๙. วัฏฏกโปตกจริยา ว่าด้วยจริยาวัตรของลูกนกคุ้ม
[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 473
๙. วัฏฏกโปตกจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของลูกนกคุ่ม
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 473
๙. วัฏฏกโปตกจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของลูกนกคุ่ม
[๒๙] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นลูกนกคุ่ม ขนยังไม่งอก ยังอ่อนเป็นดังชิ้นเนื้อ อยู่ในรัง ในมคธชนบท ในกาลนั้น มารดาเอาจะงอยปากคาบเหยื่อมาเลี้ยงเรา เราเป็นอยู่ด้วยผัสสะของมารดา กำลังกายของเรายังไม่มี ในฤดูร้อนทุกๆ ปี มีไฟป่าไหม้ลุกลามมา ไฟไหม้ป่าเป็นทางดำ ลุกลามมาใกล้เรา ไฟไหม้ป่าลุกลามใหญ่หลวง เสียงสนั่นอื้ออึง ไฟไหม้ลุกลามมาโดยลำดับ เข้ามาใกล้จวนจะถึงเรา มารดาบิดาของเราสะดุ้งใจหวาดหวั่น เพราะกลัวไฟที่ไหม้มาโดยเร็ว จึงทิ้งเราไว้ในรัง หนีเอาตัวรอดไปได้ เราเหยียดเท้า กางปีกออก รู้ว่า กำลังกายของเราไม่มี เรานั้นไปไม่ได้ อยู่ในรังนั้นเอง จึงคิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 474
ก่อนเราสะดุ้งหวาดหวั่น พึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในระหว่างปีกของมารดาบิดา บัดนี้ มารดาบิดาทิ้งเราหนีไปเสียแล้ว วันนี้เราจะทำอย่างไร ศีลคุณ ความสัตย์ พระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยความสัตย์ เอ็นดูกรุณามีอยู่ในโลก ด้วยความสัตย์นั้น เราจักกระทำสัจจกิริยาอันสูงสุด เราคำนึงถึงกำลังพระธรรม ระลึกถึง พระพุทธเจ้าผู้พิชิตมารอันมีในก่อน ได้กระทำสัจจกิริยา แสดงกำลังความสัตย์ว่า ปีกของเรามีอยู่ แต่ยังบินไม่ได้ เท้าของเรามีอยู่ แต่ยังเดินไม่ได้ มารดาบิดาก็พากันบินออกไปแล้ว แน่ะไฟ จงกลับไป (จงดับเสีย) พร้อมกับเมื่อเรากระทำสัจจกิริยา ไฟที่ลุกรุ่งโรจน์ใหญ่หลวงเว้นไว้ ๑๖ กรีส ไฟดับ ณ ที่นั้นเหมือนจุ่มลงในน้ำ ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี นี้เป็นสัจจบารมีของเรา ฉะนี้แล.
จบ วัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 475
อรรถกถาวัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙
พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาวัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙ ดังต่อไปนี้.
ในบทว่า มคเธ วฏฺฏกโปตโก เป็นอาทิ มีความสังเขปดังต่อไปนี้.
ในกาลเมื่อเราเกิดในกำเนิดนกคุ่มในอรัญญประเทศแห่งหนึ่ง ในแคว้นมคธ ทำลายเปลือกไข่ ยังอ่อนเพราะออกไม่นาน ยังเป็นชิ้นเนื้อ ขนยังไม่ออก เป็นลูกนกคุ่มอยู่ในรังนั่นเอง.
บทว่า มุขตุณฺฑเกนาหริตฺวา ความว่า มารดาของเราเอาจะงอยปากคาบเหยื่อมาเลี้ยงเราตลอดกาล.
บทว่า ตสฺสา ผสฺเสน ชีวามิ เราเป็นอยู่ด้วยผัสสะของมารดานั้น ความว่า เราเป็นอยู่ คือยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการสัมผัสตัวของมารดาของเรานั้น ผู้สัมผัสเราตลอดกาลโดยชอบ เพื่อความอบอุ่นและเพื่ออบรม.
บทว่า นตฺถิ เม กายิกํ พลํ คือกำลังอาศัยกายของเราไม่มี เพราะยังเล็กนัก.
บทว่า สํวจฺฉเร คือทุกๆ ปี.
บทว่า คิมฺหสมเย คือในฤดูร้อน. ไฟไหม้ป่าในท้องที่นั้นด้วยไฟที่เกิดขึ้นเพราะการเสียดสีกันและกันของกิ่งไม้แห้ง ไฟไหม้ป่าด้วยเหตุนั้น.
บทว่า อุปคจฺฉติ อมฺหากํ คือไฟที่ได้ชื่อว่า ปาวก เพราะชำระพื้นที่อันเป็นที่อยู่ของเราให้สะอาด ด้วยทำที่ไม่สะอาดอันเป็นที่ตั้งของตนให้สะอาด. และทางไปชื่อว่า เป็นทางดำ เพราะนำเชื้อไฟมาเป็นเถ้าไหม้ที่กอไม้ในป่าเข้ามาใกล้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 476
บทว่า สทฺทายนฺโต คือทำเสียงสนั่นอื้ออึงในกาลนั้น เพราะเข้ามาใกล้อย่างนี้.
บทว่า ธมธมอิติ นี้ แสดงถึงเสียงดังสนั่นลั่นของไฟป่า.
บทว่า มหาสิขี ชื่อว่า มหาสิขี เพราะมีเปลวไฟใหญ่ด้วยอำนาจของเชื้อไฟเช่นกับยอดเขา. ไฟไหม้ท้องที่ป่านั้นมาโดยลำดับ เข้ามาใกล้จวนจะถึงเรา.
บทว่า อคฺคิเวคภยา ความว่า มารดาบิดาของเรากลัวไฟที่ลุกลามมาโดยไว.
บทว่า ตสิตา คือหวาดสะดุ้ง ด้วยเกิดหวาดสะดุ้งทางจิต และด้วยความหวาดเสียวทางกาย.
บทว่า มาตาปิตา คือมารดาและบิดาทั้งหลาย.
บทว่า อตฺตานํ ปริโมจยุํ หนีเอาตัวรอด คือได้ทำความปลอดภัยให้แก่ตนด้วยไปในที่ที่ไฟไม่รบกวน. จริงอยู่ ในกาลนั้นพระมหาสัตว์ได้มีร่างกายใหญ่ประมาณเท่าตะกร้อลูกใหญ่. มารดาบิดาไม่สามารถจะพาลูกนกนั้นไปได้ด้วยอุบายไรๆ และเพราะความรักตนครอบงำ จึงทิ้งความรักบุตรหนีไป.
บทว่า ปาเท ปกฺเข ปชหามิ คือเราเตรียมจะไปบนแผ่นดินและบนอากาศ จึงเหยียดเท้าทั้งสองและพยายามกางปีกทั้งสอง. ปาฐะว่า ปฏิหามิ บ้าง. ความว่า เราพยายามเพื่อจะบินไปบนอากาศ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ปตึหามิ บ้าง. บทนั้นมีความดังนี้ เราพยายามเหยียดเท้าและกางปีก. คือ พยายามจะบินไป. เพราะเหตุไรจึงพยายามดังนั้น. เพราะกำลังกายของเราไม่มี.
บทว่า โสหํ อคติโก ตตฺถ เรานั้นไปไม่ได้อยู่ในรังนั่นเอง ความว่า เราเป็นอย่างนั้น หนีไปไม่ได้เพราะความบกพร่องของเท้าและปีก หรือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 477
มารดาบิดาก็เอาเป็นที่พึ่งไม่ได้โดยหนีไปเสีย. เราอยู่ในป่าถูกไฟป่ารบกวน หรือในรังนั้น ในกาลนั้น จึงคิดโดยอาการที่จะพึงกล่าวในบัดนี้อย่างนี้. อนึ่ง บทว่า อหํ บทที่สองพึงเห็นว่าเป็นเพียงนิบาต.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงถึงอาการที่พระองค์ทรงคิดในกาลนั้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า เยสาหํ ดังนี้.
ในบทนั้น มีความว่า เมื่อก่อนเราสะดุ้งหวาดหวั่นพึงเข้าไปซ่อนตัวในระหว่างปีกของมารดาบิดา คือเรากลัวเพราะกลัวตายหวาดสะดุ้ง เพราะจิตสะดุ้งต่อมรณภัยนั้น. หวั่นไหวเพราะร่างกายสั่น บัดนี้ถูกไฟป่ารบกวน สำคัญดุจหล่มน้ำจึงวิ่งเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในระหว่างปีกของมารดาบิดา. มารดาบิดาของเราเหล่านั้นทิ้งเราไว้แต่ผู้เดียว หนีไปเสียแล้ว.
บทว่า กถํ เม อชฺช กาตเว คือวันนี้เราควรทำ ควรปฏิบัติอย่างไร? พระมหาสัตว์มิได้หลงลืมสิ่งที่ควรทำ ยืนคิดอย่างนี้ว่า ในโลกนี้คุณของศีลยังมีอยู่. คุณของสัจจะยังมีอยู่. ธรรมดาพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตบำเพ็ญบารมี นั่ง ณ พื้นโพธิมณฑลตรัสรู้แล้ว ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ และวิมุตติญาณทัศนะ ประกอบด้วยสัจจะ ความเอ็นดูกรุณาและขันติ บำเพ็ญเมตตาในสรรพสัตว์ ยังมีอยู่. พระธรรมอันพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเหล่านั้นแทงตลอดแล้ว เป็นคุณอันประเสริฐโดยส่วนเดียว ยังมีอยู่. อนึ่ง ความสัตย์อย่างนี้แม้ในเราก็ยังมีอยู่. สภาวธรรมอย่างหนึ่งยังมีอยู่ย่อมปรากฏ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 478
เพราะฉะนั้น เราควรระลึกถึงพระพุทธเจ้าในอดีต และคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าเหล่านั้นแทงตลอดแล้ว ถือเอาสภาวธรรมอันเป็นสัจจะซึ่งมีอยู่ในตน แล้วทำสัจจกิริยาให้ไฟกลับไป แล้วทำความสวัสดีแก่ตนเองและแก่สัตว์ที่เหลือซึ่งอยู่ ณ ที่นี้ ในวันนี้. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
คุณของศีล ความสัตย์ พระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยความสัตย์ เอ็นดูกรุณา มีอยู่ในโลก. ด้วยความสัตย์นั้น เราจักกระทำสัจจกิริยาอันสูงสุด เราคำนึงถึงกำลังของพระธรรม ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้พิชิตมารอันมีอยู่ในก่อนได้กระทำสัจจกิริยา แสดงกำลังความสัตย์.
ในบทนั้น มีความว่า พระมหาสัตว์ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งปรินิพพานแล้วในอดีต ปรารภสภาพของสัจจะอันมีอยู่ในตน แล้วกล่าวคาถาใด ได้ทำสัจจกิริยาในกาลนั้น. เพื่อแสดงคาถานั้น จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า :-
ปีกของเรามีอยู่ แต่บินไปไม่ได้ เท้าของเรามีอยู่ แต่ยังเดินไม่ได้ มารดาบิดาก็พากันบินออกไปแล้ว แน่ะไฟ จงกลับไปเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 479
ในบทเหล่านั้น บทว่า สนฺติ ปกฺขา อปตนา ความว่า ปีกของเรามีอยู่แต่ยังบินไปไม่ได้ เพราะไม่สามารถจะกระโดดไปทางอากาศด้วยปีกนั้นได้.
บทว่า สนฺติ ปาทา อวญฺจนา คือแม้เท้าของเราก็มียู่ แต่ยังเดินไม่ได้ เพราะไม่สามารถจะก้าวไปด้วยเท้านั้นได้.
บทว่า มาตาปีตา จ นิกฺขนฺตา ความว่า แม้มารดาบิดาของเราที่ควรจะนำเราไปในที่อื่น ก็ออกไปเสียแล้ว เพราะกลัวตาย.
บทว่า ชาตเวท เป็นคำเรียกไฟ. เพราะว่าไฟนั้นเกิดให้รู้ ปรากฏด้วยเปลวควันพลุ่งขึ้น. ฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า ชาตเวทะ.
บทว่า ปฏิกฺกม คือขอร้องไฟว่า ท่านจงไปคือจงกลับไป.
พระมหาสัตว์ได้นอนทำสัจจกิริยาว่า หากความที่เรามีปีก. ความที่เหยียดปีกบินไปในอากาศไม่ได้ ความที่เรามีเท้า. ความที่เรายกเท้าเดินไปไม่ได้. และความที่มารดาบิดาทิ้งเราไว้ในรังแล้วหนีไป เป็นความสัตย์จริง. แน่ะไฟ ด้วยความสัตย์นี้ ขอท่านจงหลีกไปเสียจากที่นี้. พร้อมด้วยสัจจกิริยาของพระมหาสัตว์นั้น ไฟได้หลีกไปในที่ประมาณ ๑๖ กรีส. และเมื่อไฟหลีกไปก็มิได้ไหม้กลับเข้าป่าไป. ดับ ณ ที่นั้น ดุจคบเพลิงที่จุ่มลงไปในน้ำ ฉะนั้น. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
พร้อมกับเมื่อเราทำสัจจกิริยา ไฟที่ลุกรุ่งโรจน์ใหญ่หลวง เว้นไว้ ๑๖ กรีส ไฟดับ ณ ที่นั้นเหมือนจุ่มลงในน้ำ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 480
ก็สัจจกิริยาของพระโพธิสัตว์นั้น เป็นเบื้องต้นของการงานระลึกถึงพระพุทธคุณในสมัยนั้น ไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สจฺเจน เม สโม นตฺถิ, เอสา เม สจฺจปารมี คือผู้เสมอด้วยสัจจะของเราไม่มี. นี้เป็นบารมีของเรา สถานที่นั้นจึงเป็นปาฏิหาริย์ตั้งอยู่กัปหนึ่ง เพราะไม่ถูกไฟไหม้ในกัปนี้ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้พระมหาสัตว์ ด้วยอำนาจสัจจกิริยา จึงทำความปลอดภัยให้แก่ตนและแก่สัตว์ทั้งหลายผู้อยู่ ณ ที่นั้น เมื่อสิ้นอายุก็ได้ไปตามยถากรรม.
มารดาบิดาในครั้งนั้น ได้เป็นมารดาบิดาในครั้งนี้. ส่วนพระยานกคุ่ม คือพระโลกนาถ. แม้บารมีที่เหลือของพระโพธิสัตว์นั้นก็พึงเจาะจงกล่าวตามสมควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
อนึ่ง เมื่อไฟป่าลุกลามมาอย่างน่ากลัวอย่างนั้น พระโพธิสัตว์แม้อยู่ผู้เดียวในวัยนั้นก็ยังกลัว จึงระลึกถึงพระธรรมคุณมีสัจจะเป็นต้น และพระพุทธคุณ. พึงประกาศอานุภาพมีการยังสัตว์ทั้งหลายแม้ที่อยู่ ณ ที่นั้น ให้ถึงความปลอดภัยด้วยสัจจกิริยา เพราะอาศัยอานุภาพของตนเท่านั้น.
จบ อรรถกถาวัฏฏกโปตกจริยาที่ ๙