พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. เรื่องมาร [๒๓๙]

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 ก.ค. 2564
หมายเลข  35044
อ่าน  427

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 260

๘. เรื่องมาร [๒๓๙]


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 43]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 260

๘. เรื่องมาร [๒๓๙]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ กุฎีซึ่งตั้งอยู่ในป่าที่ข้างป่าหิมพานต์ ทรงปรารภมาร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อตฺถมฺหิ" เป็นต้น.

มารทูลให้พระศาสดาทรงครองราชสมบัติ

ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระราชาทั้งหลายทรงครอบครองราชสมบัติเบียดเบียนเหล่ามนุษย์. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นมนุษย์ทั้งหลายถูกเบียดเบียนด้วยการลงอาชญา ในรัชสมัยของพระราชา ผู้มิได้ตั้งอยู่ในธรรม ทรงดำริด้วยสามารถแห่งความกรุณาอย่างนี้ว่า "เราอาจเพื่อจะครอบครองราชสมบัติโดยธรรม ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ชนะเอง ไม่ให้ผู้อื่นชนะ ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ให้ผู้อื่นเศร้าโศกหรือหนอ"

มารผู้มีบาปทราบพระปริวิตกข้อนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงดำริว่า "พระสมณโคดมทรงดำริว่า เราอาจเพื่อครอบครองราชสมบัติหรือหนอ บัดนี้ พระสมณโคดมนั้น จักเป็นผู้ใคร่เพื่อครอบครองราชสมบัติ, ก็ชื่อว่าราชสมบัตินี้ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท, เมื่อพระสมณโคดมครอบครองราชสมบัตินั้นอยู่, เราอาจเพื่อได้โอกาส เราจะไป, จักยังความอุตสาหะให้เกิดขึ้นแก่พระองค์" แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดากราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงครองราชสมบัติ, ขอพระสุคตเจ้าจงทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ไม่เบียดเบียนเอง ไม่ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ไม่ชนะเอง ไม่ให้ผู้อื่นชนะ ไม่เศร้าโศกเอง ไม่ให้ผู้อื่นเศร้าโศก."

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 261

พระศาสดาตรัสถามเหตุที่มารทูล

ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะมารนั้นว่า "มารผู้มีบาป ก็ท่านเห็นอะไรของเรา ผู้ซึ่งท่านกล่าวอย่างนี้" เมื่อมารกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าแล ทรงอบรมอิทธิบาททั้ง ๔ ดีแล้ว, ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงจำนงหวัง พึงทรงน้อมนึกถึงเขาหลวงหิมวันต์ว่า "จงเป็นทอง" และเขาหลวงที่ทรงน้อมนึกถึงนั้น พึงเป็นทองทีเดียว, แม้ข้าพระองค์จักทำกิจที่ควรทำด้วยทรัพย์ เพื่อพระองค์, เพราะเหตุนี้ พระองค์จักทรงครอบครองราชสมบัติโดยธรรม" ดังนี้แล้ว ทรงยังมารให้สังเวชด้วยคาถา (๑) เหล่านี้ว่า:-

"บรรพต พึงเป็นของล้วนด้วยทองคำที่สุกปลั่ง, แม้ความที่บรรพตนั้น (ทวีขึ้น) เป็น ๒ เท่า (๒) ก็ยังไม่เพียงพอแก่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลทราบดังนี้แล้ว พึงประพฤติแต่พอสม. ผู้เกิดมาคนใด ได้เห็นทุกข์ ว่ามีกามใดเป็นแดนมอบให้ (เป็นเหตุ) , ไฉนผู้ที่เกิดมาคนนั้น จะพึงน้อมไปในกามนั้นได้เล่า ผู้ที่เกิดมารู้จักอุปธิ (สภาพเข้าไปทรงไว้) ว่า เป็นธรรมเครื่องข้อง ในโลกแล้ว พึงศึกษาเพื่อนำอุปธินั้นนั่นแล ออกเสีย."

แล้วตรัสว่า "มารผู้ลามก โอวาทของท่านเป็นอย่างอื่นทีเดียวแล, ของเราก็เป็นอย่างอื่น (คนละอย่างกัน), ขึ้นชื่อว่าการปรึกษาธรรมกับท่าน


(๑) สํ. ส. ๑๕/๑๗๐.

(๒) แม้ประชุมแห่งบรรพต ๒ ลูกก็ว่า.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 262

ย่อมไม่มี, เพราะเราย่อมสอนอย่างนี้" แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ ว่า:-

๘. อตฺถมฺหิ ชาตมฺหิ สุขา สหายา ตุฏฺี สุขา ยา อิตรีตเรน ปุญฺํ สุขํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ สพฺพสฺส ทุกฺขสฺส สุขํ ปหานํ.

สุขา มตฺเตยฺยตา โลเก อโถ เปตฺเตยฺยตา สุขา

สุขา สามญฺตา โลเก อโถ พฺรหฺมญฺตา สุขา

สุขํ ยาว ชรา สีลํ สุขา สทฺธา ปติฏฺิตา

สุโข ปญฺาย ปฏิลาโภ ปานานํ อกรณํ สุขํ.

"เมื่อความต้องการเกิดขึ้น สหายทั้งหลายนำความสุขมาให้, ความยินดีด้วยปัจจัยนอกนี้ๆ (ตามมีตามได้) นำความสุขมาให้, บุญนำความสุขมาให้ ในขณะสิ้นชีวิต, การละทุกข์ทั้งปวงเสียได้ นำความสุขมาให้. ความเป็นผู้เกื้อกูลแก่มารดา นำความสุขมาให้ในโลก, อนึ่ง ความเป็นผู้เกื้อกูลแก่บิดา นำความสุขมาให้. ความเป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะ นำความสุขมาให้ ในโลก, อนึ่ง ความเป็นผู้เกื้อกูลแก่พราหมณ์ นำความสุขมาให้. ศีลนำความสุขมาให้ ตราบเท่าชรา, ศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้ว นำความสุขมาให้, การได้เฉพาะซึ่งปัญญา นำความสุขมาให้, การไม่ทำบาปทั้งหลาย นำความสุขมาให้."

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 263

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถมฺหิ ความว่า ก็เมื่อกิจ มีการทำจีวรเป็นต้นก็ดี มีการระงับอธิกรณ์เป็นต้นก็ดี บังเกิดขึ้นแก่บรรพชิต บ้าง. (หรือ) เมื่อกิจ มีกสิกรรมเป็นต้นก็ดี มีการถูกเหล่าชนผู้อาศัย ร่วมด้วยฝักฝ่ายที่มีกำลังย่ำยีก็ดี บังเกิดขึ้นแก่คฤหัสถ์บ้าง, สหายเหล่าใด สามารถเพื่อยังกิจนั้นให้สำเร็จได้ หรือให้สงบได้, สหายผู้เห็นปานนั้น นำความสุขมาให้.

สองบทว่า ตุฏฺี สุขา ความว่า ก็แม้คฤหัสถ์ทั้งหลาย ผู้ไม่สันโดษแล้วด้วยของแห่งตน จึงปรารภทุจริตกรรมมีการตัดที่ต่อเป็นต้น, แม้บรรพชิตทั้งหลายผู้ไม่สันโดษแล้วด้วยปัจจัยของตน จึงปรารภอเนสนา มีประการต่างๆ , เพราะเหตุนี้ คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งสองนั้น จึงไม่ประสบความสุขเลย เพราะฉะนั้น ความสันโดษด้วยของมีอยู่แห่งตน นอกนี้ๆ คือเล็กน้อยหรือมากมายนี่เอง นำความสุขมาให้.

บทว่า ปุญฺญํ ความว่า ก็บุญกรรมที่เริ่มทำไว้ตามอัธยาศัยอย่างไร นั่นแล นำความสุขมาให้ในมรณกาล.

บทว่า สพฺพสฺส ความว่า อนึ่ง พระอรหัต กล่าวคือการละวัฏทุกข์ทั้งสิ้นได้นั่นแล ชื่อว่านำความสุขมาให้ในโลกนี้.

การปฏิบัติชอบในมารดา ชื่อว่า มตฺเตยฺยตา. การปฏิบัติชอบในบิดา ชื่อว่า เปตฺเตยฺยตา การทะนุบำรุงมารดาบิดานี่แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยบทแม้ทั้งสอง. อันที่จริง มารดาและบิดาทราบว่า บุตรทั้งหลายไม่บำรุงแล้ว ย่อมฝังทรัพย์อันเป็นของมีอยู่แห่งตนเสียในแผ่นดินบ้าง ย่อมสละให้แก่ชนเหล่าอื่นบ้าง, อนึ่ง การนินทาย่อมเป็นไป

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 264

แก่บุตรเหล่านั้นว่า "คนพวกนี้ไม่ทะนุบำรุงมารดาบิดา" บุตรเหล่านั้น ย่อมบังเกิดแม้ในคูถนรก เพราะกายแตกทำลายไป ส่วนบุตรเหล่าใด ทะนุบำรุงมารดาบิดาโดยเคารพ, บุตรเหล่านั้นย่อมได้รับทรัพย์อันเป็นของมีอยู่ของมารดาบิดาเหล่านั้น ทั้งย่อมได้ซึ่งการสรรเสริญ, เพราะร่างกายแตกทำลายไป ย่อมบังเกิดในสวรรค์ เพราะฉะนั้น แม้ทั้งสองข้อนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "นำความสุขมาให้" ดังนี้.

การปฏิบัติชอบในบรรพชิตทั้งหลาย ชื่อว่า สามญฺตา. การ ปฏิบัติชอบในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้มีบาปอันลอยเสียแล้วเท่านั้น ชื่อว่า พฺรหฺมญฺตา. ความเป็นคือการบำรุงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธสาวก ทั้งหลายเหล่านั้นด้วยปัจจัย ๔ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแม้ด้วยบททั้งสอง. แม้ข้อนี้ พระองค์ก็ตรัสว่า ชื่อว่านำความสุขมาให้ในโลก (นี้).

บทว่า สีลํ เป็นต้น ความว่า แท้จริง เครื่องอลังการทั้งหลาย มีแก้วมณี ตุ้มหู และผ้าแดงเป็นต้น ย่อมงดงามสำหรับชนผู้ตั้งอยู่แล้วในวัยนั้นๆ เท่านั้น, เครื่องอลังการของคนหนุ่ม จะงดงามในกาลแก่ หรือเครื่องอลังการของคนแก่ จะงดงามในกาลหนุ่ม ก็หาไม่, อนึ่ง (เครื่องอลังการที่ตกแต่งไม่ถูกกาลนี้) ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายถ่ายเดียว เพราะให้การครหาบังเกิดขึ้นว่า "คนนั้นชะรอยจะเป็นบ้า" ส่วนประเภทแห่งศีล มีศีล ๕ และศีล ๑๐ เป็นต้น ย่อมงดงามในทุกๆ วัย ทั้งแก่คนหนุ่มทั้งแก่คนแก่ทีเดียว, ย่อมนำมาแต่ความโสมนัสถ่ายเดียว เพราะให้ความสรรเสริญบังเกิดขึ้นว่า "โอ ท่านผู้นี้มีศีลหนอ" เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "สุขํ ยาว ชรา สีลํ"

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 265

สองบทว่า สทฺธา ปติฏฺิตา ความว่า ศรัทธาที่เป็นโลกิยะและโลกุตระแม้ทั้งสองอย่าง เป็นคุณชาติไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นแล้วเทียว นำความสุขมาให้.

บาทพระคาถาว่า สุโข ปญฺาปฏิลาโภ ความว่า การได้เฉพาะปัญญาแม้ที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ นำความสุขมาให้.

สองบทว่า ปาปานํ อกรณํ ความว่า อนึ่ง การไม่กระทำบาปทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งเสตุฆาตะ (คืออริยมรรค) นำความสุขมาให้ในโลกนี้.

ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดาเป็นอันมาก ดังนี้แล.

เรื่องมาร จบ.

นาควรรควรรณนา จบ.

วรรคที่ ๒๓ จบ.