๘. เรื่องสญชัย [๘]
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 116
๘. เรื่องสญชัย [๘]
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 40]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 116
๘. เรื่องสญชัย [๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภความไม่มาของสญชัย (ปริพาชก) ซึ่งสองพระอัครสาวกกราบทูลแล้ว ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อสาเร สารมติโน" เป็นต้น. อนุปุพพีกถาในเรื่องสญชัยนั้น ดังต่อไปนี้:-
พระศาสดาได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ๒๓ พระองค์
ความพิสดารว่า ในที่สุด ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัลป์แต่กัลป์นี้ไป พระศาสดาของเราทั้งหลาย เป็นกุมารของพราหมณ์นามว่าสุเมธะในอมรวดีนคร ถึงความสำเร็จศิลปะทุกอย่างแล้ว โดยกาลล่วงไปแห่งมารดาและบิดา ทรงบริจาคทรัพย์นับได้หลายโกฏิ บวชเป็นฤษีอยู่ในหิมวันตประเทศ ทำฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว ไปโดยอากาศเห็นคนถางทางอยู่เพื่อประโยชน์เสด็จ (ออก) จากสุทัศนวิหาร เข้าไปสู่อมรวดีนคร แห่งพระทศพลทรงพระนามว่าทีปังกร แม้ตนเองก็ถือเอาประเทศแห่งหนึ่ง, เมื่อประเทศนั้น ยังไม่ทันเสร็จ, นอนทอดตนให้เป็นสะพาน ลาดหนังเสือเหลืองบนเปือกตม เพื่อพระศาสดาผู้เสด็จมาแล้วด้วยประสงค์ว่า "ขอพระศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ไม่ต้องทรงเหยียบเปือกตม จงทรงเหยียบเราเสด็จไปเถิด" แต่พอพระศาสดาทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงพยากรณ์ว่า "ผู้นี้เป็นพุทธังกูร (๑) จักเป็นพระพุทธ-
(๑) หน่อเนื้อ, เชื้อสาย แห่งพระพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 117
เจ้าทรงพระนามว่าโคดม ในที่สุด ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัลป์ในอนาคต," ในสมัยต่อมาแห่งพระศาสดาพระองค์นั้น ก็ได้รับพยากรณ์ในสำนักพระพุทธเจ้า ๒๓ พระองค์ ซึ่งเสด็จอุบัติขึ้นส่องโลกให้สว่างเหล่านี้ คือ พระโกณฑัญญะ ๑ พระสุมังคละ ๑ พระสุมนะ ๑ พระเรวตะ ๑ พระโสภิตะ ๑ พระอโนมทัสสี ๑ พระปทุมะ ๑ พระนารทะ ๑ พระปทุมุตตระ ๑ พระสุเมธะ ๑ พระสุชาตะ ๑ พระปิยทัสสี ๑ พระอัตถทัสสี ๑ พระธรรมทัสสี ๑ พระสิทธัตถะ ๑ พระติสสะ ๑ พระปุสสะ ๑ พระวิปัสสี ๑ พระสิขี ๑ พระเวสสภู ๑ พระกกุสันธะ ๑ พระโกนาคมนะ ๑ พระกัสสปะ ๑," ทรงบำเพ็ญบารมีครบ ๓๐ คือบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ (ครั้ง) ดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ให้มหาทาน อันทำแผ่นดินให้ไหว ๗ ครั้ง ทรงบริจาคพระโอรสและพระชายา. ในที่สุดพระชนมายุ, ก็ทรงอุบัติในดุสิตบุรี ดำรงอยู่ในดุสิตบุรีนั้น ตลอดพระชนมายุ, เมื่อเทวดาในหมื่นจักรวาลประชุมกันอาราธนาว่า
"ข้าแต่พระมหาวีระ กาลนี้ เป็นกาลของพระองค์, ขอพระองค์ จงเสด็จอุบัติในพระครรภ์พระมารดา ตรัสรู้อมตบท ยังโลกนี้กับทั้งเทวโลกให้ข้ามอยู่."
ทรงเลือกฐานะใหญ่ๆ ที่ควรเลือก (๑) ๕ เสด็จจุติจากดุสิตบุรีนั้นแล้ว ทรงถือปฏิสนธิในศากยราชสกุล อันพระประยูรญาติบำเรออยู่ด้วยมหาสมบัติในศากยสกุลนั้น ทรงถึงความเจริญวัยโดยลำดับ เสวยสิริราช-
(๑) ฐานใหญ่ที่ควรเลือก ๕ คือ ๑. กาล ๒. ประเทศ ๓. ทวีป ๔. ตระกูล ๕. มารดา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 118
สมบัติในปราสาททั้งสามอันสมควรแก่ฤดูทั้งสามดุจสิริสมบัติในเทวโลก.
ทรงเห็นเทวทูตแล้วเสด็จบรรพชา
ในสมัยที่เสด็จไปเพื่อประพาสพระอุทยาน ทรงเห็นเทวทูต ๓ กล่าวคือคนแก่ คนเจ็บ และคนตาย โดยลำดับ ทรงเกิดความสังเวช เสด็จกลับแล้ว. ในวันที่ ๔ ทรงเห็นบรรพชิต ยังความพอพระทัยในการบรรพชาให้เกิดขึ้นว่า "การบรรพชาดี, เสด็จไปสู่อุทยาน ยังวันให้สิ้นไปในพระอุทยานนั้น ประทับนั่งริมขอบสระโบกขรณีอันเป็นมงคล อันวิสสุกรรมเทพบุตรผู้จำแลงเพศเป็นช่างกัลบกมาตบแต่งถวาย ทรงสดับข่าวประสูติของราหุลกุมาร ทรงทราบถึงความสิเนหาในพระโอรสมีกำลัง ทรงพระดำริว่า "เราจักตัดเครื่องผูกนี้ จนผูกมัด (เรา) ไม่ได้ ทีเดียว," เวลาเย็นเสด็จเข้าไปยังพระนคร ทรงสดับคาถานี้ ที่พระธิดาของพระเจ้าอา พระนามว่า กิสาโคตมี ภาษิตว่า
"พระราชกุมารผู้เช่นนี้ เป็นพระราชโอรสแห่งพระชนนีพระชนก และเป็นพระสวามีของพระนางใดๆ พระชนนีพระชนกและพระนางนั้นๆ ดับ (เย็นใจ) แน่แล้ว"
ทรงพระดำริว่า "เราอันพระนางกิสาโคตมีนี้ (สวด) ให้ได้ยินนิพพุตบทแล้ว," จึงเปลื้องแก้วมุกดาหารจากพระศอ ส่งไปประทานแก่พระนางแล้ว เสด็จเข้าไปสู่ที่อยู่ของพระองค์ ประทับนั่งบนพระแท่นบรรทมอันมีสิริ ทอดพระเนตรเห็นประการอันแปลกของหมู่หญิงฟ้อนที่เข้าถึงความหลับแล้ว มีพระทัยเบื่อหน่าย จึงปลุกนายฉันนะให้ลุกขึ้น ให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 119
นำม้ากัณฐกะมา เสด็จขึ้นม้ากัณฐกะ มีนายฉันทะเป็นสหาย อันเทวดาในหมื่นจักรวาลห้อมล้อมแล้ว เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที, เสด็จถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์นั้น ประทับนั่งที่เงื้อมเขาปัณฑวะ อันพระเจ้าแผ่นดินมคธทรงเชื้อเชิญด้วยราชสมบัติ ทรงปฏิเสธคำเชื้อเชิญนั้น ทรงรับปฏิญญาจากท้าวเธอ เพื่อประโยชน์แก่การได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จะเสด็จมาสู่แคว้นของพระองค์เสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสและอุทกดาบส ไม่ทรงพอพระทัยคุณวิเศษที่ทรงได้บรรลุในสำนักของสองดาบสนั้น ทรงตั้งความเพียรใหญ่ถึง ๖ ปี.
ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้วทรงแสดงธรรม
ในวันวิสาขบุรณมี เช้าตรู่เสวยข้าวปายาสซึ่งนางสุชาดาถวายแล้ว ทรงลอยถาดทองคำในแม่น้ำเนรัญชรา ให้ส่วนกลางวันล่วงไปด้วยสมาบัติต่างๆ ในราวป่ามหาวันริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา, เวลาเย็นทรงรับหญ้าที่นายโสตถิยะถวาย มีพระคุณอันพระยากาฬนาคราชชมเชยแล้ว เสด็จสู่ควงไม้โพธิ ทำปฏิญญาว่า "เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ ตลอดเวลาที่จิตของเราจักยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ด้วยการไม่เข้าไปถือมั่น," ประทับนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา, เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดงคต, ทรงกำจัดมารและพลมารได้, ทรงบรรลุปุพเพนิวาสญาณ (๑) ในปฐมยาม บรรลุจุตูปปาตญาณ (๒) ในมัชฌิมยาม หยั่งพระญาณลงในปัจจยาการ ในที่สุดปัจฉิมยาม, ในเวลาอรุณขึ้นทรงแทงตลอดสัพพัญญุตญาณ ซึ่งประดับ
(๑) รู้จักระลึกชาติได้.
(๒) รู้จักกำหนดจุติและเกิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 120
ด้วยคุณทุกอย่าง มีทสพลญาณและจตุเวสารัชชญาณเป็นอาทิ ทรงยังกาลให้ผ่านไปที่ควงไม้โพธิถึง ๗ สัปดาห์, ในสัปดาห์ที่ ๘ ประทับนั่งที่โคนไม้อชปาลนิโครธ ทรงถึงความเป็นผู้ขวนขวายน้อย ด้วยพิจารณาเห็นว่า ธรรมเป็นสภาพลึกซึ้ง อันท้าวสหัมบดีพรหม ผู้มีมหาพรหมหมื่นหนึ่งเป็นบริวารเชื้อเชิญให้ทรงแสดงธรรม ทรงพิจารณาดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุแล้ว ทรงรับคำเชิญของพรหม ทรงใคร่ครวญว่า " เราพึงแสดงธรรมแก่ใครหนอแล เป็นคนแรก," ทรงทราบว่า อาฬารดาบสและอุทกดาบสทำกาละแล้ว ทรงหวนระลึกถึงอุปการะมากของภิกษุปัญจวัคคีย์ เสด็จลุกจากอาสนะไปยังกาสีบุรี ในระหว่างมรรคา ได้สนทนากับอุปกาชีวก ในวันอาสาฬหบุรณมีเสด็จถึงที่อยู่ของภิกษุปัญจวัคคีย์ ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงยังภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ซึ่งเรียกร้อง (พระองค์) ด้วยถ้อยคำอันไม่สมควรให้สำนึกตัวแล้ว เมื่อจะยังพรหม ๑๘ โกฏิ มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นประมุข ให้ดื่มน้ำอมตะ จึงทรงแสดงพระธรรมจักร ทรงมีธรรมจักรบวรอันให้เป็นไปแล้ว, ในดิถีที่ ๕ แห่งปักษ์ ทรงยังภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด ให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต, วันเดียวกันนั้น ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของยสกุลบุตรแล้ว ตรัสเรียกเขาซึ่งเบื่อหน่าย ละเรือนออกมาในตอนกลางคืนว่า "มานี่เถิด ยสะ" ทำเขาให้บรรลุโสดาปัตติผลในตอนกลางคืนนั้นเอง ในวันรุ่งขึ้นให้ได้บรรลุพระอรหัต ทรงยังสหายของยสะนั้น แม้พวกอื่นอีก ๕๔ คน ให้บรรพชาด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาแล้ว ให้ได้บรรลุพระอรหัต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 121
พระศาสดาทรงส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา
เมื่อพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ พระองค์ ด้วยประการอย่างนี้แล้ว, พระศาสดาเสด็จอยู่จำพรรษาปวารณาแล้ว ทรงส่งภิกษุ ๖๐ รูป ไปในทิศทั้งหลายด้วยพระพุทธดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเถิด" ดังนี้เป็นต้น. ส่วนพระองค์เสด็จไปอุรุเวลาประเทศ ในระหว่างทาง ได้ทรงแนะนำภัททวัคคิยกุมาร ๓๐ คน ณ ราวป่ากัปปาสิกวัน (๑) , บรรดาภัททวัคคิยกุมาร ๓๐ คนนั้น อย่างต่ำกว่าเขาทั้งหมด ได้เป็นโสดาบัน, สูงกว่าเขาทั้งหมด ได้เป็นพระอนาคามี. พระองค์ทรงให้ภัททวัคคีย์ทั้งหมดแม้นั้น บรรพชาด้วยเอหิภิกขุภาวะอย่างเดียวกันแล้ว ทรงส่งไปในทิศทั้งหลาย, ส่วนพระองค์เสด็จไปอุรุเวลาประเทศ ทรงแสดงปาฏิหาริย์สามพันห้าร้อยอย่างแนะนำชฎิล ๓ พี่น้อง ซึ่งมีชฎิลพันคนเป็นบริวาร มีอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น ให้บรรพชาด้วยเอหิภิกขุภาวะเช่นเดียวกันแล้ว ให้ประชุมกันที่คยาสีสประเทศ ให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต ด้วยอาทิตตปริยายเทศนา แวดล้อมด้วยพระอรหันต์พันองค์นั้นเสด็จไปสู่ อุทยานลัฏฐิวัน ใกล้แดนพระนครราชคฤห์ ด้วยทรงพระดำริว่า "จักเปลื้องปฏิญญา ที่ถวายไว้แก่พระเจ้าพิมพิสาร" ตรัสพระธรรมกถา อันไพเราะแด่พระราชา ผู้ทรงสดับข่าวว่า "ทราบว่า พระศาสดา เสด็จมาแล้ว" เสด็จมาเฝ้า พร้อมด้วยพราหมณ์และคฤหบดี ๑๒ นหุต (๒) ยังพระราชากับพราหมณ์และคฤหบดี ๑๑ นหุต ให้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล อีกนหุตหนึ่งให้ตั้งอยู่ในสรณะ ๓, วันรุ่งขึ้น มีพระคุณอันท้าว
(๑) ไร่ฝ้าย.
(๒) ๑ นหุต = ๑๐,๐๐๐ คน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 122
สักกเทวราชทรงแปลงเพศเป็นมาณพชมเชยแล้ว เสด็จเข้าไปสู่พระนครราชคฤห์ ทรงทำภัตกิจในพระราชนิเวศน์ ทรงรับเวฬุวนาราม (๑) ประทับอยู่ในเวฬุวนารามนั้นนั่นแล. พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เข้าไปเฝ้าพระองค์ในเวฬุวนารามนั้น.
อนุปุพพีกถาในเรื่องพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะนั้น ดังต่อไปนี้ :-
ประวัติพระสารีบุตรและโมคคัลลานะ
ความพิสดารว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติแล้วนั่นแล. ได้มีบ้านพราหมณ์ ๒ ตำบลคือ อุปติสสคาม ๑ โกลิตคาม ๑ ในที่ไม่ไกลแต่กรุงราชคฤห์. ในสองบ้านนั้น ในวันที่นางพราหมณีชื่อสารี ในอุปติสสคามตั้งครรภ์นั่นแล. แม้นางพราหมณีชื่อโมคคัลลีในโกลิตคามก็ตั้งครรภ์. ได้ยินว่า ตระกูลทั้งสองนั้น ได้เป็นสหายเกี่ยวพันสืบเนื่องกันมาถึง ๗ ชั่วตระกูลทีเดียว. พราหมณ์ผู้สามีได้ให้พิธีบริหารครรภ์แก่พราหมณีทั้งสองนั้น ในวันเดียวกันเหมือนกัน. โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางพราหมณีทั้งสองนั้นก็คลอดบุตร. ในวันขนานชื่อ พวกญาติตั้งชื่อบุตรของสารีพราหมณีว่า "อุปติสสะ" เพราะเป็นบุตรของตระกูลนายบ้าน ในตำบลอุปติสสคาม, ตั้งชื่อบุตรของโมคคัลลีพราหมณีว่า "โกลิตะ" เพราะเป็นบุตรของตระกูลนายบ้านในตำบลโกลิตคามนอกนี้. เด็กทั้งสองนั้นถึงความเจริญแล้ว ได้ถึงความสำเร็จแห่งศิลปะทุกอย่าง. ในเวลาไปสู่แม่น้ำหรือสวนเพื่อประโยชน์จะเล่น อุปติสสมาณพมีเสลี่ยงทองคำ ๕๐๐ เป็นเครื่องแห่
(๑) เป็นมูลเหตุแห่งการถวายวัดในพระพุทธศาสนา ในการต่อๆ มา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 123
แหน, โกลิตมาณพมีรถเทียมด้วยม้าอาชาไนย ๕๐๐ เป็นเครื่องแห่แหน, ชนทั้งสองมีมาณพเป็นบริวารคนละ ๕๐๐. ก็ในกรุงราชคฤห์มีมหรสพบนยอดเขาทุกๆ ปี. หมู่ญาติได้ยกเตียงซ้อนกันเพื่อกุมารทั้งสองนั้นในทีเดียวกันนั่นเอง. แม้กุมารทั้งสองก็นั่งดูมหรสพร่วมกัน ย่อมหัวเราะในฐานะควรหัวเราะ ย่อมถึงความสังเวชในฐานะที่ควรสังเวช ย่อมตกรางวัลในฐานะที่ควรตกรางวัล. วันหนึ่ง เมื่อกุมารทั้งสองเหล่า นั้นดูมหรสพโดยทำนองนี้ ความหัวเราะในฐานะที่ควรหัวเราะ หรือความสังเวชในฐานะที่ควรสังเวช หรือตกรางวัลในฐานะที่ควรตกรางวัล มิได้มีแล้วเหมือนในวันก่อนๆ เพราะญาณถึงความแก่รอบแล้ว. ก็ชนทั้งสองคิดกันอย่างนี้ว่า "จะมีอะไรเล่า? ที่น่าดูในการนี้, ชนทั้งหมดแม้นี้ เมื่อยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี, ก็จักถึงความเป็นสภาพหาบัญญัติมิได้, ก็เราทั้งสองควรแสวงหาธรรมเครื่องพ้นอย่างเอก" ดังนี้แล้ว ถือเอาเป็นอารมณ์นั่งอยู่แล้ว. ลำดับนั้น โกลิตะพูดกะอุปติสสะว่า "อุปติสสะผู้สหาย ไฉน? ท่านจึงไม่หัวเราะรื่นเริงเหมือนในวันอื่นๆ , วันนี้ ท่านมีใจไม่เบิกบาน ท่านกำหนดอะไรได้หรือ?" อุปติสสะนั้นกล่าวว่า "โกลิตะผู้สหาย เรานั่งคิดถึงเหตุนี้ว่า "ในการดูคนเหล่านี้ หาสาระมิได้, การดูนี้ไม่มีประโยชน์, เราควรแสวงหาโมกขธรรมเพื่อตน," ก็ท่านเล่า เพราะเหตุไร? จึงไม่เบิกบาน." แม้โกลิตะนั้น ก็บอกอย่างนั้นเหมือนกัน. ลำดับนั้น อุปติสสะ ทราบความที่โกลิตะนั้นมีอัธยาศัยเช่นเดียวกันกับตน จึงกล่าวว่า "สหายเอ๋ย เราทั้งสองคิดกันดีแล้ว, ก็เราควรแสวงหาโมกขธรรม, ธรรมดาผู้แสวงหา ต้องได้บรรพชาชนิดหนึ่งจึงควร, เราทั้งสองจะบรรพชาในสำนักใครเล่า?"
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 124
สองสหายทำกติกากัน
ก็โดยสมัยนั้นแล สญชัยปริพาชก อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ กับปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่. สารีบุตรและโมคคัลลานะทั้งสองนั้น ตกลงกันว่า "เราจักบวชในสำนักท่านสญชัยนั้น," ต่างส่งมาณพ ๕๐๐ ไป ด้วยคำว่า "ท่านทั้งหลายจงเอาเสลี่ยงและรถไปเถิด." พร้อมด้วยมาณพ ๕๐๐ บวชแล้วในสำนักของสญชัย. จำเดิมแต่เขาทั้งสองบวชแล้ว สญชัยก็ได้ถึงความเลิศด้วยลาภและยศอย่างเหลือเฟือ. ทั้งสองเรียนจบ ลัทธิสมัยของสญชัยโดยสองสามวันเท่านั้น จึงถามว่า "ท่านอาจารย์ลัทธิที่ท่านรู้ มีเพียงเท่านี้ หรือมีแม้ยิ่งกว่านี้?" เมื่อสญชัยตอบว่า "มีเพียงเท่านี้แหละ, เธอทั้งสองรู้จบหมดแล้ว." เขาทั้งสองจึงคิดกันว่า "เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในสำนักของท่านผู้นี้ก็ไม่มีประโยชน์ เราทั้งสองออกมาเพื่อแสวงหาโมกขธรรม, โมกขธรรมนั้น เราไม่สามารถให้เกิดขึ้นได้ในสำนักของท่านผู้นี้, อันชมพูทวีปใหญ่นัก, เราเที่ยวไปยังคามนิคม ชนบท และราชธานี คงจักได้อาจารย์ผู้แสดงโมกขธรรมสักคนเป็นแน่." ตั้งแต่นั้น ใครพูดในที่ใดๆ ว่า "สมณพราหมณ์ผู้บัณฑิต มีอยู่" เขาทั้งสองย่อมไปทำสากัจฉาในที่นั้นๆ ปัญหาที่เขาทั้งสองถามไป อาจารย์เหล่าอื่นหาอาจตอบได้ไม่, แต่เขาทั้งสองย่อมแก้ปัญหาของอาจารย์เหล่านั้นได้. เขาสอบสวนทั่วชมพูทวีป อย่างนั้นแล้ว กลับมายังที่อยู่ของตน จึงทำกติกากันว่า "โกลิตะผู้สหาย ในเราสองคน ผู้ใดได้บรรลุอมตธรรมก่อน ผู้นั้นจงบอก (แก่กัน)."
เมื่อเขาทั้งสองทำกติกากันอย่างนั้นอยู่ พระศาสดาเสด็จถึงกรุงราชคฤห์ โดยลำดับดังที่กล่าวแล้ว ทรงรับเวฬุวันแล้ว ประทับอยู่ใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 125
เวฬุวัน. ในกาลนั้น พระอัสสชิเถระ ในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ระหว่างพระอรหันต์ ๖๑ องค์ ที่พระศาสดาทรงส่งไปเพื่อประกาศคุณพระรัตนตรัย ด้วยพระดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมากเถิด," กลับมายังกรุงราชคฤห์แล้ว ในวันรุ่งขึ้น ท่านถือบาตรและจีวรไปสู่กรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาตแต่เช้าตรู่.
สมัยนั้น อุปติสสปริพาชก ทำภัตกิจแต่เช้าตรู่แล้ว ไปยังอารามของปริพาชก พบพระเถระ จึงคิดว่า "อันนักบวชเห็นปานนี้เรายังไม่เคยพบเลย, ภิกษุรูปนี้ (คง) จะเป็นผู้หนึ่งบรรดาผู้ที่เป็นพระอรหันต์ หรือผู้บรรลุพระอรหัตตมรรคในโลก. ไฉนหนอเราพึงเข้าไปหาภิกษุนี้แล้วถามว่า "ท่านผู้มีอายุ ท่านบวชอุทิศเฉพาะใคร? ใครเป็นศาสดาของท่าน? หรือว่าท่านชอบใจธรรมของใคร?"
ทีนั้น ความปริวิตกนี้ได้มีแก่เขาว่า "กาลนี้มิใช่กาลควรถามปัญหากะภิกษุนี้แล, ภิกษุนี้กำลังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต, ถ้ากระไร เราเมื่อแสวงหาโมกขธรรมที่คนผู้ต้องการรู้แล้ว ควรติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลังๆ." เขาเห็นพระเถระได้บิณฑบาตแล้ว ไปสู่โอกาสแห่งใดแห่งหนึ่ง และทราบความที่พระเถระนั้นประสงค์จะนั่ง จึงได้จัดตั่งของปริพาชกสำหรับตนถวาย. แม้ในเวลาที่ท่านฉันเสร็จแล้ว ก็ได้ถวายน้ำในกุณโฑของตนแด่พระเถระ. ครั้นทำอาจาริยวัตรอย่างนั้นแล้ว จึงทำปฏิสันถารอย่างจับใจกับพระเถระซึ่งฉันเสร็จแล้ว เรียนถามอย่างนี้ว่า "ท่านผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก, ผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่อง, ท่านผู้มีอายุ ท่านบวชอุทิศเฉพาะใคร? ใครเป็นศาสดาของท่าน? หรือท่านชอบใจธรรมของใคร?"
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 126
พระอัสสชิแสดงหัวใจพระศาสนา
พระเถระคิดว่า "ธรรมดาปริพาชกเหล่านี้ ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา, เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้," เมื่อจะแสดงความที่ตนบวชใหม่ จึงกล่าวว่า "ผู้มีอายุ เราแลเป็นผู้ใหม่ บวชแล้วไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้, เราจักไม่สามารถแสดงธรรมโดยพิสดารก่อน." ปริพาชกเรียนว่า "ข้าพเจ้าชื่ออุปติสสะ, ขอพระผู้เป็นเจ้ากล่าวตามสามารถเถิด จะน้อยหรือมากก็ตาม ข้อนั้นเป็นภาระของข้าพเจ้า เพื่อแทงตลอดด้วย ๑๐๐ นัย ๑,๐๐๐ นัย" ดังนี้แล้ว เรียนว่า
"จะมากหรือน้อยก็ตาม ขอพระผู้เป็นเจ้า จงกล่าวเถิด, จงบอกแก่ข้าพเจ้าแต่ใจความเท่านั้น, ข้าพเจ้าต้องการใจความ จะต้องทำพยัญชนะให้มากไปทำไม."
เมื่อเขาเรียนอย่างนั้นแล้ว, พระเถระจึงกล่าวคาถาว่า
"ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และเหตุแห่งความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้."
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 127
สองสหายสำเร็จพระโสดาบัน
ปริพาชก ฟังเพียง ๒ บทต้นเท่านั้น ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล อันถึงพร้อมด้วยนัยพันหนึ่ง, พระเถระยัง ๒ บทนอกนี้ให้จบลง ในเวลาเขาเป็นพระโสดาบัน. เขาเป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อคุณวิเศษชั้นสูงยังไม่เป็นไปอยู่. ก็คาดว่า "เหตุในสิ่งนี้จักมี" จึงเรียนกะพระเถระว่า "ท่านขอรับ ท่านไม่ต้องขยายธรรมเทศนายิ่งขึ้นไป เพียงเท่านี้ก็พอ พระศาสดาของพวกเราประทับอยู่ที่ไหน?" พระเถระตอบว่า "ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ผู้มีอายุ." เขาเรียนว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอท่านโปรดล่วงหน้าไปก่อนเถิด ข้าพเจ้า มีเพื่อนอีกคนหนึ่ง และข้าพเจ้าทั้งสองได้ทำกติกากะกันและกันไว้ว่า "ผู้ใดบรรลุอมตะก่อน ผู้นั้นจงบอกกัน" ข้าพเจ้าเปลื้องปฏิญญานั้นแล้ว จักพาสหายไปสำนักพระศาสดา ตามที่ท่านไปแล้วนั่นแล" ดังนี้แล้ว หมอบลงแทบเท้าทั้งสองของพระเถระด้วยเบญจางค (๑) ประดิษฐ์ ทำประทักษิณ ๓ รอบ ส่งพระเถระไปแล้ว ได้บ่ายหน้าไปสู่อารามของปริพาชกแล้ว. โกลิตปริพาชกเห็นเขามาแต่ไกล คิดว่า "วันนี้สีหน้าสหายของเราไม่เหมือนในวันอื่นๆ เขาคงได้บรรลุอมตะ โดยแน่แท้" จึงถามถึงการบรรลุอมตะ. แม้อุปติสสปริพาชกนั้นก็รับว่า "เออ ผู้มีอายุ อมตะเราได้บรรลุแล้ว" ได้ภาษิตคาถานั้นนั่นแลแก่โกลิตปริพาชกนั้น.
ในกาลจบคาถา โกลิตะดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว จึงกล่าวว่า "สหาย ข่าวว่า พระศาสดาของพวกเราประทับอยู่ที่ไหน?"
(๑) เบญจางคประดิษฐ์ ได้แก่ การตั้งไว้เฉพาะซึ่งอวัยวะ ๕ คือ หน้าผาก ๑ ฝ่ามือทั้งสอง และเข่าทั้งสองจดลงที่พื้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 128
อุ. ข่าวว่า ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน สหาย ข่าวนี้ ท่านอัสสชิเถระ พระอาจารย์ของเราบอกไว้แล้ว.
ก. สหาย ถ้ากระนั้น เราไปเฝ้าพระศาสดาเถิด.
สองสหายชวนสญชัยไปเฝ้าพระศาสดา
ก็ธรรมดาพระสารีบุตรเถระนี้ ย่อมเป็นผู้บูชาอาจารย์แม้ในกาลทุกเมื่อเทียว เพราะฉะนั้น จึงกล่าวกะสหายอย่างนี้ว่า "สหาย เราจักบอก อมตะที่เราทั้งสองบรรลุ แก่สญชัยปริพาชกผู้อาจารย์ของเราบ้าง, ท่านรู้อยู่ก็จักแทงตลอด, เมื่อไม่แทงตลอด, เชื่อพวกเราแล้วจักไปยังสำนักพระศาสดา, สดับเทศนาของพุทธบุคคลทั้งหลายแล้ว จักทำการแทงตลอดซึ่งมรรคและผล."
ลำดับนั้น ทั้งสองคนก็ได้ไปสู่สำนักของท่านสญชัย. สญชัยพอเห็นเขาจึงถามว่า "พ่อทั้งสอง พวกพ่อได้ใครที่แสดงทางอมตะแล้วหรือ?" สหายทั้งสองจึงเรียนว่า "ได้แล้วขอรับ ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก, พระธรรมก็อุบัติขึ้นแล้ว, พระสงฆ์ก็อุบัติขึ้นแล้ว, ท่านอาจารย์ประพฤติธรรมเปล่า ไร้สาระ เชิญท่านมาเถิด เราทั้งหลายจักไปยังสำนักพระศาสดา."
ส. ท่านทั้งสองไปเถิด, ข้าพเจ้าไม่สามารถ.
สห. เพราะเหตุไร?
ส. เราเทียวเป็นอาจารย์ของมหาชนแล้ว. การอยู่เป็นอันเตวาสิกของเรานั้น เช่นกับเกิดความไหวแห่งน้ำในตุ่ม, เราไม่สามารถอยู่เป็นอันเตวาสิกได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 129
สห. อย่าทำอย่างนั้นเลย ท่านอาจารย์.
ส. ช่างเถอะ พ่อ พ่อพากันไปเถอะ, เราจักไม่สามารถ.
สห. ท่านอาจารย์ จำเดิมแต่กาลแห่งพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มหาชนมีของหอมระเบียบดอกไม้เป็นต้นในมือไปบูชาพระองค์เท่านั้น, แม้กระผมทั้งสองก็จักไปในที่นั้นเหมือนกัน, ท่านอาจารย์จะทำอย่างไร?
ส. พ่อทั้งสอง ในโลกนี้ มีคนเขลามากหรือมีคนฉลาดมากเล่า?
สห. คนเขลามากขอรับ ท่านอาจารย์ อันคนฉลาดมีเพียงเล็กน้อย.
ส. พ่อทั้งสอง ถ้ากระนั้น พวกคนฉลาดๆ จักไปสู่สำนักพระสมณโคดม, พวกคนเขลาๆ จักมาสู่สำนักเรา พ่อไปกันเถิด เราจักไม่ไป.
สหายทั้งสองนั้นจึงกล่าวว่า "ท่านอาจารย์ ท่านจักปรากฏเอง" ดังนี้แล้ว หลีกไป. เมื่อสหายทั้งสองนั้นไปอยู่. บริษัทของสญชัยแตกกันแล้ว. ขณะนั้นอารามได้ว่างลง. สญชัยนั้นเห็นอารามว่างแล้ว ก็อาเจียนออกเป็นเป็นโลหิตอุ่น. ในปริพาชก ๕๐๐ คน ซึ่งไปกับสหายทั้งสองนั้น บริษัทของสญชัย ๒๕๐ คนกลับแล้ว. สหายทั้งสองได้ไปสู่พระเวฬุวัน พร้อมด้วยปริพาชก ๒๕๐ คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของตน.
ศิษย์สำเร็จอรหัตตผลก่อนอาจารย์
พระศาสดา ประทับนั่งแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท ๔ ทอดพระเนตรเห็นปริพาชกเหล่านั้นแต่ไกลทีเดียว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 130
ด้วยพระดำรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย สองสหายนั่นกำลังมา คือโกลิตะและอุปติสสะ ทั้งสองนั่นจักเป็นคู่สาวกที่ดีเลิศของเรา." สองสหายนั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. เขาทั้งสองได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิดพระเจ้าข้า." พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด, ธรรมเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด." คนทั้งหมดได้เป็นผู้ทรงบาตรจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ราวกะว่าพระเถระ ๑๐๐ พรรษา.
ครั้งนั้น พระศาสดา ทรงขยายพระธรรมเทศนาด้วยอำนาจจริยาแก่บริษัทของทั้งสองสหายนั้น เว้นพระอัครสาวกทั้งสองเสีย, ชนที่เหลือบรรลุพระอรหัตแล้ว. ก็กิจด้วยมรรคเบื้องสูงของพระอัครสาวกทั้งสองมิได้สำเร็จแล้ว.
ถามว่า "เพราะเหตุไร."
แก้ว่า "เพราะสาวกบารมีญาณเป็นของใหญ่."
ต่อมาในวันที่ ๒ แต่วันบวชแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปอาศัยหมู่บ้านกัลลวาละ (๑) ในแคว้นมคธอยู่, เมื่อถีนมิทธะครอบงำ, อันพระศาสดาทรงให้สังเวชแล้ว บรรเทาถีนมิทธะได้ กำลังฟังพระธาตุกรรมฐาน ที่พระตถาคตประทานแล้ว ได้ยังกิจในมรรค ๓ เบื้องบนให้สำเร็จ บรรลุที่สุดสาวกบารมีญาณแล้ว.
ฝ่ายพระสารีบุตร ล่วงได้กึ่งเดือนแต่วันบวช เข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์นั้นแหละ อยู่ในถ้ำสูกรขาตา กับด้วยพระศาสดา, เมื่อพระ-
(๑) มหาโมคคัลลานสูตร. อัง. สัตตกะ. ๒๓/๗๗ ว่า กลฺลวาลมุตฺตคามกํ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 131
ศาสดาทรงแสดงเวทนาปริคคหสูตร (๑) แก่ทีฆนขปริพาชกผู้หลานของตน, ส่งญาณไปตามกระแสแห่งพระสูตร ก็ได้บรรลุที่สุดสาวกบารมีญาณ เหมือนผู้ที่บริโภคภัตที่เขาคดให้ผู้อื่น.
มีคำถามว่า "ก็ท่านพระสารีบุตร เป็นผู้มีปัญญามาก มิใช่หรือ? เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงบรรลุสาวกบารมีญาณช้ากว่าพระมหาโมคคัลลานะ."
แก้ว่า "เพราะมีบริกรรมมาก." เหมือนอย่างว่า พวกคนเข็ญใจประสงค์จะไปในที่ไหนๆ ก็ออกไปได้รวดเร็ว, ส่วนพระราชาต้องได้ตระเตรียมมาก มีการตระเตรียมช้างพระราชพาหนะเป็นต้น จึงสมควร ฉันใด, อุปไมยนี้ พึงทราบฉันนั้น.
พวกภิกษุติเตียนพระศาสดา
ก็ในเวลาบ่ายวันนั้นเอง พระศาสดา ทรงประชุมพระสาวกที่พระเวฬุวัน ประทานตำแหน่งพระอัครสาวกแก่พระเถระทั้งสองแล้วทรงแสดงพระปาติโมกข์.
พวกภิกษุ ติเตียนกล่าวว่า "พระศาสดา ประทาน [ตำแหน่ง] แก่ภิกษุทั้งหลาย โดยเห็นแก่หน้า, อันพระองค์เมื่อจะประทานตำแหน่งอัครสาวก ควรประทานแก่พระปัญจวัคคีย์ผู้บวชก่อน. เมื่อไม่เหลียวแลถึงพระปัญจวัคคีย์เหล่านั่น ก็ควรประทานแก่ภิกษุ ๕๕ รูป มีพระยสเถระเป็นประมุข, เมื่อไม่เหลียวแลถึงภิกษุเหล่านั่น ก็ควรประทานแก่พระพวกภัทรวัคคีย์. เมื่อไม่เหลียวแลถึงพระพวกภัทรวัคคีย์เหล่านั่น ก็
(๑) ม. ม. ๑๓/๒๖๒ เป็น ทีฆนขสูตร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 132
ควรประทานแก่ภิกษุ ๓ พี่น้อง มีพระอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น, แต่พระศาสดาทรงละเลยภิกษุเหล่านั้นมีประมาณถึงเพียงนี้ เมื่อจะประทานตำแหน่งอัครสาวก ก็ทรงเลือกหน้าประทานแก่ผู้บวชภายหลังเขาทั้งหมด."
บุรพกรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะ
พระศาสดา ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพูดอะไรกัน?" เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่า "เรื่องชื่อนี้" จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราหาเลือกหน้าให้ (ตำแหน่ง) แก่พวกภิกษุไม่, แต่เราให้ตำแหน่งที่แต่ละคนๆ ปรารถนาแล้วๆ นั่นแล แก่ภิกษุเหล่านี้, ก็อัญญาโกณฑัญญะ เมื่อถวายทานเนื่องด้วยข้าวกล้าอันเลิศ ๙ ครั้ง ในคราวข้าวกล้าคราวหนึ่ง ก็หาได้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกถวายไม่ แต่ได้ปรารถนาเพื่อแทงตลอดพระอรหัต อันเป็นธรรมเลิศก่อนสาวกทั้งหมด แล้วถวาย." ภิกษุทั้งหลาย ทูลถามว่า "เมื่อไร? พระเจ้าข้า." พระศาสดาทรงย้อนถามว่า "พวกเธอจักฟังหรือ? ภิกษุทั้งหลาย." ภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า "ฟัง พระเจ้าข้า." ่
พระศาสดา ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย แต่กัลป์นี้ไปอีก ๙๑ กัลป์ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี (๑) เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก. ในกาลนั้น กุฎุมพี ๒ พี่น้อง คือมหากาล จุลกาล ให้หว่านนาข้าวสาลีไว้มาก. ต่อมาวันหนึ่ง จุลกาลไปนาข้าวสาลี ฉีกข้าวสาลีกำลังท้องต้นหนึ่งแล้วชิมดู. ได้มีรสอร่อยมาก. เขาปรารถนาจะถวายสาลีคัพภทานแด่พระสงฆ์.
(๑) ขุ. พุ. ๓๓/ ๕๑๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 133
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข จึงเข้าไปหาพี่ชายแล้วพูดว่า "พี่ ฉันจะฉีกข้าวสาลีกำลังท้อง ต้มให้เป็นของควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ถวายทาน." พี่ชายกล่าวว่า "เจ้าพูดอะไร? อันการฉีกข้าวสาลีกำลังท้อง ทำทานไม่เคยมีแล้วในอดีต จักไม่มีในอนาคต, เจ้าอย่าทำข้าวกล้าให้เสียหายเลย" เขาอ้อนวอนแล้วๆ เล่าๆ. ครั้งนั้นพี่ชายจึงพูดกะเขาว่า "ถ้ากระนั้น เจ้าต้องปันนาเป็น ๒ ส่วน อย่าแตะต้องส่วนของเรา จงทำส่วนที่เจ้าปรารถนาในนาอันเป็นส่วนของตน." เขารับว่า "ดีแล้ว" แบ่งนากันแล้ว ได้ขอแรงมือกะมนุษย์เป็นอันมากฉีกข้าวสาลีท้อง ให้เคี่ยวเป็นน้ำนมจนข้นปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ในกาลเสร็จภัตกิจกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานอันเลิศของข้าพระองค์นี้ จงเป็นไปเพื่อความแทงตลอดธรรมอันเลิศก่อนกว่าสาวกทั้งปวง. พระศาสดาตรัสว่า "จงเป็นอย่างนั้นเถิด" แล้วได้ทรงทำอนุโมทนา. เขาไปนาตรวจดูอยู่ เห็นนาแน่นหนาด้วยรวงข้าวสาลี เหมือนเขามัดไว้เป็นช่อๆ ในนาทั้งสิ้น ได้ปีติ (๑) ๕ อย่างแล้ว คิดว่า "เป็นลาภของเราหนอ" ถึงหน้าข้าวเม่า ได้ถวายทานเลิศด้วยข้าวเม่า, ได้ถวายทานอันเนื่องด้วยข้าวกล้าอย่างเลิศ พร้อมกับชาวบ้านทั้งหลาย, หน้าเกี่ยวได้ถวายทานอันเลิศในการเกี่ยว, คราวทำขะเน็ด ได้ถวายทานอันเลิศในการขะเน็ด ในคราวมัดฟ่อน เป็นต้น ก็ได้ถวายทานอันเลิศในการมัดฟ่อน อันเลิศในลอม ... อันเลิศ ในฉาง ... ได้ถวายทานอันเลิศรวม ๙ ครั้ง ในหน้าข้าวคราวหนึ่ง
(๑) ปีติ ๕ คือ ขุททกาปีติ ปีติอย่างน้อย, ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ, โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นพักๆ, อุพเพงคาปีติ ปีติอย่างโลดโผน, ผรณาปีติ ปีติอย่างซาบซ่าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 134
ด้วยประการอย่างนี้. ที่แห่งข้าวอันเขาถือเอาแล้วๆ ได้เต็มดังเดิม ทุกๆ ครั้งไป. ข้าวกล้าได้งอกงามสมบูรณ์ขึ้นเป็นอย่างยิ่ง, ชื่อว่าธรรมนี้ ย่อมรักษาซึ่งผู้รักษาตน. (สมดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า)
"ธรรมแล ย่อมรักษาผู้มีปกติประพฤติธรรม (๑) ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่เขาประพฤติดี ผู้ประพฤติ ธรรมเป็นปกติ ย่อมไม่ไปสู่ทุคติ.
อัญญาโกณฑัญญะ ปรารถนาเพื่อแทงตลอดธรรมอันเลิศก่อน [เขา] จึงได้ถวายทานอันเลิศ ๙ ครั้ง ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ด้วยประการอย่างนี้แล.
อนึ่ง แม้ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ (๒) ในหงสาวดีนคร ในที่สุดแสนกัลป์แต่นี้ไป เขาถวายมหาทานตลอด ๗ วันแล้ว หมอบลงแทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตั้งปรารถนา เพื่อแทงตลอดธรรมอันเลิศก่อน [เขา] เหมือนกัน. เราได้ให้ผลที่ อัญญาโกณฑัญญะนี้ปรารถนาแล้วทีเดียว ด้วยประการฉะนี้. เราหาได้ เลือกหน้าให้ไม่."
บุรพกรรมของชน ๕๕ คนมียสกุลบุตรเป็นต้น
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "ชน ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นประมุข ทำกรรมอะไรไว้ พระเจ้าข้า."
(๑) ขุ. ชา. ๗๒/๒๙๐ ขุ. เถร. ๒๑/๓๑๔.
(๒) ขุ. พุ. ๓๓/๔๖๗.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 135
พระศาสดา ตรัสว่า "แม้ชน ๕๕ นั้น ปรารถนาพระอรหัตในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทำกรรมที่เป็นบุญไว้มากแล้วภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น, เป็นสหายกัน ทำบุญร่วมเป็นพวกกัน เที่ยวจัดแจงศพคนไร้ที่พึ่ง (๑). วันหนึ่ง พวกเขาพบหญิงตายทั้งกลม (๒) ตกลงว่า "จักเผา" จึงนำไปป่าช้า ในชนเหล่านั้นพักไว้ในป่าช้า ๕ คน ด้วยสั่งว่า "พวกท่านจงเผา" ที่เหลือเข้าไปบ้าน. นายยส (๓) เอาหลาวแทงศพนั้น พลิกกลับไปกลับมาเผาอยู่ ได้อสุภสัญญาแล้ว. เขาแสดงแก่ สหาย ๓ คนแม้นอกนี้ว่า "ท่านผู้เจริญ พวกท่านจงดูศพนี้ มีหนังลอกแล้วในที่นั้นๆ ดุจรูปโคด่าง ไม่สะอาด เหม็น น่าเกลียด." ทั้ง ๔ คน นั้นก็ได้อสุภสัญญาในศพนั้น. เขา ๕ คนไปบ้านบอกแก่สหายที่เหลือ. ส่วนนายยสไปเรือนแล้วได้บอกแก่มารดาบิดาและภรรยา. คนทั้งหมดนั้นก็เจริญอสุภสัญญาแล้ว นี้เป็นบุรพกรรมของคน ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นประมุขนั้น. เพราะฉะนั้นแล ความสำคัญในเรือนอันเกลื่อนด้วยสตรี เป็นดุจป่าช้าจึงเกิดแก่นายยส. แลด้วยอุปนิสัยสมบัตินั้น การบรรลุคุณวิเศษจึงเกิดขึ้นแก่พวกเขาทั้งหมด. คนเหล่านั้นได้รับผลที่ตนปรารถนาแล้วเหมือนกัน ด้วยประการอย่างนี้. หาใช่เราเลือกหน้าให้ไม่."
บุรพกรรมของภัทรวัคคีย์ ๓๐ คน
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "ก็พระภัทรวัคคีย์ผู้เพื่อนกันได้ทำกรรมอะไรไว้เล่า? พระเจ้าข้า."
(๑) อนาถสรีรานิ ปฏิชคฺคนฺตา.
(๒) สคพฺภํ อิตฺถึ กตกาลํ.
(๓) ยสทารโก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 136
พระองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกภัทรวัคคีย์นั่นก็ปรารถนาพระอรหัต ในสำนักพระพุทธเจ้าในปางก่อนแล้วทำบุญ. ภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น, เป็นนักเลง ๓๐ คน ฟังตุณฑิโลวาทแล้ว ได้รักษาศีล ๕ ตลอดหกหมื่นปี. แม้ภัทรวัคคีย์เหล่านี้ ก็ได้ผลที่ตนปรารถนาแล้วๆ เหมือนกัน ด้วยประการอย่างนี้. หาใช่เราเลือกหน้าให้ภิกษุทั้งหลายไม่."
บุรพกรรมของชฎิล ๓ พี่น้อง
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็กัสสปะ ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น ทำกรรมอะไรไว้เล่า?"
พระองค์ตรัสว่า "เขาปรารถนาพระอรหัตเหมือนกัน ทำบุญแล้ว. ก็ใน ๙๒ กัลป์แต่นี้ไป พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือ พระติสสะ (๑) พระผุสสะ (๒) เสด็จอุบัติแล้ว พระราชาพระนามว่ามหินท์ได้เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าผุสสะ. ก็เมื่อพระองค์ทรงบรรลุพระสัมโพธิแล้ว. พระโอรสองค์เล็กของพระราชาได้เป็นพระอัครสาวก บุตรปุโรหิตได้เป็นพระสาวกที่ ๒. พระราชาได้เสด็จไปยังสำนักพระศาสดา ทรงตรวจดูชนเหล่านั้นว่า "ราชโอรสองค์ใหญ่ของเราเป็นพระพุทธเจ้า. ราชโอรสองค์เล็กเป็นอัครสาวก, บุตรปุโรหิตเป็นพระสาวกที่ ๒" ทรงเปล่งพระอุทาน ๓ ครั้งว่า "พระพุทธเจ้าของข้าพเจ้า, พระธรรมของข้าพเจ้า. พระสงฆ์ของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่
(๑) ขุ. พุ. ๓๓/๕๐๗.
(๒) ขุ. พุ. ๓๓/๕๑๑ ก็ในที่นั้นปรากฏว่า ปุสสะ. และพระบิดาของพระองค์ พระนามว่า ชยเสนะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 137
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเองพระองค์นั้น" ดังนี้แล้ว หมอบลงแทบบาทมูลของพระศาสดา ทรงรับปฏิญญาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้เป็นดุจเวลาที่หม่อมฉันนั่งหลับ ในที่สุดอายุประมาณเก้าหมื่นปี, ขอพระองค์อย่าเสด็จไปสู่ประตูเรือนของชนเหล่าอื่น จงทรงรับปัจจัย ๔ ของหม่อมฉัน ตลอดเวลา ที่หม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่" ดังนี้แล้ว ทรงทำพุทธอุปัฏฐากเป็นประจำ. อนึ่ง พระราชาทรงมีพระราชโอรสอื่นอีก ๓ พระองค์. บรรดาพระราชโอรส ๓ พระองค์เหล่านั้น พระองค์ใหญ่มีนักรบเป็นบริวาร ๕๐๐, พระองค์กลางมี ๓๐๐, พระองค์เล็กมี ๒๐๐. พระราชโอรส ๓ พระองค์เหล่านั้น ทูลขอโอกาสกะพระบิดาว่า "แม้หม่อมฉันทั้งหลายจักนิมนต์พระเจ้าพี่เสวย," แม้ทูลอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้, เมื่อปัจจันตชนบทกำเริบแล้ว, ถูกส่งไปเพื่อประโยชน์ระงับปัจจันตชนบทนั้น ปราบปัจจันตชนบทให้ราบคาบแล้ว มาสู่สำนักพระราชบิดา. ครั้งนั้น พระบิดาทรงสวมกอดพระโอรสทั้งสามเหล่านั้นแล้ว จุมพิตที่ศีรษะ ตรัสว่า "พ่อทั้งหลาย บิดาให้พรแก่พวกเจ้า." พระโอรสทั้งสามนั้นทูลว่า "ดีละ พระเจ้าข้า," ทำพระพรให้เป็นอันถือเอาแล้ว, โดยกาลล่วงไปสองสามวัน พระบิดาตรัสอีกว่า "พ่อทั้งหลาย พวกเจ้าจงรับพรเสียเถิด," กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ความประสงค์ด้วยสิ่งไรๆ อื่นของหม่อมฉันไม่มี. ตั้งแต่บัดนี้ หม่อมฉันจักนิมนต์พระเจ้าพี่เสวย, ขอพระราชทานพรนี้แก่หม่อมฉันเถิด."
ร. ให้ไม่ได้ พ่อ.
อ. เมื่อไม่พระราชทานเสมอไป ก็พระราชทานเพียง ๗ ปี.
ร. ให้ไม่ได้ พ่อ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 138
อ. ถ้ากระนั้น ก็พระราชทานเพียง ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน.
ร. ให้ไม่ได้ พ่อ.
อ. ช่างเถิด พระเจ้าข้า. ขอทรงพระราชทานสัก ๓ เดือน แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย คนละเดือนๆ.
ร. ดีละ พ่อ, ถ้ากระนั้น เจ้าจงนิมนต์ให้เสวยได้ ๓ เดือน.
ก็ขุนคลังของพระราชบุตรทั้งสามนั้นคนเดียวกัน, สมุห์บัญชีก็คนเดียวกัน, ท่านทั้งสามพระองค์นั้น มีบุรุษ ๑๒ นหุตเป็นบริวาร. พระราชโอรสทั้งสามรับสั่งให้เรียกบริวารเหล่านั้นมาแล้ว ตรัสว่า "เราทั้งสามจักรับศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะ ๒ ผืน อยู่ร่วมด้วยพระศาสดา ตลอดไตรมาสนี้, พวกท่านพึงรับค่าใช้จ่ายมีประมาณเท่านี้ ยังของเคี้ยว ของบริโภคทุกอย่างให้เป็นไปทั่วถึงแก่ภิกษุเก้าหมื่นรูป และนักรบของเราพันหนึ่ง, เพราะแต่นี้ไป พวกเราจักไม่พูดอะไรๆ."
พระราชโอรสทั้งสามนั้น พาบุรุษบริวารพันหนึ่งสมาทานศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะ อยู่แต่ในวิหาร. ขุนคลังและสมุห์บัญชี ได้ร่วมกันเบิกเสบียงตามวาระๆ จากเรือนคลังทั้งหลาย ของพระพี่น้องทั้งสามถวายทานอยู่.
กินอาหารที่เขาอุทิศภิกษุสงฆ์ตายไปเป็นเปรต
ก็บุตรของพวกกรรมกร ร้องไห้ต้องการข้าวยาคูและภัตเป็นต้น. กรรมกรเหล่านั้น เมื่อภิกษุสงฆ์ยังไม่ทันมา ก็ให้วัตถุมีข้าวยาคูและภัตเป็นต้นแก่บุตรเหล่านั้น. ในเวลาที่ภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จแล้วไม่เคยมีของอะไรเหลือเลย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 139
ในกาลต่อมา พวกกรรมกรเหล่านั้น พูดอ้างว่า "เราจะให้แก่พวกเด็ก" ดังนี้แล้ว รับไปกินเสียเอง, เห็นอาหารแม้ที่ชอบใจก็ไม่สามารถจะอดกลั้นได้. ก็พวกเขาได้มีประมาณแปดหมื่นสี่พันคน. พวกเขากินอาหารที่ถวายสงฆ์แล้ว เพราะกายแตกได้เกิดในเปรตวิสัยแล้ว.
ฝ่ายพระราชโอรส ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบุรุษพันหนึ่ง ทำกาละ แล้วเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวจากเทวโลกสู่เทวโลก ยังกาลให้สิ้นไป ๙๒ กัลป์. พระราชโอรส ๓ พี่น้องนั้น ปรารถนาพระอรหัต ทำกัลยาณกรรมในกาลนั้น ด้วยประการอย่างนี้. ชฎิล ๓ พี่น้องนั้น ได้รับผลที่ตนปรารถนาแล้วเหมือนกัน เราจะได้เลือกหน้าให้หามิได้.
ส่วนสมุห์บัญชีของพระราชโอรส ๓ พระองค์นั้น ในกาลนั้นได้ เป็นพระเจ้าพิมพิสาร. ขุนคลังได้เป็นวิสาขอุบาสก. กรรมกรของท่าน ทั้ง ๓ นั้น เกิดแล้วในพวกเปรต ในกาลนั้น ท่องเที่ยวอยู่ด้วยสามารถแห่งสุคติและทุคติ ในกัลป์นี้ เกิดในเปตโลกนั้นแล สิ้น ๔ พุทธันดร.
พวกเปรตถามเวลาได้อาหารกะพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์
เปรตเหล่านั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะผู้ทรงพระชนมายุได้สี่หมื่นปี เสด็จอุบัติขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัลป์นี้ ทูลว่า "ขอพระองค์โปรดบอกกาลเป็นที่ได้อาหารแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย."
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า "พวกท่านจักยังไม่ได้ในกาลของเราก่อน, แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ จักอุบัติขึ้น. พวกเจ้าพึงทูลถามพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 140
องค์เถิด."
เปรตเหล่านั้น ยังกาลมีประมาณเท่านั้นให้สิ้นไปแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมนะนั้นเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้ทูลถามพระองค์ แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ตรัสว่า "พวกท่านจักยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะจักอุบัติขึ้น พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด."
เปรตเหล่านั้น ยังกาลมีประมาณเท่านั้นให้สิ้นไปแล้ว, เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะนั้นเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว, จึงทูลถามพระองค์. แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ตรัสว่า "พวกเจ้าจักยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม จักเสด็จอุบัติขึ้น, ในกาลนั้น ญาติของพวกเจ้าจักเป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารนั้น ถวายทานแด่พระศาสดาแล้ว จักให้ส่วนกุศลทานถึงแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจักได้ (อาหาร) ในคราวนั้น." พุทธันดรหนึ่ง ได้ปรากฏแก่เปรตเหล่านั้น เหมือนวันพรุ่งนี้.
พวกเปรตพ้นทุกข์เพราะผลทาน
เปรตเหล่านั้น เมื่อพระตถาคตเสด็จอุบัติแล้ว, เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายทานในวันต้น. เปล่งเสียงร้องน่ากลัว แสดงตนแก่พระราชาในส่วนราตรีแล้ว, รุ่งขึ้น ท้าวเธอเสด็จมาสู่เวฬุวัน กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระตถาคต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 141
พระศาสดา ตรัสว่า "มหาบพิตร ในที่สุด ๙๒ กัลป์ แต่กัลป์นี้ไป ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ พวกเปรตนั่นเป็นพระญาติของพระองค์ กินอาหารที่เขาถวายภิกษุสงฆ์ เกิดในเปตโลกแล้ว ท่องเที่ยวอยู่ ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ที่เสด็จอุบัติขึ้น มีพระกกุสันธะเป็นอาทิ อันพระพุทธเจ้าเหล่านั้นตรัสบอกคำนี้ๆ แล้ว หวังเฉพาะทานของพระองค์ตลอดกาลเท่านี้. วานนี้เมื่อพระองค์ทรงถวายทานแล้ว ไม่ได้รับส่วนบุญ จึงได้ทำอย่างนี้." พระราชาทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เมื่อหม่อมฉันถวายทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจักได้รับหรือ?"
พระศาสดา ตรัสว่า ได้ มหาบพิตร." พระราชา ทรงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายมหาทานในวันรุ่งขึ้นแล้ว ได้พระราชทานส่วนบุญว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ จงสำเร็จแก่พวกเปรตเหล่านั้น แต่มหาทานนี้." ข้าวน้ำอันเป็นทิพย์เกิดแล้วแก่เปรตเหล่านั้น เช่นนั้นเทียว. รุ่งขึ้น เปรตเหล่านั้นเปลือยกาย แสดงตนแล้ว. พระราชาทูลว่า "วันนี้ พวกเปรตเปลือยกายแสดงตน พระเจ้าข้า." พระศาสดาตรัสว่า "มหาบพิตร พระองค์มิได้ถวายผ้า."
รุ่งขึ้น พระราชาถวายผ้าจีวรทั้งหลาย แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ทรงให้ส่วนบุญว่า "ขอผ้าอันเป็นทิพย์ทั้งหลายจงสำเร็จแก่เปรตเหล่านั้น แต่จีวรทานนี้เถิด." ในขณะนั้นเอง ผ้าทิพย์เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้นแล้ว. เปรตเหล่านั้นละอัตภาพของเปรต ดำรงอยู่โดยอัตภาพอันเป็นทิพย์แล้ว. พระศาสดา เมื่อจะทรงทำอนุโมทนา ได้ทรงทำอนุโมทนาด้วยติโรกุฑฑสูตร (๑) ว่า "ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺนฺติ" เป็นอาทิ.
(๑) ขุ. ขุ. ๒๕/๙.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 142
ในที่สุดอนุโมทนา ธรรมาภิสมัย (๑) ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นสี่พันแล้ว. พระศาสดา ครั้นตรัสเรื่องแห่งชฎิล ๓ พี่น้องแล้ว ทรงนำพระธรรมเทศนาแม้นี้มาแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
บุรพกรรมของพระอัครสาวกทั้งสอง
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "ก็พระอัครสาวกทั้งสอง ได้ทำกรรมอะไรไว้? พระเจ้าข้า."
พระศาสดา ตรัสว่า "อัครสาวกทั้งสอง ทำความปรารถนาเพื่อเป็นอัครสาวก. จริงอยู่ ในที่สุดอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์แต่กัลป์นี้ไป สารีบุตรเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล ได้มีนามว่าสรทมาณพ. โมคคัลลานะ เกิดในสกุลคฤหบดีมหาศาล ได้มีนามว่า สิริวัฑฒกุฎุมพี. มาณพทั้งสองนั้นได้เป็นสหายเล่นฝุ่นร่วมกัน. สรทมาณพโดยล่วงไปแห่งบิดา ได้ครอบครองทรัพย์เป็นอันมาก อันเป็นมรดกของสกุล. ในวันหนึ่ง อยู่ในที่ลับคิดว่า "เราย่อมรู้อัตภาพในโลกนี้เท่านั้น, หารู้อัตภาพในโลกหน้าไม่ อันธรรมดาความตายของสัตว์เกิดแล้วทั้งหลาย เป็นของเที่ยง. ควรที่เราบวชเป็นบรรพชิตอย่างหนึ่ง ทำการแสวงหาโมกขธรรม."
สรทมาณพนั้น เข้าไปหาสหายแล้วพูดว่า "สิริวัฑฒะผู้สหาย ข้าพเจ้าจักบวชแสวงหาโมกขธรรม. ท่านจักอาจบวชกับเราหรือไม่อาจ." สิริวัฑฒะตอบว่า "ข้าพเจ้าจักไม่อาจ สหาย ท่านบวชคนเดียวเถิด." สรทมาณพนั้น คิดว่า "ธรรมดาผู้ไปสู่ปรโลก พาสหายหรือญาติมิตรไปด้วยไม่มี, กรรมที่ตนทำแล้วย่อมเป็นของตนเอง." แต่นั้น สรทมาณพจึงให้เปิดเรือนคลังแก้วออก ให้มหาทานแก่คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก
(๑) การบรรลุธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 143
และยาจกทั้งหลาย เข้าไปสู่เชิงเขา บวชเป็นฤษีแล้ว. ชนทั้งหลายบวชตามสรทะนั้นด้วยอาการอย่างนี้คือ ๑ คน ๒ คน ๓ คน จนมีชฏิลประมาณเจ็ดหมื่นสี่พันคน. สรทชฎิลนั้นยังอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้เกิดแล้ว บอกกสิณบริกรรมแก่ชฎิลเหล่านั้น. แม้ชฎิลทั้งหลายเหล่านั้น ก็ยังอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้นแล้ว.
โดยสมัยนั้น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก, พระนครได้มีชื่อว่า จันทวดี. กษัตริย์พระนามว่ายสวันตะ เป็นพระบิดา, พระเทวีพระนามว่ายโสธรา เป็นพระมารดา. ไม้รกฟ้าเป็นที่ตรัสรู้, พระอัครสาวกทั้งสอง ชื่อ นิสภะ ๑ ชื่อ อโนมะ ๑, อุปัฏฐากชื่อวรุณะ, อัครสาวิกาทั้งสอง นามว่า สุนทรา ๑ สุมนา ๑, พระชนมายุได้มีถึงแสนปี, พระสรีระสูงถึง ๕๘ ศอก, พระรัศมีแห่งพระสรีระ แผ่ไปตลอด ๑๒ โยชน์. ภิกษุแสนหนึ่งเป็นบริวาร. วันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสีนั้น เสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ ทรงพิจารณาดูสัตว์โลกอยู่ ทอดพระเนตรเห็นสรทดาบสแล้ว ทรงพระดำริว่า "เพราะเราไปสู่สำนักสรทดาบสในวันนี้เป็นปัจจัย พระธรรมเทศนาจักมีคุณใหญ่ และสรทดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวก, สิริวัฑฒกุฎุมพีผู้สหายดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่ ๒ ทั้งในกาลจบเทศนา ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันบริวารของดาบสนั้นจักบรรลุพระอรหัต; เราควรไปในที่นั้น." ดังนี้แล้ว ถือบาตรและจีวรของพระองค์ ไม่ตรัสเรียกใครๆ อื่น เสด็จไปพระองค์เดียวเหมือนพระยาราชสีห์ เมื่ออันเตวาสิกทั้งหลายของสรทดาบสไปแล้วเพื่อต้องการผลาผล, ทรงอธิษฐานว่า ขอสรทดาบสจงทราบความที่เราเป็นพระพุทธเจ้า."
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 144
เมื่อสรทดาบสเห็นอยู่นั่นเทียว เสด็จลงจากอากาศ ประทับยืนบนแผ่นดินแล้ว.
สรทดาบส เห็นพระพุทธานุภาพและความสำเร็จแห่งพระสรีระ สอบสวนมนต์สำหรับทำนายลักษณะ ก็ทราบได้ว่า "อันผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ในท่ามกลางเรือน ย่อมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ, เมื่อออกบวช ย่อมเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า มีกิเลสเครื่องมุงบังอันเปิดแล้วในโลก. บุรุษผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย" จึงทำการต้อนรับ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้จัดอาสนะถวายแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้. แม้สรทดาบส ถืออาสนะอันสมควรแก่ตนแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ในสมัยนั้น ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันถือผลาผลทั้งหลายที่ประณีตๆ อันมีโอชะ มาถึงสำนักอาจารย์แล้ว แลดูอาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับและอาจารย์นั่งแล้ว จึงพูดว่า "ท่านอาจารย์ พวกกระผมเที่ยวไปด้วยเข้าใจว่า "ในโลกนี้ผู้เป็นใหญ่กว่าท่านอาจารย์ย่อมไม่มี, ก็บุรุษผู้นี้ เห็นจะเป็นใหญ่ว่าท่านอาจารย์?"
สรทดาบส ตอบว่า "พ่อทั้งหลาย พวกเจ้าพูดอะไร, พวกเจ้าปรารถนาเพื่อทำเขาสิเนรุซึ่งสูงหกสิบแปดแสนโยชน์ ให้เสมอกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด (กระนั้นหรือ) ลูกทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าทำการเปรียบเทียบเรากับพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเลย."
ครั้งนั้น ดาบสเหล่านั้น คิดว่า "ถ้าบุรุษผู้นี้จักได้เป็นคนเล็กน้อยไซร้, ท่านอาจารย์ของพวกเราคงไม่ชักสิ่งเห็นปานนี้มาอุปมา, บุรุษผู้นี้จะใหญ่เพียงไรหนอ" ดังนี้แล้ว ทั้งหมดเทียว หมอบลงแทบพระบาททั้งสอง ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าแล้ว. ครั้งนั้น อาจารย์กล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 145
"พ่อทั้งหลาย ไทยธรรมที่สมควรแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายของเราไม่มี, และพระศาสดาก็เสด็จมาในที่นี้ในเวลาภิกษาจาร. พวกเราจักถวายไทยธรรม ตามสัตติ ตามกำลัง พวกเจ้าจงนำผลาผลประณีตที่มีอยู่มา," ดังนี้. ครั้นให้นำมาแล้ว ล้างมือทั้งสองแล้ว ตั้งไว้ในบาตรของพระตถาคตด้วยตนเอง. พอเมื่อพระศาสดาทรงรับผลาผล, เทวดาทั้งหลายก็โปรยโอชะ อันเป็นทิพย์ลง. ดาบสนั้นได้กรองแม้ซึ่งน้ำถวายด้วยตนเองทีเดียว.
ต่อแต่นั้น เมื่อพระศาสดาประทับนั่งทำภัตกิจแล้ว, ดาบสนั้นเรียกอันเตวาสิกทั้งสิ้นมาแล้ว นั่งกล่าวสาราณียกถานั่งที่ใกล้พระศาสดา. พระศาสดาทรงดำริว่า "ขออัครสาวกทั้งสอง จงมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์." พระอัครสาวกทั้งสองนั้น ทราบพระดำริของพระศาสดาแล้ว มีพระขีณาสพแสนรูปเป็นบริวาร มาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น สรทดาบสเรียกอันเตวาสิกทั้งหลายมาแล้ว กล่าวว่า "พ่อทั้งหลาย แม้อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ต่ำ, ซ้ำอาสนะสำหรับสมณะตั้งแสน ก็ไม่มี, พวกเจ้าควรจะทำพุทธสักการให้โอฬารในวันนี้ จงนำดอกไม้ทั้งหลายที่ถึงพร้อมด้วยสีและกลิ่นมาแต่เชิงเขา." เวลาที่พูดย่อมเป็นเหมือนเนิ่นช้า, แต่วิสัยฤทธิ์ของผู้มีฤทธิ์ อันบุคคลไม่ควรคิด, เพราะฉะนั้น โดยกาลเพียงครู่เดียวเท่านั้น ดาบสเหล่านั้นนำดอกไม้ทั้งหลายที่ถึงพร้อมด้วยสีและกลิ่นมาแล้ว ตบแต่งอาสนะดอกไม้สำหรับพระพุทธเจ้าทั้งหลายประมาณได้ ๑ โยชน์ สำหรับพระอัครสาวกทั้งสอง ประมาณ ๓ คาพยุต (๑). สำหรับภิกษุที่เหลือมีประมาณแตกต่างกัน มี
(๑) คาพยุตหนึ่งยาว ๑๐๐ เส้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 146
ประมาณกึ่งโยชน์เป็นต้น, สำหรับภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์มีประมาณ ๑ อุสภะ (๑) ใครๆ ไม่พึงคิดว่า "ในอาศรมบทแห่งเดียว จะตบแต่งอาสนะใหญ่โตถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?" เพราะว่า นี้เป็นวิสัยของฤทธิ์, เมื่อตบแต่งอาสนะเสร็จแล้วอย่างนั้น, สรทดาบส ยืนประคองอัญชลีเบื้องพระพักตร์ของพระตถาคตแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์เสด็จขึ้นสู่อาสนะดอกไม้นี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอดราตรีนาน."
เพราะเหตุนั้น โบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
"สรทดาบสเอาดอกไม้ต่างๆ และของหอมรวมด้วยกัน ตบแต่งอาสนะดอกไม้แล้ว ได้กราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระวีระ อาสนะที่ข้าพระองค์ตบแต่งแล้วนี้ สมควรแด่พระองค์, พระองค์เมื่อจะยังจิตของข้าพระองค์ให้เลื่อมใส ขอจงประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้, พระพุทธเจ้าได้ทรงยังจิตของข้าพระองค์ให้เลื่อมใสแล้ว ยังโลกนี้ กับทั้งเทวโลกให้ร่าเริงแล้ว จึงประทับนั่งบนอาสนะ ดอกไม้ตลอด ๗ คืน ๗ วัน."
เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้วอย่างนั้น, พระอัครสาวกทั้งสอง และภิกษุที่เหลือก็นั่งแล้วบนอาสนะที่ถึงแล้วแก่ตนๆ. สรทดาบสได้ถือฉัตรดอกไม้ใหญ่ ยืนกั้นเหนือพระเศียรของพระตถาคต. พระศาสดา ทรงอธิษฐานว่า "ขอสักการะของพวกชฎิลนี้ จงมีผลใหญ่" ดังนี้แล้ว
(๑) อุสภะหนึ่งยาว ๒๕ วา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 147
ทรงเข้านิโรธสมาบัติ. สองพระอัครสาวกก็ดี ภิกษุที่เหลือก็ดี ทราบว่าพระศาสดาทรงเข้าสมาบัติแล้ว ก็เข้าสมาบัติ. เมื่อพระตถาคตประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน, พวกอันเตวาสิก เมื่อถึงเวลาเที่ยวไปภิกษา, บริโภคมูลผลาผลในป่าแล้ว ยืนประคองอัญชลีแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตลอดกาลที่เหลือ. ฝ่ายสรทดาบสไม่ไปแม้สู่ที่ภิกษาจาร กั้นฉัตรดอกไม้อยู่เทียว ให้เวลาล่วงไปด้วยปีติและสุขตลอด ๗ วัน. พระศาสดาเสด็จออกจากนิโรธแล้ว ตรัสเรียกพระนิสภเถระพระอัครสาวกผู้นั่งข้างพระปรัศว์เบื้องขวา ด้วยรับสั่งว่า "นิสภะ เธอจงทำอนุโมทนาอาสนะดอกไม้แก่ดาบสทั้งหลายผู้ทำสักการะ" พระเถระมีใจยินดีประดุจแม่ทัพใหญ่ประสบลาภใหญ่ จากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิ ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณ เริ่มอนุโมทนาอาสนะดอกไม้แล้ว. ในที่สุดเทศนาของพระนิสภเถระนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระสาวกองค์ที่ ๒ ด้วยรับสั่งว่า "ภิกษุ แม้เธอก็จงแสดงธรรม." พระอโนมเถระพิจารณาพระพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกกล่าวธรรมแล้ว. ด้วยเทศนาของพระอัครสาวกทั้งสอง การตรัสรู้มิได้มีแล้วแม้แก่ดาบสรูปหนึ่ง.
ครั้งนั้น พระศาสดา ทรงดำรงอยู่ในพุทธวิสัยไม่มีปริมาณ ทรงเริ่มพระธรรมเทศนาแล้ว. ในกาลจบเทศนา ชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันยกสรทดาบสเสีย ทั้งหมดบรรลุพระอรหัตแล้ว. พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า "เธอทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด." ทันใดนั้นเอง ผมและหนวดของชฎิลเหล่านั้นได้อันตรธานไปแล้ว. บริขาร ๘ ได้สวมกายแล้วเทียว.
มีคำถามสอดเข้ามาว่า "เพราะเหตุไร? สรทดาบสจึงไม่ได้บรรลุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 148
พระอรหัต."
แก้ว่า "เพราะความเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน."
ได้ยินว่า จำเดิมแต่กาลที่สรทดาบสนั้น เริ่มฟังธรรมเทศนาของพระอัครสาวกผู้นั่งบนอาสนะที่ ๒ แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณแสดงธรรมอยู่ เกิดความคิดขึ้นว่า "โอหนอ! แม้เราพึงได้รับธุระที่พระสาวกรูปนี้ได้รับในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้จะบังเกิดในอนาคต." ด้วยปริวิตกนั้น สรทดาบสนั้นจึงไม่ได้อาจเพื่อทำการแทงตลอดมรรคผลได้. ก็ท่านยืนถวายบังคมพระตถาคตเจ้าแล้ว ในที่เฉพาะพระพักตร์ กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ภิกษุที่นั่งบนอาสนะในลำดับแห่งพระองค์มีชื่อว่าเป็นใคร? ในศาสนาของพระองค์."
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุผู้ยังธรรมจักรอันเราให้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตาม บรรลุที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ แทงตลอดปัญญา ๑๖ อย่าง ตั้งอยู่, ผู้นี้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกในศาสนาของเรา." ท่านได้ทำความปรารถนาว่า "พระเจ้าข้า ด้วยผลแห่งสักการะที่ข้าพระองค์กั้นฉัตรดอกไม้ทำแล้วตลอด ๗ วันนี้ ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะหรือความเป็นพรหมอย่างอื่น, แต่ขอข้าพระองค์ พึงเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนพระนิสภเถระองค์นี้."
พระศาสดา ทรงส่งพระอนาคตังสญาณไปพิจารณาว่า " ความปรารถนาของบุรุษผู้นี้ จักสำเร็จหรือหนอแล?" ได้ทรงเห็นว่าผ่าน ๑ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์ไปแล้วจะสำเร็จ, ครั้นทรงเห็นแล้วจึงตรัสกะสรทดาบสว่า "ความปรารถนาของท่านนี้จักไม่เปล่าประโยชน์, ก็ในอนาคต ล่วงไป ๑ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์ พระพุทธเจ้าพระนาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 149
ว่าโคดม จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก. พระมารดาของพระองค์จักมีพระนามว่ามหามายาเทวี. พระบิดาของพระองค์จักมีพระนามว่าสุทโธทนมหาราช, พระโอรสจักมีพระนามว่าราหุล. พระผู้อุปัฏฐากจักมีนามว่าอานนท์, พระสาวกที่ ๒ จักมีนามว่าโมคคัลลานะ, ส่วนตัวท่านจักเป็นพระอัครสาวกของพระองค์ นามว่าธรรมเสนาบดีสารีบุตร" (๑) ครั้นทรงพยากรณ์ดาบสอย่างนั้นแล้ว ตรัสธรรมกถา มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมเหาะไปแล้ว.
ฝ่ายสรทดาบส ไปยังสำนักพวกพระเถระผู้อันเตวาสิก แล้วส่งข่าวไป แก่สิริวัฑฒกุฎุพีผู้สหายว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงบอกแก่สหายของข้าพเจ้าว่า "สรทดาบสผู้สหายของท่านได้ปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ซึ่งจะทรงอุบัติขึ้นในอนาคต แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสีแล้ว, ท่านจงปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวกที่ ๒." ก็แล ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ได้ไปโดยข้างหนึ่งก่อนกว่าพระเถระทั้งหลายเทียว ได้ยืนอยู่ริมประตูเรือนของสิริวัฑฒะแล้ว. สิริวัฑฒะกล่าวว่า "นานหนอพระคุณเจ้าของเรา จึงมา" ดังนี้แล้ว นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ. ตนนั่งบนอาสนะต่ำกว่าแล้ว เรียนถามว่า " (ทำไม?) อันเตวาสิกบริษัทของพระคุณเจ้าจึงหายไป เจ้าข้า"
สรทะ. อย่างนั้น สหาย พระพุทธเจ้าอโนมทัสสี เสด็จมายังอาศรมของข้าพเจ้าทั้งหลาย. พวกข้าพเจ้าทำสักการะแด่พระองค์ตามกำลังของตน, พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดพวกข้าพเจ้าทุกๆ คน, ในกาลจบเทศนา เว้นข้าพเจ้าคนเดียว ที่เหลือบรรลุพระอรหัตแล้วบวช. ข้าพเจ้าเห็น
(๑) ขุ. พุ. ๓๓/๕๔๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 150
พระนิสภเถระอัครสาวกของพระศาสดา จึงปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคต, แม้เธอก็จงปรารถนาตำแหน่งสาวกที่ ๒ ในศาสนาของพระองค์ท่าน."
สิริวัฑฒะ. ข้าพเจ้าไม่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลย ขอรับ.
สรทะ. เรื่องที่จะทูลกับพระพุทธเจ้า เป็นภาระของข้าพเจ้าของ, เธอจงจัดสักการะยิ่งใหญ่ไว้เถอะ.
สิริวัฑฒะ ฟังคำของสรทดาบสนั้นแล้ว ให้ทำสถานที่ประมาณ ๘ กรีส (๑) โดยมาตราหลวง ที่ประตูเรือนของตนให้มีพื้นเสมอแล้ว เกลี่ยทรายโปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ให้ทำมณฑปมุงด้วยดอกอุบลเขียว ตบแต่งพุทธอาสน์ จัดอาสนะแม้แก่ภิกษุที่เหลือ จัดสักการะและเครื่องต้อนรับเป็นอันมากแล้ว ได้ให้สัญญาแก่สรทดาบสเพื่อประโยชน์นิมนต์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
พระดาบส ได้พาภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปที่อยู่ของสิริวัฑฒกฎุมพีนั้นแล้ว.
ฝ่ายสิริวัฑฒกุฎุมพี ทำการต้อนรับ รับบาตรจากพระหัตถ์ของพระตถาคต เชิญเสด็จให้เข้าไปสู่มณฑป ถวายน้ำทักษิโณทกแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ซึ่งนั่งบนอาสนะที่แต่งไว้ อังคาสด้วยโภชนะอันประณีต ในเวลาเสร็จภัตกิจ นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ครองผ้าอันมีค่ามากแล้ว กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความริเริ่มนี้มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตำแหน่งมีประมาณน้อย ขอ
(๑) กรีส เป็นมาตราวัดชนิดหนึ่ง ๑ กรีส = ๑๒๕ ศอก หรือ ๑ เส้น ๑๑ วา ๑ ศอก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 151
พระองค์ทรงทำความอนุเคราะห์โดยทำนองนี้แล ตลอด ๗ วัน."
พระศาสดาทรงรับแล้ว. เขายังมหาทานให้เป็นไปโดยทำนองนั้นนั่นแล ตลอด ๗ วัน ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนประคองอัญชลี กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า สรทดาบสสหายของข้าพระองค์ปรารถนาว่า "เราพึงเป็นพระอัครสาวกของพระศาสดาพระองค์ใด, ข้าพระองค์พึงเป็นพระสาวกที่ ๒ ของพระศาสดาพระองค์นั้นเหมือนกัน." พระศาสดา ทรงพิจารณาถึงอนาคตกาล ทรงเห็นภาวะคือความสำเร็จ แห่งความปรารถนาของเขา จึงทรงพยากรณ์ว่า "แต่นี้ล่วงไป ๑ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์ แม้ท่านก็จักเป็นพระสาวกที่ ๒ ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม."
สิริวัฑฒะ ฟังพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ได้เป็นผู้ร่าเริงบันเทิงแล้ว, แม้พระศาสดา ทรงทำภัตตานุโมทนาแล้ว พร้อมทั้งบริวารเสด็จไปยังวิหารแล. ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความปรารถนาที่บุตรของเราปรารถนาแล้วในครั้งนั้น. อัครสาวกทั้งสองนั้น ได้ตำแหน่งตามที่ตนปรารถนานั่นแล, เราหาได้เลือกหน้าให้ไม่."
สองอัครสาวกทูลเรื่องปัจจุบันแด่พระศาสดา
เมื่อพระศาสดา ตรัสพระพุทธพจน์อย่างนั้นแล, สองพระอัครสาวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลเล่าเรื่องอันเป็นปัจจุบัน (เกิดขึ้นเฉพาะหน้า) ทั้งหมดว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (ครั้ง) ข้าพระองค์ยังเป็นผู้ครองเรือนอยู่ไปดูมหรสพบนยอดเขา," ดังนี้เป็นต้น จนถึงการแทงตลอดโสดาปัตติผลจากสำนักพระอัสสชิเถระแล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 152
พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งสองนั้น ไปยังสำนักของท่านอาจารย์สญชัย ประสงค์จะนำท่านมาสู่บาทมูลของพระองค์ แจ้งว่าลัทธิของท่านไม่มีสาระแล้ว กล่าวอานิสงส์ในการมาที่นี่. ท่านสญชัยตอบว่า "บัดนี้ชื่อว่าการอยู่เป็นอันเตวาสิกของเรา ย่อมเป็นเช่นกับการถึงความกะเพื่อมแห่งน้ำในตุ่ม, เราไม่สามารถจะอยู่เป็นอันเตวาสิกได้," เมื่อข้าพระองค์บอกว่า "ท่านอาจารย์ เวลานี้มหาชนมีมือถือวัตถุมีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น จักไปบูชาเฉพาะพระศาสดา ท่านจักเป็นอย่างไร?" ตอบว่า "ก็ในโลกนี้ คนฉลาดมากหรือคนเขลามาก?" เมื่อข้าพระองค์ตอบว่า "คนเขลามาก," ก็กล่าวว่า ถ้ากระนั้น พวกคนฉลาดๆ จักไปสำนักพระสมณโคดม, พวกคนเขลาๆ จักมาสำนักของเรา, เธอทั้งสอง ไปเถอะ" ไม่ปรารถนาจะมา พระเจ้าข้า.
ผู้เห็นผิดกับผู้เห็นถูกได้รับผลต่างกัน
พระศาสดาทรงสดับคำนั้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย สญชัย ถือสิ่งที่ไม่มีสาระว่า "มีสาระ" และสิ่งที่มีสาระว่า "ไม่มีสาระ" เพราะความที่ตนเป็นมิจฉาทิฏฐิ. ส่วนเธอทั้งสอง รู้สิ่งเป็นสาระโดยความเป็นสาระ และสิ่งอันไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ละสิ่งที่ไม่เป็นสาระเสีย ถือเอาแต่สิ่งที่เป็นสาระเท่านั้น เพราะความที่ตนเป็นบัณฑิต" ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
๘. อสาเร สารมติโน สาเร จาสารทสฺสิโน เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา. สารญฺจ สารโต ตฺวา อสารญฺจ อสารโต เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 153
"ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่ประสพสิ่งอันเป็นสาระ. ชนเหล่าใด รู้สิ่งเป็นสาระโดยความเป็นสาระ และสิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมประสพสิ่งเป็นสาระ."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า อสาเร สารมติโน ความว่า สภาพนี้ คือ ปัจจัย ๔ มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ ธรรมเทศนาอันเป็นอุปนิสัยแห่งมิจฉาทิฏฐินั้น ชื่อว่าเป็นอสาระ, ผู้มีปกติเห็นในสิ่งอันไม่เป็นสาระ นั้นว่า "เป็นสาระ."
บาทพระคาถาว่า สาเร จาสารทสฺสิโน ความว่า สภาพนี้ คือ สัมมาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ ธรรมเทศนาอันเป็นอุปนิสัยแห่งสัมมาทิฏฐินั้นชื่อว่า เป็นสาระ, ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่เป็นสาระนั้นว่า "นี้ไม่เป็นสาระ."
สองบทว่า เต สารํ เป็นต้น ความว่า ชนเหล่านั้น คือผู้ถือมิจฉาทิฏฐินั้นตั้งอยู่ เป็นผู้มีความดำริผิดเป็นโคจร ด้วยสามารถแห่งวิตกทั้งหลาย มีกามวิตกเป็นต้น ย่อมไม่บรรลุสีลสาระ สมาธิสาระ ปัญญาสาระ วิมุตติสาระ วิมุตติญาณทัสสนสาระ และพระนิพพานอันเป็นปรมัตถสาระ.
บทว่า สารญฺจ ความว่า รู้สาระมีสีลสาระเป็นต้นนั่นนั้นแลว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 154
"นี้ชื่อว่าสาระ" และรู้สิ่งไม่เป็นสาระ มีประการดังกล่าวแล้วว่า "นี้ไม่เป็นสาระ."
สองบทว่า เต สารํ เป็นต้น ความว่า ชนเหล่านั้น คือบัณฑิต ผู้ยึดสัมมาทัสสนะอย่างนั้นตั้งอยู่ เป็นผู้มีความดำริชอบเป็นโคจร ด้วยสามารถแห่งความดำริทั้งหลาย มีความดำริออกจากกามเป็นต้น ย่อมบรรลุสิ่งอันเป็นสาระ มีประการดังกล่าวแล้วนั้น.
ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น. เทศนาได้เป็นประโยชน์แก่ชนผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องสญชัย จบ.