๓. เรื่องพระฉันนเถระ [๖๒]
[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 296
๓. เรื่องพระฉันนเถระ [๖๒]
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 41]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 296
๓. เรื่องพระฉันนเถระ [๖๒]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระฉันนเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น ภเช ปาปเก มิตฺเต" เป็นต้น.
พระฉันนเถระด่าพระอัครสาวก
ดังได้สดับมา ท่านพระฉันนะนั้นด่าพระอัครสาวกทั้งสองว่า "เราเมื่อตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์กับพระลูกเจ้าของเราทั้งหลายในเวลานั้น มิได้เห็นผู้อื่นแม้สักคนเดียว แต่บัดนี้ ท่านพวกนี้เที่ยวกล่าวว่า เราชื่อสารีบุตร เราชื่อโมคลัลลานะ พวกเราเป็นอัครสาวก" พระศาสดาทรงสดับข่าวนั้นแต่สำนักภิกษุทั้งหลายแล้ว รับสั่งให้หาพระฉันนเถระมา ตรัสสอนแล้ว ท่านนิ่งในชั่วขณะนั้นเท่านั้น ยังกลับไปด่าพระเถระทั้งหลายเหมือนอย่างนั้นอีก พระศาสดารับสั่งให้หาท่านซึ่งกำลังด่า มาแล้ว ตรัสสอนอย่างนั้นถึง ๓ ครั้งแล้ว ตรัสเตือนว่า "ฉันนะ ชื่อว่าอัครสาวกทั้งสองเป็นกัลยาณมิตร เป็นบุรุษชั้นสูงของเธอ เธอจงเสพ จงคบกัลยาณมิตรเห็นปานนี้" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า.
๓. น ภเช ปาปเก มิตฺเต น ภเช ปุริสาธเม ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ ภเชถ ปุริสุตฺตเม.
"บุคคลไม่ควรคบปาปมิตร ไม่ควรคบบุรุษต่ำช้า ควรคบกัลยาณมิตร ควรคบบุรุษสูงสุด".
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 297
แก้อรรถ
เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า คนผู้ยินดีในอกุศลกรรม มีกายทุจริตเป็นต้น ชื่อว่าปาปมิตร คนผู้ชักนำในเหตุอันไม่สมควร มีการตัดช่องเป็นต้นก็ดี อันต่างโดยการแสวงหาไม่ควร ๒๑ อย่าง (๑) ก็ดี ชื่อว่าบุรุษต่ำช้า อนึ่ง ชน ๒ จำพวกนั้น ชื่อว่าเป็นทั้งปาปมิตร ทั้งบุรุษต่ำช้า บุคคลไม่ควรคบ คือไม่ควรนั่งใกล้เขาเหล่านั้น ฝ่ายชนผู้ตรงกันข้าม ชื่อว่าเป็นทั้งกัลยาณมิตร ทั้งสัตบุรุษ บุคคลควรคบ คือควรนั่งใกล้ท่านเหล่านั้น ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นแล้ว.
พระศาสดาตรัสสั่งให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ
ฝ่ายพระฉันนเถระ แม้ได้ฟังพระโอวาทแล้ว ก็ยังด่าขู่พวกภิกษุอยู่อีกเหมือนนัยก่อนนั่นเอง แม้พวกภิกษุก็กราบทูลแด่พระศาสดาอีก พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเธอจักไม่อาจเพื่อให้ฉันนะสำเหนียกได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานแล้ว จึงจักอาจ" ดังนี้แล้ว เมื่อท่านพระอานนท์ทูลถามในเวลาจวนจะเสด็จปรินิพพานว่า "พระเจ้าข้า อันพวกข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติในพระฉันนเถระอย่างไร" จึงตรัสบังคับว่า "อานนท์ พวกเธอพึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุเถิด".
(๑) ปรมัตถโชติกา หน้า ๒๖๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 298
พระฉันนะนั้น เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้ฟังพรหมทัณฑ์ที่พระอานนทเถระยกขึ้นแล้ว มีทุกข์ เสียใจ ล้มสลบ ถึง ๓ ครั้ง แล้ววิงวอนว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านอย่าให้กระผมฉิบหายเลย" ดังนี้แล้ว บำเพ็ญวัตรอยู่โดยชอบ ต่อกาลไม่นานนัก ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพระฉันนเถระ จบ.