พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๔. เอกราชจริยา ว่าด้วยจริยาวัตรของพระเจ้าเอกราช

 
บ้านธัมมะ
วันที่  22 ก.ค. 2564
หมายเลข  34763
อ่าน  636

[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 535

๑๔. เอกราชจริยา

ว่าด้วยจริยาวัตรของพระเจ้าเอกราช


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 535

๑๔. เอกราชจริยา

ว่าด้วยจริยาวัตรของพระเจ้าเอกราช

[๓๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชา ปรากฏพระนามว่าเอกราช ในกาลนั้น เราอธิษฐานศีลอันบริสุทธิ์ยิ่ง ปกครองแผ่นดินใหญ่ สมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ประพฤติโดยไม่มีเศษ สงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทในประโยชน์โลกนี้และโลกหน้าด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าโกศลพระนามว่า ทัพพเสนะ ยกกองทัพมาชิงเอาพระนครเราได้ ทรงทำข้าราชการ ชาวนิคม พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบท ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม เราเห็นพระเจ้าทัพพเสนะกับหมู่อำมาตย์ ชิงเอา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 536

ราชสมบัติอันมั่งคั่งภายในพระนครของเรา เหมือนบุตรสุดที่รักฉะนั้น ผู้เสมอด้วยเมตตาของเราไม่มี นี้เป็นเมตตาบารมีของเรา ฉะนี้แล.

จบ เอกราชจริยาที่ ๑๔

อรรถกถาเอกราชจริยาที่ ๑๔

พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาเอกราชจริยาที่ ๑๔ ดังต่อไปนี้.

บทว่า เอกราชาติ วิสฺสุโต คือปรากฏในพื้นชมพูทวีปโดยพระนามที่กำหนดไว้นี้ว่า เอกราช.

ในครั้งนั้น พระมหาสัตว์ทรงอุบัติเป็นโอรสพระเจ้ากรุงพาราณสี. ครั้นทรงเจริญวัยถึงความสำเร็จศิลปะทุกแขนง ครั้นพระบิดาสวรรคต จึงครองราชสมบัติมีพระนามประกาศว่า เอกราช เพราะทรงบำเพ็ญบารมีด้วยการประกอบคุณวิเศษอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น มีศีล อาจาระ ศรัทธาและสุตะ อันเป็นกุศลเป็นต้น และด้วยความเป็นหัวหน้าเพราะไม่มีใครเป็นที่สองในพื้นชมพูทวีป.

บทว่า ปรมํ สีลํ อธิฏฺาย คืออธิษฐานศีล อันได้แก่กุศลกรรมบถ ๑๐ อันบริสุทธิ์สูงสุด กล่าวคือสำรวมทางกาย ทางวาจาบริสุทธิ์ด้วยดี และประพฤติชอบทางใจบริสุทธิ์ด้วยดี ด้วยการสมาทานและ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 537

ด้วยการไม่ก้าวล่วง.

บทว่า ปสาสามิ มหามหึ ความว่า ปกครองแผ่นดินใหญ่ คือครองราชสมบัติในแคว้นกาสีประมาณ ๓๐๐ โยชน์.

บทว่า ทสกุสลกมฺมปเถ คือสมาทานกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ มีการเว้นจากการฆ่าสัตว์ จนถึงเห็นชอบ หรือประพฤติกุศลกรรมเหล่านั้นไม่มีส่วนเหลือ.

บทว่า จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ ความว่า ในกาลเมื่อเราปรากฏชื่อว่า เอกราช สงเคราะห์มหาชนด้วยธรรมเป็นเหตุสงเคราะห์ คือ สังคหวัตถุ ๔ เหล่านี้ ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อรรถจริยา สมานัตตตา.

บทว่า เอวํ คือเมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยอาการนี้ตามที่กล่าวแล้ว คือการยังศีลคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้บริบูรณ์ การสงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔.

บทว่า อิธ โลเก ปรตฺถ จ ความว่า เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท คือมีสติในประโยชน์ปัจจุบันและโลกหน้า.

บทว่า ทพฺพเสโน ได้แก่พระเจ้าโกศลพระนามว่าทัพพเสนะ.

บทว่า อุปคนฺตฺวา ความว่า พระเจ้าโกศลเข้าไปชิงราชสมบัติของเราด้วยการยกกองทัพ ๔ เหล่ามาครอบครอง.

บทว่า อจฺฉินฺทนฺโต ปุรํ มม คือยึดกรุงพาราณสีของเราด้วยกำลัง.

ในบทนั้นมีเรื่องราวตามลำดับดังต่อไปนี้.

ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระมหาสัตว์ทรงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่พระทวาร ๔ ด้านของพระนคร ท่ามกลางพระนคร ๑ ที่ประตูพระ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 538

นิเวศน์ ๑ ทรงให้ทานแก่คนยากจนและคนเดินทางเป็นต้น. ทรงรักษาศีล ทรงรักษาอุโบสถ ทรงถึงพร้อมด้วยขันติ เมตตาและความเอ็นดู ทรงยินดีสรรพสัตว์ดุจมารดาบิดายินดีบุตรที่นั่งบนตัก ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม. อำมาตย์ของพระองค์คนหนึ่งคิดขบถภายในพระนครปรากฏขึ้นในภายหลัง. พวกอำมาตย์พากันกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงคอยสังเกต ทรงรู้ชัดด้วยพระองค์ จึงตรัสให้เรียกอำมาตย์นั้นมารับสั่งว่า อ้ายคนอันธพาล เจ้าทำกรรมไม่สมควร เจ้าไม่ควรอยู่ในแว่นแคว้นของเรา จงถือเอาทรัพย์และพาลูกเมียไปอยู่ที่อื่น แล้วทรงขับไล่ออกจากแว่นแคว้น.

อำมาตย์นั้นไปโกศลชนบท เข้ารับราชการกะพระเจ้าโกศลพระนามว่าทัพพเสนะ ได้ทำความคุ้นเคยกับพระราชานั้นโดยลำดับ วันหนึ่งทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ กรุงพาราณสีเช่นกับรังผึ้งไม่มีตัวผึ้ง พระราชาก็อ่อนแอ พระองค์สามารถยึดราชสมบัตินั้นได้โดยง่ายทีเดียว พระราชาทัพพเสนะไม่ทรงเชื่อคำของอำมาตย์นั้น เพราะพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงอานุภาพมาก จึงทรงส่งพวกมนุษย์ให้ไปทำการปล้นมีการฆ่าชาวบ้านเป็นต้น ในแคว้นกาสี ทรงสดับว่าพระโพธิสัตว์ทรงให้ทรัพย์แก่โจรเหล่านั้นแล้วทรงปล่อย ครั้นทรงทราบว่าพระราชาเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมอย่างยิ่ง ทรงดำริว่า เราจักยึดราชสมบัติในกรุงพาราณสี จึงยกกองทัพเสด็จออกไป. ลำดับนั้น ทหารของพระเจ้ากรุงพาราณสีได้ข่าวว่า พระเจ้าโกศลยกกองทัพ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 539

มา จึงกราบทูลแด่พระราชาของตนว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าจะจับโบยพระราชานั้นตอนยังไม่ล่วงล้ำรัฐสีมาของเรา.

พระโพธิสัตว์ทรงห้ามว่า ท่านทั้งหลาย การทำาคนอื่นให้ลำบากเพราะอาศัยเราไม่มี. ผู้ต้องการราชสมบัติ จงยึดราชสมบัติเถิด. พวกท่านอย่าไปเลย พระเจ้าโกศลเสด็จเข้าไปถึงท่ามกลางชนบท. พวกทหารทูลแด่พระราชาเหมือนอย่างนั้นอีก. พระราชาทรงห้ามโดยนัยก่อน. พระเจ้าทัพพเสนะประทับยืนอยู่นอกพระนคร ทรงส่งสาส์นถึงพระเจ้าเอกราชว่า จะมอบราชสมบัติให้หรือจะรบ. พระเจ้าเอกราชทรงส่งสาส์นตอบไปว่า เราไม่ต้องการรบ จงเอาราชสมบัติไปเถิด. พวกทหารทูลอีกว่า ข้าแต่พระองค์ พวกข้าพระองค์จะไม่ให้พระเจ้าโกศลเข้าพระนครได้. จะช่วยกันโบยพระเจ้าโกศลนั้นนอกพระนครแล้วจับมาถวายพระเจ้าข้า. พระราชาทรงห้ามเหมือนก่อน ทรงรับสั่งไม่ให้ปิดประตูพระนคร ประทับนั่งท่ามกลางบัลลังก์บนพื้นใหญ่. พระเจ้าทัพพเสนะเสด็จเข้าพระนครด้วยกองทัพใหญ่ ไม่ทรงเห็นข้าศึกต่อต้านแม้แต่คนเดียว เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ยึดราชสมบัติทั้งหมดให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ เสด็จขึ้นสู่พื้นใหญ่ รับสั่งให้จับพระโพธิสัตว์ผู้ไม่มีความผิดฝังในหลุม. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

พระเจ้าทัพพเสนะยกกองทัพมาชิงเอาพระนครเราได้ ทรงทำข้าราชการ ชาวนิคม

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 540

พร้อมด้วยทหาร ชาวชนบท ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว ตรัสสั่งให้ฝังเราเสียในหลุม.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ราชูปชีเว ได้อำมาตย์ ราชบริษัท พราหมณ์ คหบดีเป็นต้น อาศัยพระราชาเลี้ยงชีพ.

บทว่า นิคเม คือนิคม.

บทว่า สพลฏฺเ ชื่อว่า พลฏฺา เพราะตั้งกองพลเนื่องด้วยเหล่าทหาร. มีเหล่าช้างเป็นต้น. พร้อมด้วยทหาร.

บทว่า สรฏฺเก คือชาวชนบท. อธิบายว่า พระเจ้าทัพพเสนะทรงทำข้าราชการ ชาวนิคมและอื่นๆ ให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ทั้งหมดแล้ว.

บทว่า กาสุยา นิขณี มมํ ความว่า พระเจ้าทัพพเสนะยึดราชสมบัติของเรา พร้อมด้วยพลพาหนะจนหมดสิ้นแล้ว ยังรับสั่งให้ฝังเราในหลุมแค่คอ. แม้ในชาดกก็กล่าวว่า ฝังในหลุม มีความว่า :-

พระเจ้าเอกราชเมื่อก่อนทรงเสวยกามคุณยอดเยี่ยมบริบูรณ์ประทับอยู่ บัดนี้พระองค์ถูกฝังในหลุมนรก มิได้ทรงสละวรรณะและพละเดิม.

แต่ในอรรถกถาชาดกกล่าวไว้ว่า พระเจ้าทัพพเสนะรับสั่งให้ใส่สาแหรกแขวนเอาพระเศียรลงข้างล่างที่ธรณีประตูทางทิศเหนือ.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 541

พระมหาสัตว์ทรงเจริญเมตตาปรารภพระราชาโจรแล้ว ทรงกระทำกสิณบริกรรมยังฌานและอภิญญาให้เกิด ทรงผุดขึ้นจากทรายประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-

เราเห็นพระเจ้าทัพพเสนะกับหมู่อำมาตย์ ชิงเอาราชสมบัติอันมั่งคั่งภายในพระนครของเรา เหมือนบุตรสุดที่รัก.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อมจฺจมณฺฑลํ คือผู้ที่ปฏิบัติร่วมกับพระราชาในราชกิจนั้นๆ ชื่อว่าอำมาตย์ หรือพร้อมกับหมู่อำมาตย์เหล่านั้น.

บทว่า ผีตํ คือราชสมบัติอันมั่งคั่งด้วยพลพาหนะ ด้วยชาวพระนครและชาวชนบท เป็นต้น อธิบายว่า เราเห็นพระราชาผู้เป็นศัตรูชิงเอาราชสมบัติอันมั่งคั่ง ด้วยนางกำนัล ทาสหญิง ทาสชาย และบริวาร และด้วยของใช้มีผ้าและเครื่องประดับเป็นต้น ภายในพระนครของเรา เหมือนบุตรสุดที่รักของตน ด้วยเมตตาใด ผู้เสมอด้วยเมตตานั้นของเราไม่มีในสกลโลก เพราะฉะนั้น ที่เป็นอย่างนี้นี่เป็นเมตตาบารมีของเรา ถึงความเป็นปรมัตถบารมี.

ก็เมื่อพระมหาสัตว์ทรงแผ่เมตตาปรารภพระราชาโจรนั้น ประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ พระเจ้าทัพพเสนะจึงเกิดความเร่าร้อนในพระวรกาย. พระองค์ทรงส่งเสียงร้องว่า เราถูกไฟไหม้ เราถูกไฟไหม้ ทรงกลิ้งเกลือก

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 542

ไปมาบนแผ่นดิน. ตรัสว่านี่อะไรกัน พวกราชบุรุษทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์รับสั่งให้ฝังพระราชาผู้ทรงธรรม ผู้ไม่มีความผิดไว้ในหลุม. ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านรีบไปเอาพระราชานั้นขึ้นเถิด. พวกราชบุรุษไปเห็นพระราชานั้นประทับนั่งขัดสมาธิบนอากาศ จึงกลับมาทูลแด่พระเจ้าทัพพเสนะ. พระเจ้าทัพพเสนะรีบเสด็จไปถวายบังคมขอขมาแล้วตรัสว่า ขอพระองค์จงครองราชสมบัติของพระองค์เถิด. ข้าพระองค์จักป้องกันพวกโจรแด่พระองค์ แล้วรับสั่งให้ลงอาญาแก่อำมาตย์ชั่ว เสด็จกลับพระนคร. แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงมอบราชสมบัติให้แก่พวกอำมาตย์ แล้วทรงบวชเป็นฤาษี ยังมหาชนให้ตั้งอยู่ในคุณมีศีลเป็นต้น ครั้นสิ้นอายุแล้วก็ไปสู่พรหมโลก.

พระเจ้าทัพพเสนะในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์เถระในครั้งนี้. พระเจ้าเอกราชคือพระโลกนาถ.

พึงทราบ ทานบารมี ด้วยการสละทรัพย์ ๖๐๐,๐๐๐ ณ โรงทาน ๖ แห่ง ทุกๆ วันของพระโพธิสัตว์นั้น และด้วยการทรงบริจาคราชสมบัติทั้งสิ้นแก่พระราชาข้าศึก. ศีลบารมี ด้วยการรักษาศีลและอุโบสถเป็นนิจ และด้วยการสำรวมศีลไม่เหลือเศษของนักบวช. เนกขัมมบารมี ด้วยการออกบวชและด้วยการบรรลุฌาน. ปัญญาบารมี ด้วยการไตร่ตรองถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย และด้วยการจัดแจงทานและศีลเป็นต้น. วิริยบารมี ด้วยการขมักเขม้นสะสมบุญมีทานเป็นต้น และ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 543

ด้วยการบรรเทากามวิตกแป็นต้น. ขันติบารมี ด้วยการอดกลั้นความผิดของอำมาตย์โหดและของพระเจ้าทัพพเสนะ. สัจจบารมี ด้วยการไม่ผิดพลาดด้วยการให้เป็นต้นตามปฏิญญา. อธิษฐานบารมี ด้วยการอธิษฐานการสมาทานไม่หวั่นไหวต่อการให้เป็นต้น. เมตตาบารมี ด้วยการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ข้าศึกโดยส่วนเดียว และด้วยการยังเมตตาฌานให้เกิด. และ อุเบกขาบารมี เพราะมีพระทัยเสมอในความผิดที่อำมาตย์โหดและพระเจ้าทัพพเสนะกระทำในอุปการะที่พวกแสวงหาประโยชน์มีอำมาตย์เป็นต้น ของพระองค์ให้เกิดขึ้น ทรงวางเฉยในคราวที่ถึงความสุขในราชสมบัติ ในคราวที่ถูกพระราชาข้าศึกฝังในหลุม. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-

ข้าแต่ท่านผู้เป็นจอมชน ท่านจงบรรเทาความสุขด้วยความทุกข์ หรือจงอดกลั้นความทุกข์ด้วยความสุข. สัตบุรุษทั้งหลายย่อมวางเฉยในสุขและทุกข์ทั้งสองอย่าง เพราะเกิดขึ้นแล้ว.

ก็เพราะในจริยานี้ เมตตาบารมีเป็นบารมียอดเยี่ยมอย่างยิ่ง. ฉะนั้น เพื่อแสดงความนั้น ท่านจึงยกเมตตาบารมีนั้นเท่านั้นขึ้นสู่บาลี.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 544

อนึ่ง ในจริยานี้พึงเจาะจงกล่าวถึงคุณวิเศษ มีความเป็นผู้อนุเคราะห์เสมอกันเป็นต้นในสรรพสัตว์ของพระมหาสัตว์ ดุจบุตรเกิดในอก ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรถกถาเอกราชจริยาที่ ๑๔