พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๑. เรื่องภิกษุอาคันตุกะ [๗๐]

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 ก.ค. 2564
หมายเลข  34854
อ่าน  469

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 360

๑๑. เรื่องภิกษุอาคันตุกะ [๗๐]


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 41]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 360

๑๑. เรื่องภิกษุอาคันตุกะ [๗๐]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกภิกษุอาคันคุกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย" เป็นต้น.

พระศาสดาตรัสเหมาะแก่ความประพฤติ

ดังได้ทราบมาว่า ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป จำพรรษาอยู่ในแคว้นโกศล ออกพรรษาแล้ว ปรึกษากันว่า "จักเฝ้าพระศาสดา" จึงไปยังพระเชตวัน ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่สุดแห่งหนึ่ง พระศาสดาทรงพิจารณาธรรมอันเป็นปฏิปักษ์แก่จริยาของพวกเธอ เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า.

๑๑. กณฺหํ ธมฺมํ วิปฺปหาย สุกฺกํ ภาเวถ ปณฺฑิโต โอกา อโนกมาคมฺม วิเวเก ยตฺถ ทูรมํ ตตฺราภิรติมิจฺเฉยฺย หิตฺวา กาเม อกิญฺจโน ปริโยทเปยฺย อตฺตานํ จิตฺตเกฺลเสหิ ปณฺฑิโต. เยสํ สมฺโพธิยงฺเคสุ สมฺมา จิตฺตํ สุภาวิตํ อาทานปฏินิสฺสคฺเค อนุปาทาย เย รตา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา.

"บัณฑิตละธรรมดำแล้ว ออกจากอาลัย อาศัยธรรมอันหาอาลัยมิได้แล้ว ควรเจริญธรรมขาว ละกามทั้งหลายแล้ว หมดความกังวล พึงปรารถนา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 361

ความยินดียิ่งในวิเวก อันเป็นซึ่งประชายินดีได้ยาก บัณฑิตควรทำตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมอง ชนเหล่าใดอบรมจิตดีแล้วโดยชอบ ในองค์ธรรมแห่งความตรัสรู้ (และ) ชนเหล่าใดไม่ถือมั่น ยินดีในการละเลิกความถือมั่น ชนเหล่านั้นๆ เป็นพระขีณาสพ รุ่งเรือง ดับสนิทแล้วในโลก".

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า กณฺหํ ธมฺมํ ความว่า ละ คือสละอกุศลธรรม ต่างโดยเป็นกายทุจริตเป็นต้น.

สองบทว่า สุกฺกํ ภาเวถ ความว่า ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต ควรเจริญธรรมขาว ต่างโดยเป็นกายสุจริตเป็นต้น ตั้งแต่ออกบวช จนถึงอรหัตตมรรค เจริญอย่างไร คือออกจากอาลัย ปรารภธรรมอันหาอาลัยมิได้.

อธิบายว่า ธรรมเป็นเหตุให้อาลัย ตรัสเรียกว่า โอกะ ธรรมเป็นเหตุให้ไม่มีอาลัย ตรัสเรียกว่า อโนกะ บัณฑิตออกจากธรรมเป็นเหตุให้อาลัยแล้ว เจาะจง คือปรารภพระนิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นเหตุไม่มีอาลัย เมื่อปรารถนาพระนิพพานนั้น ควรเจริญธรรมขาว.

บาทพระคาถาว่า ตตฺราภิรติมิจฺเฉยฺย ความว่า พึงปรารถนาความยินดียิ่งในวิเวก ที่นับว่าเป็นธรรมอันไม่มีอาลัย คือพระนิพพาน ซึ่งสัตว์เหล่านั้นอภิรมย์ได้โดยยาก.

สองบทว่า หิตฺวา กาเม ความว่า ละวัตถุกามและกิเลสกามแล้วเป็นผู้หมดความกังวล พึงปรารถนาความยินดียิ่งในวิเวก.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 362

บทว่า จิตฺตเกฺลเสหิ ความว่า พึงทำตนให้ขาวผ่อง คือให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์ ๕.

บทว่า สมฺโพธิยงฺเคสุ ได้แก่ ในธรรมเป็นองค์เครื่องตรัสรู้.

บาทพระคาถาว่า สมฺมา จิตฺตํ สุภาวิตํ ความว่า (ชนเหล่าใด) อบรม คือเจริญจิตด้วยดีแล้ว ตามเหตุ คือตามนัย.

บาทพระคาถาว่า อาทานปฏินิสฺสคฺเค ความว่า ความยึดถือ ตรัสเรียกว่า ความถือมั่น ชนเหล่าใด ไม่ถืออะไรๆ ด้วยอุปาทาน ๔ ยินดีแล้วในการไม่ถือมั่น กล่าวคือการเลิกละความยึดถือนั้น.

บทว่า ชุติมนฺโต ความว่า ผู้มีอานุภาพ คือผู้ยังธรรมต่างโดยขันธ์เป็นต้นให้รุ่งเรือง แล้วดำรงมั่นอยู่ ด้วยความรุ่งเรือง คือญาณอันกำกับด้วยอรหัตตมรรค.

สองบทว่า เต โลเก เป็นต้น ความว่า ชนเหล่านั้นชื่อว่า ดับสนิทแล้วในขันธาทิโลกนี้ คือปรินิพพานแล้ว ด้วยปรินิพพาน ๒ อย่าง คือด้วยปรินิพพานที่ชื่อว่า สอุปาทิเสส เพราะกิเลสวัฏฏ์อันตนให้สิ้นไปแล้ว ตั้งแต่เวลาที่บรรลุพระอรหัต และด้วยปรินิพพานที่ชื่อว่า อนุปาทิเสส เพราะขันธวัฏอันตนให้สิ้นไปแล้ว ด้วยดับจริมจิต ( * อ่านว่า จะ-ริ-มะ-จิด คือจุติจิตของพระอรหันต์ จิตดวงสุดท้าย) คือถึงความหาบัญญัติไม่ได้ ดังประทีปหาเชื้อมิได้ฉะนั้น.

ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

เรื่องภิกษุอาคันตุกะ จบ.

บัณฑิตวรรควรรณนา จบ.

วรรคที่ ๖ จบ.