นรกในพระพุทธศาสนา คือนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าใช่ไหมคะ

 
kanchaiy libnoi
วันที่  25 ก.ค. 2564
หมายเลข  34882
อ่าน  672

สงสัยมากเลยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ก.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสวรรค์และนรก เพื่อให้เห็นว่ากรรมมี ผลของกรรมก็ย่อมมี กรรมดีเมื่อได้ทำ ผลก็ย่อมมี กรรมชั่วเมื่อได้ทำลงไป ผลก็ย่อมมีจากผลของการทำชั่ว หากเราจะตัดสินสิ่งที่มีจริง ด้วยการเห็นเท่านั้น หากไม่ได้เห็นก็บอกว่าไม่มีจริง คงตัดสินแค่นั้นไม่ได้ครับ สิ่งที่ไม่เห็นแต่มีจริงก็ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของเหตุ ผล และเมื่อบุคคลเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจึงเชื่อ แต่สำหรับผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมเชื่อในสิ่งที่แม้ไม่ได้เห็น เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลที่เป็นไปตามความเป็นจริง ในโลกมนุษย์ที่เห็นๆ กันอยู่ ทำไม บางคนถึงได้รับความสุข เกิดมาพบสิ่งดีๆ เป็นส่วนมาก ทำไมบางคนถึงได้รับความทุกข์ทรมาน ทางกายมากกว่าคนอื่นทุกอย่างต้องมีเหตุ ไม่ใช่เกิด ขึ้นมาลอยๆ ครับ ในการได้รับสุข ได้รับ ทุกข์ ผู้ทีได้รับความสุขทางกายที่ดี ก็ย่อมเกิดจากเหตุ ที่ดีคือการกระทำ กุศลกรรม ทำสิ่งที่ดี ผู้ที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีทางกาย หรือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ไม่ดี เกิดจากการกระทำที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลกรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของเหตุและผล ทำกรรมดีก็ย่อม ได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับสิ่งที่ไม่ดีครับ

บนโลกเราทำไมบางคนอาจโดนไฟไหม้ตัวเอง แต่ระยะเวลาไม่นาน แล้วจะมีสถานที่อื่นไหมที่ถูกไฟเผาตัวเองเป็นเวลานาน ทำไมคนอื่นไม่ถูกไฟไหม้แต่ทำไมต้องเป็นคนนี้เพราะกรรมที่ไม่ดีของคนนั้นให้ผล แล้วถ้ากรรมที่ไม่ดีที่มีมาก มีกำลังผลก็ย่อมรุนแรงกว่านี้ ย่อมจะมีสถานที่ที่ได้รับการถูกเผาด้วยไฟนานกว่านั้น นี่เราพูดถึงเรื่องของเหตุและผล ว่ากรรมที่ทำที่เป็นกรรมไม่ดี ก็มีตั้งแต่มีกำลังน้อยก็ให้ผลไม่มาก จนถึงกรรมไม่ดีที่มีกำลังมาก การให้ผลก็ย่อมให้ผลในทางที่ไม่ดีมาก อันมีสถานที่ที่สมควรแก่การรับผลในทางที่ไม่ดี มี นรก เป็นต้น สัตว์เดรัจฉานบางประเภทก็ถูกฆ่าอย่างทารุณ แต่ระยะเวลาไม่นาน นี่เราพอจะเห็นได้ เป็นนรกของสัตว์หรือเปล่าซึ่งก็ต้องเป็นเพราะผลของกรรมที่ไม่ดี แต่จะมีสถานที่อื่นไหมที่จะต้องได้รับการฆ่าทรมานมากกว่านั้นเพราะกรรมชั่วที่ทำนั้นมีกำลังมากจึงต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรม ตามกำลังของกรรมชั่วที่ทำไว้

โดยนัยเดียวกับเรื่องของสวรรค์ ในโลกมนุษย์ก็มีผู้ที่ได้รับความสุข ได้พบสิ่งที่ดีนั่นเป็นผลของกุศลกรรมที่เขาทำไว้ให้ผล แต่หากเป็นกุศลกรรมที่มีกำลัง ประณีต ผลของกุศลนั้นก็ย่อมให้สิ่งที่ดีมากกว่านี้ ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี เป็นต้น อันมีสถานที่ที่เหมาะสมกับการได้รับผลของกรรมที่เป็นกรรมที่ดี ประณีต มีกำลัง มีสวรรค์ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องของเหตุและผล เป็นเรื่องของกรรมและผลของกรรม กรรมดีมีกรรมที่ดี ประณีตมากๆ ก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมที่ทำดี กรรมไม่ดีมีจริง และถ้าเป็นกรรมชั่วที่มีกำลังมาก ก็ย่อมมีสถานที่เหมาะสมในการับผลของกรรมที่เป็นกรรมดี มีสวรรค์ เป็นต้น

ส่วนในความเป็นจริงใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นจึงเป็นไปตามความคิดนึก ความเข้าใจของแต่ละบุคคล ไม่เห็นจะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มีไม่ได้แต่การจะรู้ว่ามีหรือไม่มีนั้นจึงเป็นการเห็นด้วยปัญญา เข้าใจตามโดยไม่ได้เชื่อตามตำรา แต่เพราะพิจารณาเหตุผลตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ย่อมเข้าใจความจริงว่า เมื่อเหตุมีผลก็ย่อมมี เมื่อทำกรรมดีที่มีกำลังก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการับผลของกรรม เช่นเดียวกับกรรมชั่วที่มีกำลังเมื่อให้ผลก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมครับ พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องนรก-สวรรค์ เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายเห็นโทษของอกุศลกรรมและเห็นประโยชน์ของกุศลกรรม พระธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องของเหตุผลครับ

ในพระไตรปิฎก ได้มีการซักถามและการพูดคุยในเรื่องของภพภูมิข้างหน้าที่เป็นนรกและสวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่ ในปายาสิราัชัญญสูตร พระเจ้าปายาสิ ไม่เชื่อในเรื่องโลกหน้า ไม่เชื่อในเรื่องนรก สวรรค์ พระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นเลิศในการกล่าวธรรมวิจิตร ได้แก้ข้อสงสัยและความเชื่อผิดของพระเจ้าปายาสิที่เชื่อว่าไม่มีโลกหน้า ไม่มีนรก สวรรค์ซึ่งท่านพระกุมารกัสสปะ ได้แก้ความเข้าใจผิดที่พระเจ้าปายาสิกล่าวแย้งได้เป็นอย่างดีเมื่อได้อ่านแล้วจะทำให้เข้าใจเรื่อง นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่....

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 2 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 3 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 4 [ปายาสิราชัญญสูตร]

ข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต นิทานสูตร ตอนหนึ่งว่า นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย (แดนเกิดแห่งเปรต) หรือ แม้ทุคติอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมปรากฏเพราะกรรมที่เกิดแต่โลภะ เพราะกรรมที่เกิดแต่โทสะ เพราะกรรมที่เกิด แต่โมหะ

พระธรรมเทศนาเกี่ยวกับนรก ที่ควรจะได้ศึกษาเพิ่มเติมจาก พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เทวทูตสูตร มีดังนี้ : พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรกนั้นแล มีสี่มุม สี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของมหานรกนั้นล้วนสำเร็จแล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลง แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์ (๑,๖๐๐ กิโลเมตร) รอบด้าน ประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และมหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝาด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้ พลุ่งจากฝาด้านใต้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์อย่างแรงกล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตาย ตราบใดที่บาปกรรมยังไม่สิ้นสุด”

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 26 ก.ค. 2564

กราบขอบพระคุณอ.เผดิม และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 26 ก.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓- หน้าที่ ๕๓

"ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์ ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์ ผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน"


อกุศลกรรมทั้งหลาย มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น เป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ไปไม่ดี มีแต่เป็นที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมานต่างๆ มีนรก เป็นต้น เท่านั้น ตามความหนักเบาของอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้

ไม่ควรจะเป็นผู้วางใจว่าจะไม่มีวันจะไปสู่อบายภูมิ เพราะเหตุว่า ผู้ที่จะพ้นจากอบายภูมิได้นั้น คือผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ยังมีโอกาสที่จะไปสู่อบายภูมิได้ ถ้าไปเกิดในอบายภูมิแล้ว ย่อมมีแต่ความทุกข์ทรมาน ไม่มีโอกาสที่จะเจริญกุศลประการต่างๆ ไม่มีโอกาสได้อบรมเจริญปัญญาด้วย ซึ่งจะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว ชาตินี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าประมาทมัวเมา ไม่ตั้งอยู่ในกุศลธรรม ชาติต่อไปอาจจะไปสู่ที่ต่ำยิ่งกว่ามนุษย์ก็ได้ อบายภูมิ จึงเป็นภูมิที่ไปได้โดยง่ายมากทีเดียว ไม่มีใครพาไปด้วย นอกจากอกุศลกรรมเท่านั้น

สำหรับ สวรรค์ เป็นหนึ่งในสุคติภูมิ การเกิดในสวรรค์ เป็นผลของกุศลกรรมเท่านั้น ไม่ใช่ผลของอกุศลกรรม

ข้อที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ
เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้ว จึงไม่ควรที่จะประมาท ที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะเหตุว่าความเข้าใจถูกเห็นถูกนี้เอง จะเกื้อกูลให้ความประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจในชีวิตประจำวันดำเนินไปในทางที่ดีงามยิ่งขึ้น อันจะเป็นเครื่องรักษาให้ออกห่างจากการตกไปสู่ภูมิที่ต่ำได้ ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
lokiya
วันที่ 26 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
petsin.90
วันที่ 26 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาค่ะ อ.คำปั่น

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ