พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. เรื่องบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง [๘๑]

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 ก.ค. 2564
หมายเลข  34867
อ่าน  668

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 418

๘. สหัสสวรรควรรณนา

๑. เรื่องบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง [๘๑]


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 41]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 418

๘. สหัสสวรรควรรณนา

๑. เรื่องบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง [๘๑]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สหสฺสมปิ เจ วาจา " เป็นต้น.

เพชฌฆาตเคราแดง

ดังได้สดับมา โจร ๔๙๙ คน ทำกรรมมีการปล้นชาวบ้านเป็นต้น สำเร็จความเป็นอยู่แล้ว ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งมีตาเหลือกเหลือง มีเคราแดง ไปยังสำนักของโจรเหล่านั้น กล่าวว่า "แม้เราจักเป็นอยู่กับ พวกท่าน" ทีนั้นพวกโจรแสดงบุรุษนั้นแก่หัวหน้าโจร แล้วกล่าวว่า "ชายแม้นี้ ปรารถนาจะอยู่ในสำนักของพวกเรา" ครั้งนั้นหัวหน้าโจรแลดูบุรุษนั้นแล้วคิดว่า บุรุษผู้นี้ กักขฬะนัก สามารถในการที่จะตัดนมของแม่ หรือนำเลือดในลำคอของพ่อออกแล้ว กินได้ จึงห้ามว่า "กิจคือการอยู่ในสำนักของพวกเรา สำหรับบุรุษนี้ไม่มี" บุรุษนั้นแม้ถูกหัวหน้าโจรห้ามแล้วอย่างนั้นก็ไม่ไป บำรุงศิษย์คนหนึ่งของหัวหน้าโจรนั้นนั่นแลให้พอใจแล้ว โจรนั้นพาบุรุษนั้นเข้าไปหาหัวหน้าโจรแล้ว อ้อนวอนว่า "นาย ผู้นี้เป็นคนดี มีอุปการะแก่พวกเรา ขอท่านจงสงเคราะห์เขาเถิด"

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 419

ให้หัวหน้าโจรรับไว้แล้ว ภายหลังวันหนึ่ง พวกชาวเมืองร่วมกันกับพวกราชบุรุษจับโจรเหล่านั้นได้ จึงนำไปสู่สำนักของพวกอำมาตย์ผู้วินิจฉัยทั้งหลาย พวกอำมาตย์สั่งบังคับการตัดศีรษะของโจรเหล่านั้นด้วยขวาน ลำดับนั้น พวกชาวเมืองปรึกษากันว่า "ใครหนอแล จักฆ่าโจรเหล่านี้" แสวงหาอยู่ ไม่เห็นใครๆ ผู้ปรารถนาเพื่อจะฆ่าโจรเหล่านั้น จึงพูดกะหัวหน้าโจรว่า "ท่านฆ่าโจรเหล่านี้แล้ว จักได้ทั้งชีวิตทั้งความนับถือทีเดียว ท่านจงฆ่าโจรเหล่านั้น" แม้หัวหน้าโจรนั้นก็ไม่ปรารถนาจะฆ่า เพราะความที่พวกโจรนั้นอาศัยตนอยู่แล้ว พวกชาวเมืองถามโจร ๔๙๙ คนโดยอุบายนั้น แม้โจรทั้งหมด ก็ไม่ปรารถนาแล้ว พวกชาวเมืองถามนายตัมพทาฐิกะ (เคราแดง) ผู้มีตาเหลือกเหลืองนั้น ภายหลังโจรทั้งหมด นายตัมพทาฐิกะนั้นรับคำว่า "ดีละ" แล้วฆ่าโจรทั้งหมดนั้น ได้ทั้งชีวิตทั้งความนับถือแล้ว.

เพชฌฆาตออกจากตำแหน่งเวลาแก่

พวกชาวเมืองนำโจร ๕๐๐ คนมาแม้แต่ทิศทักษิณแห่งเมืองแล้ว แสดงแก่พวกอำมาตย์โดยอุบายนั้น เมื่อพวกอำมาตย์นั้นสั่งบังคับให้ตัดศีรษะโจรเหล่านั้น จึงถามตั้งแต่หัวหน้าโจรเป็นต้นไป ไม่เห็นใครผู้ปรารถนาจะฆ่า จึงถามว่า "ในวันก่อน บุรุษหนึ่งฆ่าโจร ๕๐๐ คนแล้ว บุรุษนั่นอยู่ที่ไหนหนอแล" เมื่อชนทั้งหลายตอบว่า "พวกข้าพเจ้า เห็นเขาแล้วในที่ชื่อโน้น" จึงให้เรียกเขาแล้วสั่งบังคับว่า "ท่านจงฆ่าโจรเหล่านี้ ท่านจะได้ความนับถือ" นายตัมพทาฐิกะนั้นรับว่า "ดีละ" แล้วฆ่าโจรเหล่านั้น ได้ความนับถือแล้ว.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 420

ครั้งนั้นชาวเมืองเหล่านั้นปรึกษากันว่า "บุรุษคนนี้ดี พวกเราจักทำเขาให้เป็นคนฆ่าโจรประจำทีเดียว" ดังนี้แล้ว จึงให้ตำแหน่งนั้นแก่เขา กระทำความนับถือแล้ว.

นายตัมพทาฐิกะนั้นฆ่าโจร (คราวละ) ๕๐๐ๆ ซึ่งเขานำมาแต่ทิศปัศจิมบ้าง ทิศอุดรบ้าง เขาฆ่าโจร (สิ้น) ๒ พันคน ซึ่งนำมาแต่ทิศทั้ง ๔ ด้วยอุบายอย่างนั้น จำเดิมแต่นั้น เมื่อฆ่ามนุษย์ที่เขานำมาๆ คือ "คนหนึ่ง สองคน" ทุกวันๆ ได้กระทำโจรฆาตกกรรมสิ้น ๕๕ ปี ในเวลาเป็นคนแก่ เขาไม่อาจจะตัดศีรษะด้วยการฟันทีเดียวได้ ต้องฟัน ๒ - ๓ ที ทำให้มนุษย์ทั้งหลายลำบาก พวกชาวเมืองคิดกันว่า คนฆ่าโจรแม้อื่นจักเกิดขึ้น ผู้นี้ทำมนุษย์ทั้งหลายให้ลำบากเหลือเกิน จะต้องการอะไรด้วยผู้นี้ จึงถอนตำแหน่งนั้นของเขาเสีย.

นายตัมพทาฐิกะนั้น กระทำโจรฆาตกรรมอยู่ในกาลก่อน จึงไม่ได้กิจอย่างนี้ คือการนุ่งผ้าใหม่ การดื่มยาคูเจือน้ำนมที่ปรุงด้วยเนยใสใหม่ การประดับดอกมะลิ การทาด้วยของหอม ในวันที่ถูกออกจากตำแหน่ง เขากล่าวว่า "ท่านทั้งหลาย จงต้มยาคูเจือน้ำนมแก่เรา" แล้วให้คนถือผ้าใหม่ ระเบียบดอกมะลิและเครื่องทา ไปยังแม่น้ำ อาบน้ำแล้ว นุ่งผ้าใหม่ ประดับดอกไม้ มีตัวทาด้วยของหอมมาสู่เรือน นั่งแล้ว ทีนั้นชนทั้งหลายวางยาคูเจือน้ำนมที่ปรุงด้วยเนยใสใหม่ข้างหน้าของเขาแล้ว นำน้ำสำหรับล้างมือมา.

นายตัมพทาฐิกะกระทำบุญแก่พระสารีบุตร

ในขณะนั้น พระสารีบุตรเถระออกจากสมาบัติ พิจารณาทางเที่ยว

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 421

ภิกษาของตนว่า วันนี้ เราควรไปที่ไหนหนอแล เห็นยาคูเจือน้ำนม ในเรือนของนายตัมพทาฐิกะนั้น จึงใคร่ครวญว่า บุรุษนั้น จักทำการสงเคราะห์เราหรือหนอแล รู้ว่า เขาเห็นเราแล้ว จักทำการสงเคราะห์แก่เรา ก็แล กุลบุตรนี้ ครั้นกระทำแล้ว จักได้สมบัติใหญ่ จึงห่มจีวรถือบาตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของนายตัมพทาฐิกะนั้น นั่นแล.

นายตัมพทาฐิกะนั้น พอแลเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่า เรากระทำโจรฆาตกกรรมมานาน เราฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก บัดนี้ ในเรือนของเราตกแต่งยาคูเจือน้ำนมไว้ แลพระเถระก็มายืนอยู่ที่ประตูเรือนของเรา เราถวายไทยธรรมแก่พระผู้เป็นเจ้าเสียในเวลานี้ก็ควร ดังนี้แล้ว จึงนำยาคูที่วางไว้ข้างหน้าออกไปแล้ว เข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้วนิมนต์ให้นั่งภายในเรือน เกลี่ยยาคูเจือน้ำนมลงในบาตร ราดเนยใสใหม่แล้ว ได้ยืนพัดพระเถระอยู่ ทีนั้น อัธยาศัยเพื่อดื่มยาคูเจือน้ำนม ได้มีกำลัง เพราะเขาไม่เคยได้แล้วสิ้นเวลานาน พระเถระรู้อัธยาศัยของนายตัมพทาฐิกะนั้น จึงพูดกะเขาว่า "อุบาสก ท่านจงดื่มยาคูของตนเถิด" เขาให้พัดในมือแก่ผู้อื่นแล้วดื่มยาคูเอง พระเถระพูดกะบุรุษผู้พัดว่า "ท่านจงไป จงพัดอุบาสกเถิด" เขาอันบุรุษนั้นพัดอยู่ ดื่มยาคูเต็มท้องแล้วมายืนพัดพระเถระ ได้รับบาตรของพระเถระ ผู้กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว พระเถระเริ่มอนุโมทนาแก่เขาแล้ว เขาไม่อาจกระทำจิตของตนให้ไปตามธรรมเทศนาของพระเถระได้ พระเถระสังเกตได้จึงถามว่า "อุบาสก เหตุไร ท่านจึงไม่อาจทำจิตให้ไปตามธรรมเทศนาได้".

ตัมพทาฐิกะ. ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทำกรรมหยาบช้ามาสิ้นกาลนาน

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 422

มนุษย์เป็นอันมากถูกข้าพเจ้าฆ่าตาย ข้าพเจ้ามัวระลึกถึงกรรมของตนนั้นอยู่ จึงไม่อาจทำจิตให้ไปตามเทศนาของพระผู้เป็นเจ้าได้.

พระเถระคิดว่า เราจักลวงบุรุษนั้น จึงพูดว่า "ก็ท่านได้กระทำตามชอบใจตน หรือถูกคนอื่นให้กระทำเล่า".

ตัมพทาฐิกะ. ท่านผู้เจริญ พระราชาให้ข้าพเจ้าทำ.

พระเถระ. อุบาสก เมื่อเป็นเช่นนั้น อกุศลจะมีแก่ท่านอย่างไรหนอ.

นายตัมพทาฐิกะตายไปเกิดในดุสิตบุรี

อุบาสกเป็นคนธาตุทึบ ถูกพระเถระกล่าวอย่างนั้น มีความสำคัญว่า อกุศลไม่มีแก่เรา จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกล่าวธรรมเถิด" อุบาสกนั้น เมื่อพระเถระทำอนุโมทนาอยู่ มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฟังธรรมอยู่ ยังขันติเป็นไปโดยอนุโลม (แก่อริยสัจ) ภายในแห่งโสดาปัตติมรรค ให้บังเกิดแล้ว แม้พระเถระกระทำอนุโมทนาแล้ว ก็หลีกไป.

นางยักษิณีตนหนึ่งมาแล้วด้วยเพศแห่งแม่โคนม ขวิดที่อกอุบาสก ผู้ตามส่งพระเถระหน่อยหนึ่งแล้ว กลับอยู่ ให้ตายแล้ว อุบาสกนั้นกระทำกาละแล้วก็บังเกิดในดุสิตบุรี.

กัลยาณมิตรเป็นเหตุให้เกิดในดุสิต

ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า "บุรุษฆ่าโจร กระทำกรรมหยาบช้าสิ้น ๕๕ ปี พ้นจากกรรมนั้นในวันนี้แล ถวายภิกษาแก่พระเถระก็ในวันนี้เหมือนกัน

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 423

กระทำกาละก็ในวันนี้นั่นแล เขาบังเกิดในที่ไหนหนอแล".

พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยถ้อยคำอะไรหนอ" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ด้วยถ้อยคำชื่อนี้" จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นบังเกิดในดุสิตบุรี" ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสอะไร บุรุษนั้นฆ่ามนุษย์เท่านี้สิ้นเวลาเท่านี้ แล้วบังเกิดในวิมานดุสิต".

พระศาสดาตรัสว่า "อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นได้กัลยาณมิตรผู้ใหญ่ เขาฟังธรรมเทศนาของสารีบุตร ยังอนุโลมญาณให้บังเกิดแล้ว เคลื่อนจากโลกนี้แล้วบังเกิดในวิมานดุสิต" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า.

"บุรุษผู้ฆ่าโจรในเมือง ฟังคำเป็นสุภาษิตแล้ว ได้อนุโลมขันติ ไปสู่เทวโลกชั้นไตรทิพย์ ย่อมบันเทิงใจ".

ภิกษุ. พระเจ้าข้า ธรรมดาอนุโมทนากถามีกำลัง บุรุษนั้น กระทำอกุศลกรรมไว้มาก เขายังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยเหตุเท่านั้นอย่างไรได้.

พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า น้อยหรือมาก เพราะว่า แม้วาจาคำเดียว ที่อาศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้" เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 424

๑. สหสฺสมปิ เจ วาจา อนตฺถปทสญฺหิตา เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ.

"หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้ บทที่เป็นประโยชน์บทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่า".

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหสฺสมปิ เป็นคำสำหรับกำหนด อธิบายว่า "แม้หากว่าวาจาเขากำหนดด้วยพันอย่างนี้ คือ ๑ พัน ๒ พัน ไซร้ ก็วาจาเหล่านั้นไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ คือประกอบด้วยบททั้งหลายที่ไม่เป็นประโยชน์ อันประกาศแต่เรื่องพรรณนาอากาศ พรรณนาภูเขา และพรรณนาป่าเป็นต้น ไม่แสดงนิพพาน มีมากเพียงใด ก็เป็นวาจาชั่วนั่นแหละ เพียงนั้น".

สองบทว่า เอกํ อตฺถปทํ ความว่า ส่วนบุคคลฟังบทใดที่เป็นประโยชน์แม้บทเดียวเห็นปานนี้ว่า "นี้กาย นี้สติไปในกาย วิชชา ๓ เราตามบรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธะทั้งหลาย เรากระทำแล้ว" ย่อมสงบระงับ ด้วยการสงบระงับกิเลส มีราคะเป็นต้นได้ บทนั้นสำเร็จประโยชน์ ประกอบด้วยนิพพาน คือแสดงขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสติปัฏฐาน แม้บทเดียว ยังประเสริฐกว่าโดยแท้.

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

เรื่องบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง จบ.