถี หยาดน้ำค้างเหล่านั้นหายไปไหนหมด. เดี๋ยวนี้เราไม่เห็นหยาดน้ำค้างเหล่านั้น ครั้นทรงสดับว่า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นหยาดน้ำค้างทั้งหมดก็สลายละลายไป ทรงดำริว่า หยาดน้ำค้างเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วสลายไปฉันใด แม้สังขารคือชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ฉันนั้น เช่นกับหยาดน้ำค้างที่ยอดหญ้า. เพราะฉะนั้น เราซึ่งยังไม่ถูกพยาธิ ชราและมรณะเบียดเบียน ควรทูลลาพระมารดาพระบิดาออกบวช จึงทรงทำหยาดน้ำค้างให้เป็นอารมณ์ เห็นภพทั้งสามดุจถูกไฟไหม้ เสด็จมายังพระตำหนักของพระองค์ เสด็จไปเฝ้าพระบิดาซึ่งประทับอยู่ ณ โรงวินิจฉัย ซึ่งประดับตกแต่งเป็นอย่างดี ถวายบังคมพระชนก ประทับยืนอยู่ข้างหนึ่ง ทูลขอบวช. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 374
เราสลดใจเพราะเห็นหยาดน้ำค้างเหือดแห้งไป เพราะแสงของดวงอาทิตย์. เราทำความไม่เที่ยงของหยาดน้ำค้างนั้นให้เป็นปุเรจาริก พอกพูนความสังเวช เราถวายบังคมพระบิดา ทูลขอบรรพชา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สูริยาตเป คือเพราะแสงดวงอาทิตย์. การสัมผัสรัศมีดวงอาทิตย์. ปาฐะว่า สูริยาตเปน บ้าง.
บทว่า ปติตํ ทิสฺวาน เพราะทรงเห็นหยาดน้ำค้างเหือดแห้ง คือเพราะทรงแลดูหยาดน้ำค้างที่ค้างอยู่บนยอดต้นไม้เป็นต้นก่อน ยังปรากฏอยู่ ครั้นต้องรัศมีดวงอาทิตย์ก็เหือดแห้งไป ด้วยปัญญาจักษุ.
บทว่า สํวิชึ คือทรงถึงความสลดพระทัยด้วยทรงมนสิการถึงความไม่เที่ยงว่า หยาดน้ำค้างเหล่านี้ฉันใด แม้ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น มีสภาพแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว.
บทว่า ตญฺเวาธิปตึ กตฺวา สํเวคมนุพฺรูหยึ คือพระโพธิสัตว์ทรงกระทำความไม่เที่ยงของหยาดน้ำค้างนั้นนั่นเองให้เป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นหัวหน้า เป็นปุเรจาริก แล้วทรงมนสิการถึงความที่สังขารทั้งปวงมีเวลานิดหน่อย ตั้งอยู่ไม่นาน ทรงพอกพูนความสังเวชอันเกิดขึ้นครั้งเดียว ด้วยให้เกิดขึ้นบ่อยๆ.
บทว่า ปพฺพชฺชมนุยาจหํ คือ เราดำริว่า เราผู้ที่พยาธิ ชรา และมรณะยังไม่ครอบงำในชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย อันไม่ตั้งอยู่นานดุจหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า ควร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 375
บวชแสวงหามหานิพพานอันเป็นอมตะ ซึ่งไม่มีพยาธิชราและมรณะเหล่านี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระมารดาพระบิดาถวายบังคมแล้วทูลขอบรรพชาว่า ขอพระมารดาพระบิดาจงทรงอนุญาตให้หม่อมฉันบวชเถิด. เมื่อพระมหาสัตว์ทูลขออนุญาตบวชอย่างนี้แล้วได้เกิดโกลาหลใหญ่ทั่วพระนครว่า ได้ยินว่า พระอุปราชยุธัญชัยมีพระประสงค์จะทรงผนวช.
ก็สมัยนั้น ชาวแคว้นกาสีมาเพื่อจะเฝ้าพระราชาพากันเข้าไปในรัมมนคร. ทั้งหมดนั้นประชุมกัน. พระราชาพร้อมด้วยบริวาร ชาวนิคม ชาวชนบท พระมารดา พระเทวีของพระโพธิสัตว์และพวกสนมทั้งปวง พากันทูลห้ามพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระกุมาร อย่าทรงบวชเลย บรรดาชนเหล่านั้น พระราชาตรัสว่า หากกามทั้งหลายของลูกยังพร่องอยู่. พ่อจะเพิ่มให้ลูก. วันนี้ขอให้ลูกครองราชสมบัติเถิด. พระมหาสัตว์ทูลถึงความพอพระทัยในการบวชของพระองค์อย่างเดียวแต่พระบิดา ตรัสว่า :-
ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ขอพระบิดาอย่าทรงห้ามลูกเลย ลูกสมบูรณ์ด้วยกามทุกอย่าง อย่าตกไปในอำนาจของชราเลย.
เมื่อพระมารดาพร้อมด้วยพวกสนมคร่ำครวญอยู่อย่างน่าสงสาร จึงทูลถึงเหตุแห่งการบวชของพระองค์ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 376
อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนน้ำค้างบนยอดหญ้า. พอดวงอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้งไป ข้าแต่พระมารดา ขอพระมารดาอย่าห้ามลูกเลย.
แม้เมื่อพระมารดาพระบิดาทรงห้ามอยู่ ก็มิได้มีพระทัยท้อถอยเพราะความสังเวชพอกพูนเป็นอย่างยิ่ง มิได้มีพระทัยห่วงใยในพระประยูรญาติหมู่ใหญ่อันเป็นที่รักและในราชอิสสริยยศอันโอฬาร ทรงบรรพชาแล้ว. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
มหาชนพร้อมทั้งชาวนิคม ทั้งชาวแว่นแคว้น ประนมอัญชลีอ้อนวอนเรา. พระบิดาตรัสว่า วันนี้ลูกจงปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเถิด. เมื่อมหาชนพร้อมทั้งพระบิดา นางสนม ชาวนิคม และชาวแว่นแคว้น ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร. เราไม่ห่วงใย สละไปแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺชลิกา คือประคองอัญชลี.
บทว่า สเนคมา สรฏฺกา คือราชบุรุษทั้งปวงพร้อมด้วยชาวนิคมและชาวแว่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 377
แคว้นพากันอ้อนวอนเราว่า ข้าแต่เทวะ ขอพระองค์อย่าทรงผนวชเลย. พระมารดาพระบิดาตรัสว่า ลูกจงครองราชสมบัติในวันนี้เถิด. คือจงปกครองแผ่นดินอันใหญ่นี้ อันกว้างใหญ่ด้วยความเจริญยิ่งของบ้านนิคมและราชธานี และด้วยถึงความไพบูลย์อันไพศาล ด้วยความสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สาร และด้วยความงอกงามของพืชพรรณมีข้าวกล้าเป็นต้น. พระมารดาพระบิดารับสั่งให้ยกเศวตฉัตรแล้วทรงขอร้องว่า ลูกจงครองราชสมบัติเถิด ก็เมื่อมหาชนพร้อมด้วยพระราชา นางสนม ชาวนิคม ชาวแว่นแคว้นร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร โดยอาการที่ความกรุณาอันใหญ่ย่อมมีแม้แก่ผู้ฟัง ไม่ต้องพูดถึงผู้เห็น เราไม่ห่วงใย ไม่เกาะเกี่ยวในบุคคลนั้นๆ บวชแล้วในกาลนั้นเอง ท่านแสดงไว้ด้วยประการฉะนี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า เราละสิริราชสมบัติเช่นกับสมบัติจักรพรรดิ พระประยูรญาติอันเป็นที่รัก ไม่ห่วงใย สละปริวารชนคนสนิทและยศอันใหญ่ที่ชาวโลกเขาเพ่งเล็งกันได้ ตรัสพระคาถาสองคาถาว่า :-
เราสละราชสมบัติในแผ่นดิน หมู่ญาติ บริวารชน และยศศักดิ์ทั้งสิ้น มิได้คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณ เราจะเกลียดพระมารดาพระบิดาก็หามิได้ เราจะเกลียดยศศักดิ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 378
อันยิ่งใหญ่ก็หามิได้ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงสละราชสมบัติ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เกวลํ แปลว่า สิ้นเชิง อธิบายว่า เราสละตำหนัก นางสนมจนหมดสิ้น และแผ่นดินมีมหาสมุทรเป็นที่สุดด้วยประสงค์จะบวช ไม่คิดถึงอะไรๆ เพราะเหตุแห่งโพธิญาณอย่างเดียวว่า เราสามารถบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้ด้วยอาการอย่างนี้. อธิบายว่า เราไม่เกิดความเกี่ยวเกาะในสิ่งนั้นแม้แต่น้อย.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเราจะเกลียดพระมารดาพระบิดา ยศศักดิ์อันยิ่งใหญ่และราชสมบัติก็หามิได้ เรารักทั้งนั้น. แต่พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้นเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าสิ่งเหล่านั้นร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า. ฉะนั้นเราจึงสละราชสมบัติกับพระมารดา เป็นต้น ในกาลนั้นได้ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง เสด็จออกบวช ยุธิฏฐิลกุมาร พระกนิษฐาของพระโพฐิสัตว์นั้นถวายบังคมพระชนก ทรงขออนุญาตบวชติดตามพระโพธิสัตว์. ทั้งสองกษัตริย์ก็ออกจากพระนคร รับสั่งให้มหาชนกลับ เสด็จเข้าป่าหิมวันต์ สร้างอาศรมบทในที่น่าพอใจ ทรงบวชเป็นฤาษี ยังฌานและอภิญญาให้เกิด ทรงเลี้ยงชีวิตด้วยรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นต้น จนตลอดพระชนม์ แล้วก็เสด็จไปสู่พรหมโลก. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 379
พระกุมารทั้งสอง คือ ยุธัญชยะ และยุธิฏฐิละ ละพระมารดาพระบิดา ตัดความข้องของมัจจุ ออกบวชแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺคํ เฉตฺวาน มจฺจุโน คือพระกุมารตัดความข้อง คือ ราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นของมีอยู่ เพราะเป็นเหตุทำร่วมกันกับมัจจุมารด้วยการข่มใจไว้ แล้วบวช.
พระมารดาพระบิดาในครั้งนั้น ได้เป็นมหาราชตระกูลในครั้งนี้. ยุธิฏฐิลกุมาร คือพระอานนท์เถระ. ยุธัญชย คือพระโลกนาถ.
การบริจาคมหาทานเมื่อก่อนบวช และการสละราชสมบัติเป็นต้น ของพระมหาสัตว์นั้นเป็นทานบารมี. การสำรวมกายวาจาเป็นศีลบารมี. การบรรพชาและการบรรลุฌานเป็นเนกขัมมบารมี. ปัญญาเริ่มต้นด้วยทำมนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง จนบรรลุอภิญญาเป็นที่สุด และปัญญากำหนดธรรมเป็นอุปการะและไม่เป็นอุปการะแห่งทานเป็นต้น เป็นปัญญาบารมี. ความเพียรยังประโยชน์นั้นให้สำเร็จในที่ทั้งปวง เป็นวีริยบารมี. ญาณขันติและอธิวาสนขันติ เป็นขันติบารมี. การไม่พูดผิดจากคำปฏิญญา ชื่อว่า สัจจบารมี. การตั้งใจสมาทานอันไม่หวั่นไหวในที่ทั้งปวง ชื่อว่า อธิษฐานบารมี. เพราะจิตคิดแต่ประโยชน์ในสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งเมตตาพรหมวิหาร ชื่อว่า เมตตาบารมี. ด้วยการวางเฉยในความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 380
ผิดปกติที่ทำแล้วในสัตว์ทั้งหลาย และด้วยอุเบกขาพรหมวิหาร ชื่อว่า อุเบกขาบารมี เป็นอันได้บารมี ๑๐ ด้วยประการดังนี้. แต่พึงทราบโดยความพิเศษว่า เป็นเนกขัมมบารมี. อนึ่ง แม้ในจริยานี้พึงเจาะจงกล่าวถึงอัจฉริยคุณของพระมหาบุรุษตามสมควรดุจในอกิตติจริยา. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เอวํ อจฺฉริยา เหเต, อพฺภูตา จ มเหสิโน ฯลฯ ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต มีใจความดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นๆ.
จบ อรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑