๑. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป [๒๐๔]
[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 98
๒๐. มรรควรรควรรณนา
๑. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป [๒๐๔]
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 43]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 98
๒๐. มรรควรรควรรณนา
๑. เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป [๒๐๔]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ๕๐๐ รูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "มคฺคานฏฺงฺคิโก" เป็นต้น.
พวกภิกษุพูดถึงทางที่ตนเที่ยวไป
ดังได้สดับมา ภิกษุเหล่านั้น เมื่อพระศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบทแล้วเสด็จมาสู่กรุงสาวัตถีอีก, นั่งในโรงเป็นที่บำรุง พูดมรรคกถา ปรารภทางที่ตนเที่ยวไปแล้ว โดยนัยเป็นต้นว่า "ทางแห่งบ้านโน้นจากบ้านโน้นสม่ำเสมอ, ทางแห่งบ้านโน้น (จากบ้านโน้น) ไม่สม่ำเสมอ, มีกรวด, ไม่มีกรวด."
อริยมรรคเป็นทางให้พ้นทุกข์
พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของภิกษุเหล่านั้น เสด็จมายังที่นั้นแล้ว ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาปูไว้ ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยกถาอะไรเล่า" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "ด้วยกถาชื่อนี้," ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทางที่พวกเธอพูดถึงนี้ เป็นทางภายนอก ธรรมดาภิกษุทำกรรมในอริยมรรค จึงควร, (ด้วยว่า) ภิกษุเมื่อทำอย่างนั้น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้" ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า:-.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 99
๑. มคฺคานฏฺงฺคิโก เสฏฺโ สจฺจานํ จตุโร ปทา วิราโค เสฏฺโ ธมฺมานํ ทิปทานญฺจ จกฺขุมา เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา. เอตญฺหิ ตุเมฺห ปฏิปชฺชถ มารสฺเสตํ (๑) ปโมหนํ เอตญฺหิ ตุเมฺห ปฏิปนฺนา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถ. อกฺขาโต โว มยา มคฺโค อญฺาย สลฺลสตฺถนํ ตุเมฺหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา.
"บรรดาทางทั้งหลาย ทางมีองค์ ๘ ประเสริฐ, บรรดาสัจจะทั้งหลาย บท ๔ ประเสริฐ, บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะประเสริฐ, บรรดาสัตว์ ๒ เท้า และอรูปธรรมทั้งหลาย พระตถาคตผู้มีจักษุประเสริฐ ทางนี้เท่านั้น เพื่อความหมดจดแห่งทัสสนะ ทางอื่นไม่มี, เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงดำเนินตามทางนี้ เพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลง, ด้วยว่า ท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เราทราบทางเป็นที่สลัดลูกศรแล้ว จึงบอกแก่ท่านทั้งหลาย, ท่านทั้งหลาย พึงทำความเพียรเครื่องเผากิเลส, พระตถาคตทั้งหลาย เป็นแต่ผู้บอก, ชนทั้งหลายผู้ดำเนินไปแล้ว มีปกติเพ่งพินิจ ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกของมาร."
(๑) อรรถกถา มารเสนปฺปโมหนํ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 100
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มคฺคานฏฺงฺคิโก ความว่า ทางทั้งหลาย จงเป็นทางไปด้วยแข้งเป็นต้นก็ตาม เป็นทางทิฏฐิ ๖๒ ก็ตาม บรรดาทางแม้ทั้งหมด ทางมีองค์ ๘ อันทำการละทาง ๘ มีมิจฉาทิฏฐิเป็นต้น ด้วยองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ ยังกิจมีอันกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้น ในสัจจะแม้ทั้งสี่ให้สำเร็จ ประเสริฐคือยอดเยี่ยม.
บาทพระคาถาว่า สจฺจานํ จตุโร ปทา ความว่า บรรดาสัจจะเหล่านี้ แม้ทั้งหมด จงเป็นวจีสัจจะอันมาแล้ว (ในพระบาลี) ว่า "บุคคลพึงกล่าวคำสัตย์, ไม่พึงโกรธ," เป็นต้นก็ตาม, เป็นสมมติสัจจะอันต่าง โดยสัจจะเป็นต้นว่า "เป็นพราหมณ์จริง, เป็นกษัตริย์จริง" ก็ตาม, เป็นทิฏฐิสัจจะ (โดยนัย) ว่า (๑) " สิ่งนี้เท่านั้นจริง, สิ่งอื่นเปล่า," เป็นต้นก็ตาม, เป็นปรมัตถสัจจะ อันต่างโดยสัจจะเป็นต้นว่า "ทุกข์เป็นความจริงอันประเสริฐ" ก็ตาม, บท ๔ มีบทว่า "ทุกข์ เป็นความจริงอันประเสริฐ" เป็นต้น ชื่อว่าประเสริฐ เพราะอรรถว่าทุกข์อันโยคาวจรควรกำหนดรู้ เพราะอรรถว่าสมุทัยอันโยคาวจรควรละ เพราะอรรถว่านิโรธอันโยคาวจร ควรทำให้แจ้ง, เพราะอรรถว่ามรรคมีองค์ ๘ อันโยคาวจรควรเจริญ เพราะอรรถว่าแทงตลอดได้ด้วยญาณอันเดียว (๒) และเพราะอรรถว่าแทงตลอดได้โดยแน่นอน.
บาทพระคาถาว่า วิราโค เสฏฺโ ธมฺมานํ ความว่า บรรดาธรรมทั้งปวง วิราคะ กล่าวคือพระนิพพาน ชื่อว่าประเสริฐ เพราะพระพุทธพจน์ว่า (๓) ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่ปัจจัยปรุงแต่งก็ดี ที่ปัจจัยไม่
(๑) อัง. ทสก. ๒๔/๒๑๐.
(๒) แปลว่า:- เพราะอรรถว่า แทงตลอดได้ในขณะเดียวกันก็มี.
(๓) ขุ. อิติ. ๒๕/๒๙๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 101
ปรุงแต่งก็ดี มีประมาณเพียงไร, บรรดาธรรมเหล่านั้นวิราคะเรากล่าวว่า เป็นยอด."
บาทพระคาถาว่า ทิปทานญฺจ จกฺขุมา ความว่า บรรดาสัตว์ ๒ เท้า อันต่างโดยเทวดาและมนุษย์เป็นต้นแม้ทั้งหมด พระตถาคตผู้มีจักษุ ๕ ประการ (๑) เท่านั้น ประเสริฐ.
จ ศัพท์ มีอันประมวลมาเป็นอรรถ ย่อมประมวลเอาอรูปธรรมทั้งหลายด้วย เพราะฉะนั้น แม้บรรดาอรูปธรรมทั้งหลาย พระตถาคตก็เป็นผู้ประเสริฐ คือสูงสุด.
บาทพระคาถาว่า ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา ความว่า ทางใดที่เรา (ตถาคต) กล่าวว่า "ประเสริฐ" ทางนั่นเท่านั้น เพื่อความหมดจดแห่งทัสสนะคือมรรคและผล ทางอื่นย่อมไม่มี.
บทว่า เอตํ หิ ความว่า เพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลายจงดำเนินทางนั้น นั่นแหละ.
ก็บทว่า มารเสนปฺปโมหนํ นั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสว่า "เป็นที่หลงแห่งมาร คือเป็นที่ลวงแห่งมาร."
บทว่า ทุกฺขสฺส ความว่า ท่านทั้งหลายจักทำที่สุด คือเขตแดนแห่งความทุกข์ในวัฏฏะแม้ทั้งสิ้นได้.
บทว่า สลฺลสตฺถนํ เป็นต้น ความว่า เราเว้นจากกิจทั้งหลาย มีการได้ฟัง (จากผู้อื่น) เป็นต้น ทราบทางนั่น อันเป็นที่สลัดออกคือย่ำยี ได้แก่ถอนออกซึ่งลูกศรทั้งหลาย มีลูกศรคือราคะเป็นต้น โดยประจักษ์แก่ตนแล้วทีเดียว จึงบอกทางนี้, บัดนี้ท่านทั้งหลายพึงทำ ได้แก่ควรทำความเพียรคือสัมมัปปธาน อันถึงซึ่งการนับว่าอาตัปปะ เพราะเป็นเครื่อง
(๑) มังสจักขุ จักษุคือดวงตา ๑ ทิพพจักขุ จักษุทิพย์ ๑ ปัญญาจักขุ จักษุคือปัญญา ๑ พุทธจักขุ จักษุแห่งพระพุทธเจ้า ๑ สมันตจักขุ จักษุรอบคอบ ๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 102
เผากิเลสทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่การบรรลุทางนั้น. เพราะพระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้บอกอย่างเดียว, เพราะฉะนั้น ชนทั้งหลายผู้ปฏิบัติแล้วด้วยสามารถแห่งทางที่พระตถาคตเจ้าเหล่านั้นตรัสบอกแล้ว มีปกติเพ่งด้วยฌาน ๒ อย่าง ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกแห่งมารกล่าวคือวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓.
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นดำรงอยู่แล้วในพระอรหัตตผล. พระธรรมเทศนาได้สำเร็จประโยชน์แม้แก่บุคคลผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุ ๕๐๐ รูป จบ.