๕. วงศ์พระสุมนพุทธเจ้าที่ ๔
[เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 357
๕. วงศ์พระสุมนพุทธเจ้าที่ ๔
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุมนพุทธเจ้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 73]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 357
๕. วงศ์พระสุมนพุทธเจ้าที่ ๔
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุมนพุทธเจ้า
[๕] ต่อจากสมัยของพระมงคลพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระนามว่า สุมนะ ผู้นำโลก ผู้ไม่มีผู้เสมอ ด้วยธรรมทั้งปวง ผู้สูงสุดแห่งสรรพสัตว์.
ครั้งนั้น ทรงลั่นอมตเภรี คือคำสั่งสอนของ พระชินพุทธเจ้ามีองค์ ๙ ซึ่งประกอบพร้อมด้วยสังข์ คือธรรม ณ กรุงเมขละราชธานี.
พระศาสดาพระองค์นั้น ทรงกำจัดกิเลสทั้งหลาย แล้วทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ทรงสร้าง นคร คือพระสัทธรรมปุระ อันประเสริฐสูงสุด.
พระองค์ทรงสร้างถนนใหญ่ ที่ไม่ขาดไม่คดแต่ ตรงใหญ่กว้าง คือสติปัฏฐานอันประเสริฐสูงสุด.
ทรงคลี่วางสามัญผล ๔ ปฏิสัมภิทา อภิญญา ๖ และสมาบัติ ๘ ไว้ ณ ถนนนั้น.
ชนเหล่าใด ไม่ประมาท ไม่มีตะปูตรึงใจ ประกอบด้วยหิริและวีริยะ ชนเหล่านั้นๆ ย่อมยึดไว้ได้ ซึ่งคุณประเสริฐเหล่านี้ ตามสบาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 358
พระศาสดา เมื่อทรงยกชนเป็นอันมากขึ้นด้วย การประกอบนั้น อย่างนี้นี่แล ก็ทรงสัตว์แสนโกฏิ ให้ตรัสรู้ เป็นครั้งที่ ๑.
สมัยใด พระมหาวีระ ทรงสั่งสอนหมู่เดียรถีย์ สมัยนั้น สัตว์พันโกฏิ ก็ตรัสรู้ ในการแสดงธรรม ครั้งที่ ๒.
สมัยใด เทวดาและมนุษย์ พร้อมเพรียงเป็น น้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทูลถามนิโรธปัญหาและข้อสงสัย ทางใจ.
แม้สมัยนั้น สัตว์เก่าหมื่นโกฏิ ก็ได้ตรัสรู้ครั้ง ที่ ๓ ในการแสดงธรรมในการตอบนิโรธปัญหา.
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี สันนิบาตการประชุมพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิต สงบ ผู้คงที่ ๓ ครั้ง.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่จำพรรษาแล้ว เมื่อท่านประกาศปวารณา พระตถาคตก็ทรงปวารณา พรรษา พร้อมด้วยภิกษุแสนโกฏิ.
ต่อจากสันนิบาต การประชุมครั้งที่ ๑ นั้น ใน การประชุมภิกษุเก้าหมื่นโกฎิ ณ ภูเขาทองไร้มลทิน เป็นการประชุม ครั้งที่ ๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 359
สมัยที่ท้าวสักกะเทวราช เสด็จเข้าไปเพื่อเฝ้า พระพุทธเจ้า เทวดาและมนุษย์แปดหมื่นโกฏิประชุม กัน เป็นครั้งที่ ๓.
สมัยนั้น เราเป็นพญานาคชื่ออตุละ มีฤทธิ์มาก สั่งสมกุศลไว้มาก.
ครั้งนั้น เราออกจากพิภพนาค พร้อมด้วยเหล่า ญาตินาคทั้งหลาย บำรุงบำเรอพระชินพุทธเจ้าด้วย ดนตรีทิพย์.
เราเลี้ยงดูภิกษุแสนโกฏิ ให้อิ่มหนำสำราญด้วย ข้าวน้ำ ถวายคู่ผ้ารูปละคู่ แล้วถึงพระองค์เป็นสรณะ.
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้นำโลก พระองค์นั้น ทรง พยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หา ประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัศดุ์ อันน่ารื่นรมย์แล้ว ตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ รับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้านั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา เสด็จเข้าไปที่โคนโพธิพฤกษ์โดยทางอันดี ที่เขาจัดไว้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 360
ต่อนั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ โพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม จักตรัสรู้ ณ โพธิพฤกษ์ ชื่ออัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.
ท่านผู้นี้จักมีพระชนนี พระนามว่า มายา พระชนก พระนามว่า สุทโธทนะ ท่านผู้นี้ชื่อโคตมะ.
จักมีอัครสาวก ชื่อพระโกลิตะ พระอุปติสสะผู้ ไม่มีอาสวะปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น พุทธ- อุปัฏฐาก ชื่อว่าอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และพระอุบล วรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น.
โพธิพฤกษ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า อัสสัตถะ ต้นโพธิใบ อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะและหัตถะอาฬวกะ อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตาและอุตตรา. พระโคดมผู้พระยศ พระองค์ นั้น มีพระชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดา ฟังพระดำรัสนี้ของพระสุมน พุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่แล้ว ก็ ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุพร้อมทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 361
ผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสิ้น ของพระโลกนาถ พระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเราจักอยู่ต่อหน้าของ ท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้าง หน้า ก็ยังถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ได้ ฉันใด
พวกเราทุกคน ผิว่า จะละพ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้ไปเสีย ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ บริบูรณ์.
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี พระนครชื่อว่า เมขละ พระชนกพระนามว่า พระเจ้า สุทัตตะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสิริมา.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าหมื่นปี มี ปราสาทยอดเยี่ยม ๓ ปราสาท ชื่อ จันทะ สุจันทะ และวฏังสะ.
ทรงมีพระสนมนารี แต่งกายงาม หกหมื่นสาม พันนาง มีพระมเหสีพระนามว่า วฏังสกี มีพระโอรส พระนามว่า อนูปมะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 362
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออก อภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ช้าง ทรงตั้งความเพียร ๑๐ เดือนเต็ม.
พระมหาวีระ สุมนะ ผู้นำโลก ผู้สงบ อันท้าว มหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงเมขละ ราชธานี.
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี อัครสาวก ชื่อว่า พระสรณะ และพระภาวิตัตตะ พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอุเทน.
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระโสณา และพระอุปโสณา พระพุทธเจ้าผู้เสมอกับ พระพุทธเจ้าที่ไม่มี ผู้เสมอพระองค์นั้น ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ชื่อว่า ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง).
ทรงมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะและสรณะ มี อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า จาลา และ อุปจาลา.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยส่วนสูง ทรงสูง เก้าสิบศอก พระรูปพระโฉมงดงามเสมือนรูปบูชาทอง หมื่นโลกธาตุก็เจิดจ้า.
ในยุคนั้น อายุมนุษย์เก้าหมื่นปี พระองค์เมื่อ ทรงพระชนม์ยืนเพียงนั้น ก็ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 363
พระสัมพุทธเจ้า ทรงยังคนที่ควรข้ามให้ข้าม โอฆสงสาร ทรงยังชนที่ควรตรัสรู้ให้ตรัสรู้ แล้วก็ เสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนเดือนดับ.
ภิกษุขีณาสพเหล่านั้น พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้ เสมือนพระองค์นั้น มียศยิ่งใหญ่ แสดงรัศมีที่ไม่มี อะไรเปรียบได้ ยังพากันนิพพานทั้งนั้น.
พระญาณ ที่ไม่มีอะไรวัดได้นั้น รัตนะ ที่ไม่มี อะไรชั่งได้เหล่านั้น ทั้งนั้น ก็อันตรธานไปหมดสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงยศ เสด็จดับขันธปรินิพ- พาน ณ พระวิหารอังคาราม พระชินสถูปของพระองค์ ณ พระวิหารนั้นนั่นแล สูง ๔ โยชน์.
จบวงศ์พระสุมนพุทธเจ้า ที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 364
พรรณนา วงศ์พระสุมนพุทธเจ้าที่ ๔
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เสด็จดับขันธปรินิพพานทำหมื่น โลกธาตุให้มืดลงพร้อมกัน ด้วยเหตุอย่างเดียวอย่างนี้แล้ว ต่อมาจากสมัยของ พระองค์ เมื่อมนุษย์ทั้งหลายซึ่งมีอายุเก้าหมื่นปี แล้วก็ลดลงโดยลำดับจน เกิดมามีอายุเพียงสิบปี แล้วเพิ่มขึ้นอีก จนมีอายุถึงอสงไขยปี แล้วลดลงอีก จนมีอายุเก้าหมื่นปี พระโพธิสัตว์พระนามว่า สุมนะ ทรงบำเพ็ญบารมี บังเกิด ในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้น ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมา เทวี ในราชสกุลของพระเจ้าสุทัตตะ ณ เมขลนคร เรื่องปาฏิหาริย์มีนัยที่เคย กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
พระโพธิสัตว์นั้น เจริญวัยมาโดยลำดับ อันเหล่าสตรีฝ่ายนาฏกะ [ฟ้อน, ขับ, บรรเลง] จำนวนหกหมื่นสามแสนนางบำเรออยู่ ณ ปราสาท ๓ หลัง ชื่อ๑ สิริวัฒนะ โลมวัฒนะและอิทธิวัฒนะ อันเหล่ายุวนารีผู้กล้าหาญ ปรนนิบัติอยู่ เสวยสุขตามวิสัย เสมือนสุขทิพย์ ประหนึ่งเทพกุมารี ทรงให้ กำเนิดพระโอรสที่ไม่มีผู้เปรียบ พระนามว่า อนูปมะ แก่พระนางวฏังสิกาเทวี ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ ด้วยยานคือช้าง ทรงผนวชแล้ว ส่วนชนสามสิบโกฏิ ก็บวชตามเสด็จพระโพธิสัตว์ ซึ่งทรงผนวชอยู่.
พระองค์ อันชนสามสิบโกฏินั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน ณ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ เสวยข้าวมธุปายาส อันมีโอชะทิพย์ที่เทวดา ใส่ ที่ นางอนุปมา ธิดาของ อโนมเศรษฐี ใน อโนมนิคม ถวายแล้ว ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่ อนุปมาชีวก ถวาย
๑. ตามบาลีว่า ชื่อ จันทะ สุจันทะ และวฏังสะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 365
เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อ นาคะ ต้นกากะทิง ทรงทำประทักษิณต้นนาคะ โพธิ์นั้น ทรงเอาหญ้า ๘ กำปูเป็นสันถัดหญ้ากว้าง ๓๐ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ เหนือสันถัตหญ้านั้น. ต่อนั้น ก็ทรงกำจัดกองกำลังมาร แทงตลอดพระสัพ- พัญญุตญาณ ทรงเปล่งอุทานว่า อเนกชาติสํสารํฯ เปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ดังนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ถัดสมัยของพระมงคลพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระนามว่า สุมนะ ทรงเป็นผู้นำโลก ไม่มีผู้เสมอด้วย ธรรมทั้งปวง สูงสุดแห่งสัตว์ทั้งปวง.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มงฺคลสฺส อปเรน ความว่า ต่อมาภาย หลังสมัยของพระผู้มีพระภาคมงคลพุทธเจ้า. บทว่า สพฺพธมฺเมหิ อสโม ได้แก่ ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เสมือน ด้วยธรรมคือศีล สมาธิ ปัญญา แม้ทุกอย่าง.
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคสุมนพุทธเจ้า ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์ ทรงรับคำทูลอาราธนาของพรหมเพื่อแสดงธรรม ทรง ใคร่ครวญว่า จะแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงเห็นว่า ชนที่บวชกับพระองค์สามสิบโกฏิ พระกนิษฐภาดาต่างพระมารดาของพระองค์ พระนามว่า สรณกุมาร และบุตรปุโรหิต ชื่อว่า ภาวิตัตตมาณพ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย อุปนิสัย ทรงพระดำริว่า จะทรงแสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้นก่อน จึงเสด็จ โดยทางนภากาศ ลงที่พระราชอุทยาน เมขละ ทรงส่งพนักงานเฝ้าพระราช อุทยานไปเรียก สรณกุมาร พระกนิษฐภาดาของพระองค์และภาวิตัตตมาณพ บุตรปุโรหิต แล้วทรงยังสัตว์แสนโกฏิอย่างนี้ คือ บริวารของคนเหล่านั้นสาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 366
สิบเจ็ดโกฏิ ชนที่บวชกับพระองค์สามสิบโกฏิ และเทวดาและมนุษย์อื่นๆ มาก โกฏิ ให้ดื่มอมฤตธรรมด้วยทรงประกาศพระธรรมจักร ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้งนั้น พระองค์ทรงลั่นอมตเภรี คือ คำสั่ง สอนของพระชินเจ้ามีองค์ ๙ อันประกอบด้วยสังข์คือ ธรรม ณ นครเมขละ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมตเภรึ ได้แก่ เภรีเพื่อบรรลุอมตะ เพื่อบรรลุพระนิพพาน. บทว่า อาหนิ ได้แก่ ประโคม อธิบายว่า แสดงธรรม ชื่อว่า อมตเภรีนี้นั้น ก็คือพุทธวจนะมีองค์ ๙ มีอมตะเป็นที่สุด ด้วยเหตุนั้น นั่นแล จึงตรัสว่า คือคำสั่งสอนของพระชินเจ้า อันประกอบด้วยสังข์คือธรรม ในคำนั้น. บทว่า ธมฺมสงฺขสมายุตฺตํ ได้แก่ อันประกอบพร้อมด้วยสังข์ อันประเสริฐ คือ กถาว่าด้วยสัจธรรม ๔.
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรงบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อ ทรงปฏิบัติปฏิปทาอันสมควรแก่ปฏิญญา ก็ได้ทรงสร้างอมตนครอันประเสริฐ มีศีลเป็นปราการอันไพบูลย์ มีสมาธิเป็นดูล้อม มีวิปัสสนาญาณเป็นทวาร มีสติ สัมปชัญญะเป็นบานประตู ประดับด้วยมณฑปคือสมาบัติเป็นต้น เกลื่อนกล่น ด้วยชน เป็นฝักฝ่ายแห่งโพธิญาณ เพื่อป้องกันรัตนะคือ กุศล อันเหล่าโจรคือ กิเลสทั้งหลาย คอยปล้นสดมภ์ เพื่อประโยชน์แก่การเปลื้องมหาชนให้พ้น เครื่องพันธนาการ คือภพ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระศาสดาพระองค์นั้น ทรงชนะกิเลสทั้งหลาย แล้ว ทรงบรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด ทรงสร้าง นคร ชื่อสัทธัมมปุระ อันประเสริฐสูงสุด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 367
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิชฺชินิตฺวา ได้แก่ ชนะได้เด็ดขาด. อธิบายว่า ทรงกำจัดกิเลสมาร และเทวบุตรมาร. บทว่า โส ได้แก่ พระผู้มี พระภาคเจ้าสุมนะ พระองค์นั้น. ปาฐะว่า วิชินิตฺวา กิเลเสหิ ดังนี้ก็มี. หิ อักษรเป็นนิบาต ใช้ในอรรถเพียงบทบูรณ์. บทว่า ปตฺวา แปลว่า บรรลุ แล้ว. ปาฐะว่า ปตฺโต ดังนี้ก็มี. บทว่า นครํ ได้แก่ นครคือพระนิพพาน. บทว่า สทฺธมฺมปุรวรุตฺตมํ ได้แก่ สูงสุด ประเสริฐสุด เป็นประธาน บรรดา นครอันประเสริฐทั้งหลาย กล่าวคือสัทธรรมนคร. อีกนัยหนึ่ง บรรดานคร อันประเสริฐที่สำเร็จด้วยสัทธรรม นิพพานนครสูงสุด จึงชื่อว่าสัทธัมมปุรวรุตตมะนคร สูงสุดในบรรดาสัทธรรมนครอันประเสริฐ ในอรรถวิกัปต้น พึง เห็นคำว่า นคร ว่าเป็นไวพจน์ของพระนิพพานนั้นเท่านั้น. พระนิพพานเป็น ที่ตั้งแห่งพระอริยบุคคลทั้งหลายที่เป็นพระเสกขะและอเสกขะ ผู้แทงตลอด สภาวธรรมแล้ว ท่านเรียกว่า นคร เพราะอรรถว่าเป็นโคจรและเป็นที่อยู่ ก็ใน สัทธรรมนครอันประเสริฐนั้น พระศาสดาพระองค์นั้น ทรงสร้างถนนใหญ่ ที่สำเร็จด้วยสติปัฏฐาน อันไม่ขาด ไม่คด แต่ตรง ทั้งหนาทั้งกว้างไว้ ด้วย เหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระองค์ ทรงสร้างถนนใหญ่ อันไม่ขาดไม่คด แต่ตรง ที่หนาและกว้าง คือสติปัฏฐานอันประเสริฐ สูงสุด.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิรนฺตรํ ได้แก่ ชื่อว่า ไม่ขาดเพราะ กุศลชวนจิตสัญจรไปไม่ว่างเว้น. บทว่า อกุฏิลํ ได้แก่ ชื่อว่าไม่คด เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 368
เว้นจากโทษที่ทำให้คด. บทว่า อุชุํ ได้แก่ ชื่อว่าตรง เพราะไม่คด คำนี้ เป็นคำแสดงความของบทต้น. บทว่า วิปุลวิตฺถตํ ได้แก่ ชื่อว่าหนาและ กว้าง เพราะยาวและกว้าง ความที่สติปัฏฐานหนาและกว้าง พึงเห็นได้โดย สติปัฏฐานที่เป็นโลกิยและโลกุตระ. บทว่า มหาวีถึ ได้แก่ หนทางใหญ่. บทว่า สติปฏฺานวรุตฺตมํ ความว่า สติปัฏฐานนั้นด้วย สูงสุดในธรรม อันประเสริฐด้วย เหตุนั้น จึงชื่อว่า สติปัฏฐานสูงสุดในธรรมอันประเสริฐ. อีกนัยหนึ่ง ถนนสูงสุด ที่สำเร็จด้วยสติปัฏฐานอันประเสริฐ.
บัดนี้ ทรงปูแผ่รัตนะมีค่ามากเหล่านั้น คือ สามัญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ สมาบัติ ๘ ลงบนตลาดธรรมทั้งสองข้าง ณ ถนนสติปัฏฐานนั้น แห่งนิพพานมหานครนั้น ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระองค์ทรงปูแผ่สามัญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ สมาบัติ ๘ ณ ถนนนั้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงอุบายเครื่องยึดถือเอาซึ่ง รัตนะเหล่านั้นว่า ก็กุลบุตรเหล่าใด ไม่ประมาท มีสติ เป็นบัณฑิต ประกอบ พร้อมด้วยหิริโอตตัปปะและวิริยะเป็นต้น กุลบุตรเหล่านั้น ย่อมยึดไว้ได้ซึ่ง สินค้า คือรัตนะเหล่านี้ ดังนี้ จึงตรัสว่า
กุลบุตรเหล่าใดไม่ประมาท ไม่มีตะปูเครื่องตรึง ใจไว้ ประกอบด้วยหิริและวิริยะ กุลบุตรเหล่านั้นๆ ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งคุณธรรมอันประเสริฐเหล่านี้ตาม สบาย.
แก้อรรถ
ในคาถานั้น ศัพท์ว่า เย เป็นอุเทศที่แสดงความไม่แน่นอน. บทว่า อปฺปมตฺตา ได้แก่ ประกอบพร้อมแล้วด้วยความไม่ประมาท ซึ่งเป็นปฏิปักษ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 369
ต่อความประมาท อันมีลักษณะคือความไม่ปราศจากสติ. บทว่า อขิลา ได้แก่ ปราศจากตะปูตรึงใจ ๕ ประการ. บทว่า หิริวีริเยหุปาคตา ความว่า ชื่อว่า หิริ เพราะละอายแต่ทุจริตมีกายทุจริตเป็นต้น คำนี้เป็นชื่อของความ ละอาย. ความเป็นแห่งผู้กล้าหาญ ชื่อว่า วีริยะ. วีริยะนั้น มีลักษณะเป็น ความขมักเขม้น ภัพพบุคคลทั้งหลายเข้าถึงแล้ว ประกอบพร้อมแล้วด้วยหิริ และวีริยะเหล่านั้น. บทว่า เต นี้ เป็นอุเทศที่แสดงความแน่นอน แห่งอุเทศ ที่แสดงความไม่แน่นอน ในบทก่อน. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า เต ความว่า กุลบุตรเหล่านั้นย่อมยึดไว้ได้ ย่อมได้ ย่อมประสบรัตนะวิเศษคือคุณดังกล่าว แล้ว ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะ ทรงทำความรู้แจ้งทางใจแล้ว ทรงลั่นธรรม เภรีทรงสร้างธรรมนครไว้หมด จึงทรงยังสัตว์แสนโกฏิให้ตรัสรู้ก่อน โดยนัยว่า ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
พระศาสดาทรงยกมหาชนขึ้น ด้วยการประกอบ นั้นอย่างนี้ จึงทรงยังสัตว์แสนโกฏิ ให้ตรัสรู้ก่อน.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทฺธรนฺโต ได้แก่ ทรงยกขึ้นจากสาคร คือสังสารวัฏฏ์ ด้วยนาวาคืออริยมรรค. บทว่า โกฏิสตสหสฺสิโย แปลว่า แสนโกฏิ. ทรงแสดงถ้อยคำ โดยปริยายที่แปลกออกไป.
ก็สมัยใด พระสุมนพุทธเจ้าผู้นำโลก ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ข่มความ มัวเมาและมานะของเดียรถีย์ ณ โคนต้นมะม่วง กรุง สุนันทวดี ทรงยังสัตว์ พันโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม. สมัยนี้ เป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 370
สมัยใด พระมหาวีระ ทรงโอวาทหมู่เดียรถีย์ สมัยนั้น การตรัสรู้ธรรม ได้แก่ สัตว์พันโกฏิ ในการ แสดงธรรมครั้งที่ ๒.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติตฺถิเย คเณ ได้แก่ คณะที่เป็น เดียรถีย์ หรือคณะของเดียรถีย์ทั้งหลาย. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ติตฺถิเย อภิมทฺทนฺโต พุทฺโธ ธมฺมมเทสยิ พระพุทธเจ้าเมื่อทรงข่มพวกเดียรถีย์ ก็ได้ทรงแสดงธรรม.
ก็สมัยใด เทวดาและมนุษย์ในหมื่นจักรวาลประชุมกันในจักรวาลนี้ ตั้งเรื่องนิโรธขึ้นว่า ท่านเข้านิโรธกันอย่างไร ถึงพร้อมด้วยนิโรธอย่างไร ออกจากนิโรธอย่างไร เทวดาในเทวโลกฝ่ายกามาวจร ๖ ชั้น พรหมในพรหม โลก พร้อมด้วยมนุษย์ทั้งหลาย ไม่อาจวินิจฉัยในการเข้า การอยู่และการออก จากสมาบัติ เป็นต้นอย่างนี้ได้ จึงได้แบ่งกันเป็นสองพวกสองฝ่าย. ต่อนั้น จึง พร้อมด้วยพระเจ้าอรินทมะ ผู้เป็นนรบดี พากันเข้าไปเฝ้าพระสุมนทศพล ผู้ เป็นนาถะของโลกทั้งปวง ในเวลาเย็น. พระเจ้าอรินทมะ ครั้นเข้าเฝ้าแล้ว จึง ทูลถามนิโรธปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่นั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ตอบนิโรธปัญหาแล้ว ธรรมาภิสมัยก็ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ. สมัยนี้เป็น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยใด เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พร้อมเพรียง กันมีใจอันเดียวกัน ก็ทูลถามนิโรธปัญหา และข้อสงสัย ทางใจ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 371
แม้สมัยนั้น ในการแสดงธรรม ในการแสดง นิโรธปัญหา ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่สัตว์ เก้าหมื่นโกฏิ.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะ ทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง ใน ๓ ครั้ง นั้น สาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑ พระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระอรหันต์พันโกฏิ ผู้ บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ทรงอาศัยนครเมขละ จำพรรษาแล้วก็ทรงปวารณา ด้วยปวารณาครั้งแรก นี้เป็นสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑. สมัยต่อมา พระมุนีผู้ ประเสริฐดังดวงอาทิตย์ ประทับนั่งเหนือภูเขาทอง ประมาณโยชน์หนึ่ง ซึ่ง บังเกิดด้วยกำลังกุศลของ พระเจ้าอรินทมะ ไม่ไกล สังกัสสนคร เหมือน ดวงทินกรส่องรัศมีอันงามในยามฤดูสารทเหนือขุนเขายุคนธร ทรงฝึกบุรุษเก้า หมื่นโกฏิ ซึ่งห้อมล้อมพระเจ้าอรินทมะ ตามเสด็จมา ทรงให้เขาบวชด้วยเอหิ- ภิกขุบรรพชาหมดทุกคน เหล่าภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตในวันนั้นนั่นแลแวดล้อม แล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในสันนิบาตอันประกอบด้วยองค์ ๔ นี้เป็น สันนิบาตครั้งที่ ๒. สมัยใด ท้าวสักกเทวราช เสด็จเข้าไปเพื่อเฝ้าพระสุคต สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะ อันพระอรหันต์แปดหมื่นโกฏิแวดล้อม แล้ว ก็ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี สันนิบาตประชุมพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทินมีจิตสงบ ตั้งมั่น ๓ ครั้ง.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเข้าจำพรรษาแล้ว เมื่อท่านประกาศวันปวารณาแล้ว พระตถาคต ก็ทรง ปวารณาพรรษาพร้อมกับภิกษุแสนโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 372
ในสันนิบาตต่อจาก สันนิบาตครั้งที่ ๑ นั้น ณ ภูเขาทองไร้มลทิน ภิกษุเก้าหมื่นโกฏิประชุมกัน เป็น สันนิบาตครั้งที่ ๒.
ครั้งท้าวสักกเทวราช เข้าเฝ้าเยี่ยมพระพุทธเจ้า เทวดาและมนุษย์แปดหมื่นโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิ- บาตครั้งที่ ๓.
แก้อรรถ
พึงเห็นลิงควิปลาสในคำว่า อภิฆุฏฺเ ปวารเณ ในคาถานั้น ความว่า อภิฆุฏฺาย ปวารณาย เมื่อท่านประกาศปวารณาแล้ว. บทว่า ตโตปรํ ได้แก่ ในสมัยต่อจากสันนิบาตครั้งที่ ๑ นั้น. บทว่า กญฺจนปพฺพเต ได้แก่ ณ ภูเขาที่สำเร็จด้วยทอง. บทว่า พุทฺธทสฺสนุปาคมิ ได้แก่ เข้าไปเพื่อเฝ้า พระพุทธเจ้า. เล่ากันว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพญานาค ชื่อว่า อตุละ มีฤทธานุภาพมาก. ท่านได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก อันหมู่ญาติห้อมล้อมแล้วออกจากภพของตน บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะ ซึ่งมีภิกษุแสนโกฏิเป็นบริวาร ด้วยดนตรีทิพย์ ถวายมหาทาน ถวายคู่ผ้ารูปละ คู่ แล้วตั้งอยู่ในสรณะ พระศาสดาพระองค์นั้นทรงพยากรณ์พญานาคนั้นว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นพระยานาค ชื่อว่า อตุละ มี ฤทธิ์มาก สั่งสมกุศลไว้มาก. ครั้งนั้น เราพร้อมด้วยเหล่าญาตินาค ก็ออกจาก พิภพนาค บำเรอพระชินพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ ด้วยดนตรีทิพย์.
เลี้ยงดูภิกษุแสนโกฏิให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ ถวายคู่ผ้ารูปละคู่ แล้วถึงพระองค์เป็นสรณะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 373
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้นำโลกพระองค์นั้น ก็ทรง พยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่ ประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
พระตถาคต จักเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์จัก ตั้งความเพียร ฯลฯ พวกเราจักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
พึงกล่าว ๑๘ คาถา ให้พิศดารเหมือนในวงศ์ของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า.
เราฟังพระดำรัสของพระสุมนพุทธเจ้าพระองค์ นั้นแล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะพระองค์นั้น ทรงมีพระนคร ชื่อว่า เมขละ มีพระชนก พระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ มีพระชนนี พระนามว่า พระนาง สิริมาเทวี มีคู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสรณะ พระภาวิตัตตะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอุเทนะ มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระโสณา พระอุปโสณา มีโพธิพฤกษ์ชื่อว่าต้นนาคะ (กากะทิง) มีพระสรีระสูงเก้าสิบ ศอก มีพระชนมายุเก้าหมื่นปี มีพระมเหสี พระนามว่า พระนาง วฏังสิกาเทวี มีพระโอรสพระนามว่า อนูปมะ ทรงออกอภิเนษกรมณ์ ด้วยยานคือพระยา ช้าง. มีอุปัฏฐาก ชื่อ อังคราชา ประทับ ณ พระวิหารชื่อ อังคาราม ด้วย เหตุนั้นจึงตรัสว่า
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ มีพระนครชื่อว่า เมขละ มีพระชนกพระนามว่า พระเจ้า สุทัตตะ มีพระชนนีพระนามว่า พระนางสิริมา.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี ทรง มีปราสาทงามสุด ๓ หลัง ชื่อ จันทะ สุจันทะ และ วฏังสะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 374
ทรงมีพระสนมนารีแต่งกายงาม สามล้านหก แสนนาง มีพระมเหสีพระนามว่า พระนางวฏังสิกา มี พระโอรส พระนามว่า อนูปมะ.
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออก อภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระยาช้าง ทรงบำเพ็ญเพียร อยู่ ๑๐ เดือน.
พระมหาวีระสุมนะ ผู้นำโลก ผู้สงบ อันท้าว มหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงเมขละราชธานี.
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี อัครสาวก ชื่อพระสรณะและพระภาวิตัตตะ มีพระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอุเทนะ.
ทรงมีอัครสาวิกา ชื่อว่าพระโสณา พระอุปโสณา พระพุทธเจ้า ผู้มีพระยศหาประมาณมิได้ พระองค์นั้น ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนาคะ (กากะทิง).
ทรงมีอัครอุปฐาก ชื่อว่า วรุณะ และสรณะ มี อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ จาลา และ อุปจาลา.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยส่วนสูง ทรงสูง เก้าสิบศอ งามเหมือนรูปบูชาที่ทำด้วยทอง หมื่นโลกธาตุก็เจิดจ้า.
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ ทรงมีพระชนม์ยืนอย่างนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอัน มากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 375
พระสัมพุทธเจ้า ทรงยังหมู่ชนที่ควรข้ามให้ข้าม โอฆสงสาร ยังหมู่ชนที่ควรตรัสรู้ให้ตรัสรู้ เสด็จดับ ขันธปรินิพพาน เหมือนเดือนดับ.
พระภิกษุขีณาสพเหล่านั้น และพระพุทธเจ้าผู้ ไม่มีผู้เสมอเหมือนพระองค์นั้น ท่านเหล่านั้นมียศยิ่ง ใหญ่ สำแดงรัศมีที่ไม่มีอะไรเปรียบแล้วก็ปรินิพพาน.
พระญาณที่ไม่มีอะไรวัดได้นั้น และรัตนะที่ไม่มี อะไรชั่งได้นั้น ทั้งนั้นก็อันตรธานไปหมดสิ้น สังขาร ทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระสุมนพุทธเจ้า ผู้ทรงพระยศ ก็เสด็จดับขันธ- ปรินิพพาน ณ พระวิหารอังคาราม พระชินสถูปของ พระองค์ ณ อังคารามนั้น สูงถึงสี่โยชน์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กญฺจนคฺฆยสงฺกาโส ได้แก่ มีพระรูปพระโฉมงามเหมือนรูปบูชาทำด้วยทองอันวิจิตรด้วยรัตนะหลากชนิด. บทว่า ทสสหสฺสี วิโรจติ ความว่า ทั้งหมื่นโลกธาตุก็เจิดจ้าด้วยรัศมีของพระองค์. บทว่า ตารณีเย แปลว่า ยังหมู่ชนผู้ที่ควรให้ข้ามคือผู้ควรข้าม อธิบายว่า พุทธเวไนยทั้งปวง. บทว่า อุฬุราชาว แปลว่า เหมือนดวงจันทร์. บทว่า อตฺถมิ แปลว่า ดับ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อตฺถํ คโต ถึงความตั้งอยู่ ไม่ได้. บทว่า อสาทิโส ก็คือ อสทิโส ผู้ไม่มีผู้เสมือน. บทว่า มหายสา ได้แก่ ผู้มีเกียรติมาก และมีบริวารมาก. บทว่า ตญฺจ าณํ ได้แก่ พระสัพพัญญุตญาณนั้น. บทว่า อตุลิยํ ได้แก่ วัดไม่ได้ ไม่มีอะไรเสมือน. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ง่ายทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระสุมนพุทธเจ้า