พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๓. เรื่องนางกิสาโคตมี [๙๓]

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 ก.ค. 2564
หมายเลข  34879
อ่าน  662

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 499

๑๓. เรื่องนางกิสาโคตมี [๙๓]


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 41]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 499

๑๓. เรื่องนางกิสาโคตมี [๙๓]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางกิสาโคตมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โย จ วสฺสสตํ ชีเว" เป็นต้น.

ทรัพย์ของเศรษฐีกลายเป็นถ่าน

ได้ยินว่า ทรัพย์ ๔๐ โกฏิในเรือนของเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ได้กลายเป็นถ่านหมดตั้งอยู่ เศรษฐีเห็นเหตุนั้น เกิดความเศร้าโศก จึงห้ามอาหารเสีย นอนอยู่บนเตียงน้อย สหายผู้หนึ่งของเศรษฐีนั้นถามว่า "เหตุไร จึงเศร้าโศกเล่า เพื่อน" ฟังความเป็นไปนั้นแล้ว กล่าวว่า "อย่าเศร้าโศกเลย เพื่อน ฉันทราบอุบายอย่างหนึ่ง จงทำอุบายนั้นเถิด".

เศรษฐี. ทำอย่างไรเล่า เพื่อน.

สหาย. เพื่อน ท่านจงปูเสื่อลำแพนที่ตลาดของตน ทำถ่านให้เป็นกองไว้ จงนั่งเหมือนจะขาย บรรดามนุษย์ที่มาแล้วๆ คนเหล่าใดพูดอย่างนี้ว่า "ชนที่เหลือ ขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น ส่วนท่านนั่งขายถ่าน" ท่านพึงพูดกับคนเหล่านั้นว่า "เราไม่ขายของๆ ตนจักทำอะไร" ส่วนผู้ใดพูดกับท่านอย่างนี้ว่า "ชนที่เหลือ ขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น ส่วนท่านนั่งขายเงินและทอง" ท่านพึงพูดกะผู้นั้นว่า "เงินและทองที่ไหน" ก็เมื่อเธอพูดว่า "นี้" ท่านพึงพูดว่า "จงนำเงินทองนั้นมาก่อน แล้วรับด้วยมือทั้งสอง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 500

ของที่เขาให้ในมือของท่านอย่างนั้น จักกลายเป็นเงินและทอง ก็ผู้นั้นถ้าเป็นหญิงรุ่นสาว ท่านจงนำนางมาเพื่อบุตรในเรือนของท่าน มอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้แก่นาง พึงใช้สอยเงินทองที่นางให้ ถ้าเป็นเด็กชาย ท่านพึงให้ธิดาผู้เจริญวัยแล้วในเรือนของท่านแก่เขา แล้วมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้แก่เขา ใช้สอยทรัพย์ที่เขาให้.

เศรษฐีนั้นกล่าวว่า "อุบายดี" จึงทำถ่านให้กองไว้ในร้านตลาดของตน นั่งทำเหมือนจะขาย คนเหล่าใดพูดกะเศรษฐีนั้นอย่างนี้ว่า "ชนที่เหลือทั้งหลาย ขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น ท่านนั่งขายถ่าน" ก็ให้คำตอบแก่คนเหล่านั้นว่า "ฉันไม่ขายของๆ ตน จักทำอย่างไร".

ถ่านกลายเป็นทรัพย์อย่างเดิม

ครั้งนั้น หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งชื่อโคตมี ปรากฏชื่อว่า "กิสาโคตมี" เพราะนางมีสรีระแบบบาง เป็นธิดาของตระกูลเก่าแก่ ไปยังประตูตลาดด้วยกิจอย่างหนึ่งของตน เห็นเศรษฐีนั้น จึงกล่าวอย่างนั้นว่า "พ่อ ชนที่เหลือ ขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น ทำไมท่านจึงนั่งขาย เงินและทอง".

เศรษฐี. เงินทองที่ไหน แม่.

นางโคตมี. ท่านนั่งจับเงินทองนั้นเอง มิใช่หรือ.

เศรษฐี. จงนำเงินทองนั้นมาก่อน แม่.

นางกอบเต็มมือแล้ว วางไว้ในมือของเศรษฐีนั้น ถ่านนั้นได้กลายเป็นเงินและทองทั้งนั้น.

ลำดับนั้น เศรษฐีถามนางว่า "แม่ เรือนเจ้าอยู่ไหน" เมื่อนาง

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 501

ตอบว่า "ชื่อโน้นจ้ะ" รู้ความที่นางยังไม่มีสามีแล้ว จึงเก็บทรัพย์นำนางมาเพื่อนบุตรของตน ให้รับทรัพย์ ๔๐ โกฏิไว้ ทรัพย์ทั้งหมดได้กลายเป็นเงินและทองดังเดิม.

สมัยอื่นอีกนางตั้งครรภ์ โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางคลอดบุตรแล้ว บุตรนั้นได้ทำกาละแล้วในเวลาเดินได้ นางห้ามพวกชนที่จะนำบุตรนั้นไปเผา เพราะนางไม่เคยเห็นความตาย อุ้มร่างบุตรผู้ตายแล้วด้วยสะเอว ด้วยหวังว่า "จักถามถึงยา เพื่อบุตรเรา" เที่ยวถามไปตามลำดับเรือนว่า "ท่านทั้งหลายรู้จักยาเพื่อบุตรของฉันบ้างไหมหนอ" ทีนั้น คนทั้งหลายพูดกับนางว่า "แม่ เจ้าเป็นบ้าแล้วหรือ เจ้าเที่ยวถามถึงยาเพื่อบุตรที่ตายแล้ว" นางสำคัญว่า จักได้คนผู้รู้จักยาเพื่อบุตรของเรา แน่แท้ จึงเที่ยวไป.

ทีนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนางแล้วคิดว่า ธิดาของเรานี้จักคลอดบุตรคนแรก ไม่เคยเห็นความตาย เราเป็นที่พึ่งของหญิงนี้ย่อมควร" จึงกล่าวว่า "แม่ ฉันไม่รู้จักยา แต่ฉันรู้จักคนผู้รู้ยา".

นางโคตมี. ใครรู้ พ่อ.

บัณฑิต. แม่ พระศาสดาทรงทราบ จงไปทูลถามพระองค์เถิด.

นางกล่าวว่า "พ่อ ฉันจักไป จักทูลถาม พ่อ" ดังนั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้างหนึ่ง ทูลถามว่า "ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพื่อบุตรของหม่อมฉันหรือ พระเจ้าข้า".

พระศาสดา. เออ เรารู้.

นางโคตมี. ได้อะไร จึงควร.

พระศาสดา. ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดสักหยิบมือหนึ่ง ควร.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 502

นางโคตมี. จักได้ พระเจ้าข้า แต่ได้ในเรือนใคร จึงควร.

พระศาสดา. บุตรหรือธิดาไรๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคยตาย ได้ในเรือนของผู้นั้น จึงควร.

นางทูลรับว่า "ดีละ พระเจ้าข้า" แล้วถวายบังคมพระศาสดา อุ้มบุตรผู้ตายแล้วด้วยสะเอวเข้าไปภายในบ้าน ยืนที่ประตูเรือนหลังแรก กล่าวว่า "เมล็ดพันธุ์ผักกาดในเรือนนี้ มีบ้างไหม ทราบว่านั่นเป็นยาเพื่อบุตรของฉัน" เมื่อเขาตอบว่า "มี" จึงกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้น จงให้เถิด" เมื่อคนเหล่านั้นนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาให้ จึงถามว่า "ในเรือนนี้ บุตรหรือธิดาเคยตายไม่มีบ้างหรือ แม่" เมื่อเขาตอบว่า "พูด อะไร แม่ เพราะคนเป็นมีเล็กน้อย คนตายนั้นแหละมีมาก" จึงกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้น จงรับเมล็ดพันธุ์ผักกาดของท่านไปเถิด นั่นไม่เป็นยาเพื่อบุตรของฉัน" แล้วได้ให้คืนไป เที่ยวถามโดยทำนองนี้ ตั้งแต่เรือนหลังต้น นางไม่รับเมล็ดพันธุ์ผักกาดแม้ในเรือนหลังหนึ่ง ในเวลาเย็น คิดว่า "โอ กรรมหนัก เราได้ทำความสำคัญว่า บุตรของเราเท่านั้น ตาย ก็ในบ้านทั้งสิ้น คนที่ตายเท่านั้นมากกว่าคนเป็น" เมื่อนางคิดอยู่อย่างนี้ หัวใจที่อ่อนด้วยความรักบุตร ได้ถึงความแข็งแล้ว นางทิ้งบุตรไว้ในป่า ไปยังสำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน ณ ที่สุดข้างหนึ่ง.

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า "เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาด ประมาณหยิบมือหนึ่งแล้วหรือ".

นางโคตมี. ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะในบ้านทั้งสิ้น คนตายนั้นแหละมากกว่าคนเป็น.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 503

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า "เธอเข้าใจว่า บุตรของเราเท่านั้นตาย ความตายนั่นเป็นธรรมยั่งยืนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยว่า มัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นแลลงในสมุทรคืออบาย ดุจห้วงน้ำใหญ่ฉะนั้น" เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงตรัสพระคาถานี้ว่า.

"มฤตยู ย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์ของเลี้ยง ผู้มีใจซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ไป ดุจห้วงน้ำใหญ่พัดชาวบ้านผู้หลับไหลไปฉะนั้น".

ในกาลจบคาถา นางกิสาโคตมีดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

นางบวชในพุทธศาสนา

ฝ่ายนางกิสาโคตมีนั้นทูลขอบรรพชากะพระศาสดาแล้ว พระศาสดาทรงส่งไปยังสำนักของนางภิกษุณีให้บรรพชาแล้ว นางได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏชื่อว่า กิสาโคตมีเถรี.

วันหนึ่ง นางถึงวาระในโรงอุโบสถ นั่งตามประทีปเห็นเปลวประทีปลุกโพลงขึ้นและหรี่ลง (๑) ได้ถือเป็นอารมณ์ว่า "สัตว์เหล่านั้นก็อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไปดังเปลวประทีป ผู้ถึงพระนิพพาน ไม่ปรากฏอย่างนั้น".

พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นแล ทรงแผ่พระรัศมีไปดังนั่งตรัสตรงหน้านาง ตรัสว่า "อย่างนั้นแหละ โคตมี สัตว์เหล่านั้นย่อมเกิดและดับเหมือนเปลวประทีป ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น


(๑) ภิชฺชนฺติโย.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 504

ความเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียว ของผู้เห็นพระนิพพาน ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานอย่างนั้น" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า.

๑๓. โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อมตํ ปทํ เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปสฺสโต อมตํ ปทํ.

"ก็ผู้ใด ไม่เห็นบทอันไม่ตาย พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นบทอันไม่ตาย ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น".

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อมตํ ปทํ ความว่า อมตมหานิพพาน อันเป็นส่วนที่เว้นจากมรณะ.

คำที่เหลือ เช่นเดียวกับคำมีในก่อนนั้นแล.

ในกาลจบเทศนา นางกิสาโคตมีนั่งอยู่ตามเดิมนั่นแล ดำรงอยู่ในพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ดังนี้แล.

เรื่องนางกิสาโคตมี จบ.