พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๗. วงศ์พระสิทธัตถพุทธเจ้าที่ ๑๖

 
บ้านธัมมะ
วันที่  2 ส.ค. 2564
หมายเลข  35162
อ่าน  449

[เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 552

๑๗. วงศ์พระสิทธัตถพุทธเจ้าที่ ๑๖

ว่าด้วยพระประวัติของพระสิทธัตถพุทธเจ้า


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 73]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 552

๑๗. วงศ์พระสิทธัตถพุทธเจ้าที่ ๑๖

ว่าด้วยพระประวัติของพระสิทธัตถพุทธเจ้า

[๑๗] ต่อจาก สมัยของพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ผู้นำโลก ทรง กำจัดความมืดทั้งปวง ก็เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์อุทัย.

พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อทรงยังโลกทั้งเทวโลกให้ข้าม โอฆะ เมื่อยังโลกทั้งเทวโลกให้ดับร้อน ก็ทรงหลั่ง เมฆฝนคือธรรมให้ตกลงมา.

พระพุทธเจ้า ผู้มีพระเดชหาผู้เทียบไม่ได้พระองค์นั้น ก็ทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้ มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.

ต่อมาอีก ครั้งทรงลั่นธรรมเภรี ณ นครภีมรถะ อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ.

ครั้งพระพุทธเจ้า ผู้สูงสุดในนรชนพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมโปรด ณ กรุงเวภาระ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ.

พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทรงมี สันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิต สงบ คงที่ ๓ ครั้ง.

สถาน ๓ เหล่านี้คือ สันนิบาตประชุมพระสาวก

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 553

ร้อยโกฏิ เก้าสิบโกฏิ และแปดสิบโกฏิเป็นสันนิบาตประชุมพระสาวก ผู้ไร้มลทิน.

สมัยนั้น เราเป็นดาบสชื่อมังคละ มีเดชสูง อัน ใครๆ พบได้ยาก ตั้งมั่นด้วยกำลังแห่งอภิญญา.

เรานำผลชมพูมาจากต้นชมพู ถวายแด่พระสิทธัตถพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าทรงรับแล้ว ตรัส พระดำรัสดังนี้ว่า

ท่านทั้งหลาย จงดูชฏิลดาบสผู้มีตบะสูงผู้นี้ เก้า สิบสี่กัปนับแต่กัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.

พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.

พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำ เนรัญชรา.

พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริม ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินไปตามทางอันดีที่เขา จัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.

แต่นั้น พระผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถาน จักตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้น อัสสัตถะ.

ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนี พระนามว่า พระนาง มายา พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ ท่าน ผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 554

พระอัครสาวกชื่อว่า พระโกลิตะ และพระอุปติส- สะ ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอานันทะ จักบำรุง พระชินเจ้าพระองค์นี้.

พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และ พระอุบล วรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้ง มั่น โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียนต้นอัสสัตถะ.

อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่านันทมาตา และอุตตรา พระ โคดมผู้มีพระยศพระองค์นั้น พระชนมายุ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์ และ เทวดาทั้งหลายพึงพระดำรัสนี้ ของ พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.

หมื่นโลกธาตุทั้งเทวโลก พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวว่า

ผิว่า พวกเราจักพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถ พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จัก อยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้าง หน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 555

พวกเราทุกคน ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า พระองค์นิไซร้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้ฉันนั้นเหมือนกัน.

เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.

พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระนครชื่อว่าเวภาระ พระชนก พระนามว่า พระเจ้าอุเทน พระชนนีพระนามว่า พระนางสุผัสสา.

พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี มี ปราสาทอย่างเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า โกกาสะ อุปปละ และ โกกนุทะ มีพระสนมนารีสี่หมื่นแปดพันนาง พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุมนา พระโอรส พระนามว่า อนุปมะ.

พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออก อภิเนษกรมณ์ด้วยพระวอ ทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน เต็ม.

พระมหาวีรสิทธัตถะ ผู้นำโลก สูงสุดในนรชน อันท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศ พระธรรมจักร ณ มิคทายวัน.

พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสัมพละ และ พระสุมิตตะ พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระเรวตะ.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 556

ทรงมีพระอัครสาวิกาชื่อว่าพระสีวลา และพระสุรัมมา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ นั้น เรียกต้นกณิการ์.

อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุปปิยะและสัมพุทธะ อัครอุปัฏฐายิกาชื่อว่า ธัมมา และสุธัมมา.

พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูงขึ้นเบื้องบน ๖๐ ศอก เสมือนรูปปฏิมาทอง รุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุ.

พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มี ผู้เสมอ ไม่มีผู้ชั่ง ไม่มีผู้เทียบ ผู้มีพระจักษุ พระองค์ นั้น ทรงดำรงพระชนม์อยู่ในโลก แสนปี.

พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงแสดงพระรัศมีอัน ไพบูลย์ ทรงยังสาวกทั้งหลายให้บานแล้ว ทรงพิลาส ด้วยสมบัติอันประเสริฐ ปรินิพพาน.

พระสิทธัตถพุทธเจ้า วรมุนี ปรินิพพาน ณ พระวิหารอโนมาราม พระวรสถูปของพระองค์ในพระวิหารนั้น สูง ๔ โยชน์.

จบวงศ์พระสิทธัตถพุทธเจ้าที่ ๖

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 557

พรรณนาวงศ์พระสิทธัตถพุทธเจ้าที่ ๑๖

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าธัมมทัสสีปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ ก็อันตรธานไปแล้ว เมื่อกัปนั้นล่วงไปและล่วงไปหนึ่งพันเจ็ดร้อยหกกัป ใน กัปหนึ่ง สุดท้ายเก้าสิบสี่กัปนับแต่กัปนี้ ก็ปรากฏมีพระศาสดาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า สิทธัตถะ ผู้บรรลุประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญประโยชน์แก่โลก. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อจากสมัยของพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า พระพุทธ- เจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ผู้นำโลก ทรงกำจัดความ มืดทั้งหมด เจิดจ้า เหมือนดวงอาทิตย์อุทัย แม้พระสิทธัตถโพธิสัตว์ ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย.

บังเกิดในภพดุสิต จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนาง สุผัสสาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน กรุงเวภาระ ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ วีริยราชอุทยาน เมื่อพระมหาบุรุษสมภพ แล้ว การงานที่คนทั้งปวงเริ่มไว้ และประโยชน์ที่ปรารถนา ก็สำเร็จ เพราะ ฉะนั้น พระประยูรญาติทั้งหลายของพระองค์จึงเฉลิมพระนามว่า สิทธัตถะ พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่า โกกาสะ อุปปละและปทุมะ๑ ปรากฏมีสนมนารีแปดหมื่นสี่พันนาง มีพระนางโสมนัส- สาเทวี เป็นประมุข.

เมื่อ พระอนุปมกุมาร โอรสของพระนางโสมนัสสาเทวีสมภพแล้ว พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ในวันอาสาหฬบูรณมี ก็ออกอภิเนษกรมณ์ด้วย พระวอทอง เสด็จไปยังวีริยราชอุทยาน ทรงผนวช มนุษย์แสนโกฏิก็บวชตาม


๑. บาลีว่า โกกนุทะ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 558

เสด็จ เล่ากันว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน กับบรรพชิต เหล่านั้น ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส ที่ธิดาพราหมณ์ชื่อ สุเนตตา ตำบลบ้านอสทิสพราหมณ์ถวาย ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ ป่าพุทรา เวลาเย็น ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียว ชื่อวรุณะถวาย ทรงลาดสันถัตหญ้า ๔๐ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ทรงเปล่ง พระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํฯ เปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ทรงยับยั้ง อยู่ ๗ วัน ทรงเห็นภิกษุแสนโกฏิที่บวชกับพระองค์ เป็นผู้สามารถแทงตลอด สัจจะ ๔ จึงเสด็จโดยทางอากาศ ลงที่คยามิคทายวัน ทรงประกาศพระธรรมจักรแก่ภิกษุเหล่านั้น ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ. ด้วย เหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น บรรลุพระสัมโพธิ- ญาณแล้ว เมื่อทรงยังโลกทั้งเทวโลก ให้ข้ามโอฆะ เมื่อทรงยังโลกทั้งเทวโลกให้ดับร้อน จึงทรงหลั่งฝน คือธรรมให้ตกลง.

พระพุทธเจ้า ผู้มีพระเดชที่ไม่มีผู้เทียบได้ พระองค์นั้น ทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มี แก่สัตว์แสนโกฏิ.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเทวกํ ได้แก่ โลกทั้งเทวโลก. บทว่า ธมฺมเมเฆน ได้แก่ เมฆฝน คือธรรมกถา ต่อมาอีก ทรงทำทิศทั้งสิบให้ เต็มด้วยพระสุรเสียงดังพรหม เสนาะดังเสียงนกการเวกร้อง สบายโสต

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 559

ไพเราะอย่างยิ่ง จับใจบัณฑิตชน เฉกเช่นอภิเษกด้วยน้ำอมฤต ทรงลั่นอมตธรรมเภรี ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อมาอีก พระสิทธัตถพุทธเจ้า ทรงลั่นกลอง ธรรม ในภีมรถนคร อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์ เก้าสิบโกฏิ.

ครั้งพระสิทธัตถพุทธเจ้า ทรงแสดงพุทธวงศ์ในสมาคมพระญาติ กรุงเวภาระ ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ นั้นเป็นอภิสมัย ครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระพุทธเจ้าผู้สูงสุดในนรชนพระองค์นั้น ทรง แสดงธรรม อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบ โกฏิ.

พระราชาสองพี่น้องพระนาม สัมพละ และ สุมิตตะ ทรงครอง ราชย์ ณ อมรนคร ซึ่งงามน่าดูดั่งนครแห่งเทพ ลำดับนั้น พระสิทธัตถ- ศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของพระราชาสองพระองค์นั้น จึงเสด็จไปทาง นภากาศลงท่านกลางอมรนคร ทรงแสดงเจดีย์คือรอยพระบาทเหมือนเหยียบ พื้นแผ่นดิน ด้วยพระยุคลบาท ซึ่งมีฝ่าพระบาทประดับด้วยจักร แล้วเสด็จ ไปยังอมรราชอุทยาน ประทับนั่งเหนือพื้นศิลา ที่เย็นด้วยพระกรุณาของ พระองค์ อันน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง แต่นั้น พี่น้องสองพระราชา เห็นพระเจดีย์ คือรอยพระบาท ก็เสด็จไปตามรอยพระบาท เข้าเฝ้าพระสิทธัตถศาสดาผู้บรรลุ ประโยชน์อย่างยิ่ง ถวายบังคมแล้วประทับนั่งล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่พระอัธยาศัยโปรดพระราชาสองพี่น้อง นั้น สองพระองค์ทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดาพระองค์นั้นแล้ว เกิด

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 560

พระศรัทธา ทรงผนวชแล้วบรรลุพระอรหัตทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระขีณาสพร้อยโกฏินั้น นั้นเป็นสันนิบาตครั้ง ที่ ๑. ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่านกลางบรรพชิตเก้าสิบโกฏิ ในสมาคม พระญาติ กรุงเวภาระ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒. ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ท่ามกลางบรรพชิตแปดสิบโกฏิ ที่ประชุมกัน ณ พระสุทัสสนวิหาร นั้น เป็น สันนิบาตครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี สันนิบาต ประชุมสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิต สงบ คงที่ ๓ ครั้ง.

สถาน ๓ เหล่านี้ คือ สันนิบาตพระสาวกร้อยโกฏิ เก้าสิบโกฏิ แปดสิบโกฏิ เป็นสันนิบาตของพระสาวก ขีณาสพผู้ไร้มลทิน.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นวุตีนํ อสีติยาปิ จ โกฏินํ ความว่า มีสันนิบาตแห่งพระสาวกเก้าสิบโกฏิ และแปดสิบโกฏิ. บทว่า เอเต อาสุํ ตโย านา ความว่า มีสถานที่สันนิบาต ๓ เหล่านั้น. ปาฐะว่า านาเนตานิ ตีณิ อเหสุํ ดังนี้ก็มี.

สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพราหมณ์ชื่อว่ามังคละ กรุงสุรเสน จบไตรเพทและเวทางคศาสตร์ บริจาคกองทรัพย์นับได้หลายโกฏิ เป็นผู้ยินดี ในวิเวก บวชเป็นดาบส ยังฌานและอภิญญาให้เกิดอยู่ ทราบข่าวว่าพระพุทธ- เจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ อุบัติขึ้นแล้วในโลกจึงเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วฟัง ธรรมกถาของพระองค์ แล้วเข้าไปยังต้นชมพู อันเป็นเครื่องหมายของชมพูทวีป นี้ด้วยฤทธิ์ นำผลชมพูมาแล้วอาราธนาพระสิทธัตถศาสดาผู้มีภิกษุบริวารเก้าสิบ

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 561

โกฏิ ให้ประทับในสุรเสนวิหาร เลี้ยงดูด้วยผลชมพู ให้ทรงอิ่มหนำสำราญ ลำดับนั้น พระศาสดาเสวยผลชมพูนั้นแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดเก้าสิบสี่กัป นับแต่กัปนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่าโคตมะ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

สมัยนั้น เราเป็นดาบสชื่อมังคละ มีเดชสูง อัน ใครๆ เข้าพบได้ยาก ตั้งมั่นด้วยกำลังแห่งอภิญญา.

เรานำผลชมพูมาจากต้นชมพู ได้ถวายแด่พระสิทธัตถพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าทรงรับแล้ว ตรัส พระดำรัสดังนี้ว่า

ท่านทั้งหลายจงดูชฎิลดาบสผู้มีตบะสูงผู้นี้ เก้า สิบสีกัปนับแต่กัปนี้ ดาบสผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า

พระตถาคตทรงตั้งความเพียร ฯลฯ จักอยู่ต่อ หน้าของท่านผู้นี้.

เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุปฺปสโห แปลว่า อันใครๆ เข้าหา ได้ยาก หรือปาฐะก็อย่างนั้นเหมือนกัน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระนครชื่อ เวภาระ พระชนก พระนามว่า พระเจ้าอุเทน พระนามว่า พระเจ้าชัยเสน บ้างก็มี พระชนนี้ พระนามว่า สุผัสสา คู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสัมพละ และพระสุมิตตะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระเรวตะ คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวลา และ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 562

พระสุรามา พระชนมายุแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนาง โสมนัสสา พระโอรสพระนาม อนุปมะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยพระวอทอง ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี พระนครชื่อเวภาระ พระชนก พระนามว่า พระเจ้า อุเทน พระชนนีพระนามว่า พระนางสุผัสสา.

พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระอัครสาวกชื่อว่า พระสัมพละ และพระสุมิตตะ พระ - พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระเรวตะ.

มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระสีวลา และพระสุรามา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก กณิการะ ต้นกรรณิการ์.

พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูงขึ้นสู่ฟ้า ๖๐ ศอก เสมือนรูปปฏิมาทอง จึงรุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุ.

พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้ เสมอ อันใครชั่งไม่ได้ เปรียบไม่ได้ ผู้มีจักษุพระองค์ นั้น ทรงดำรงอยู่ในโลกแสนปี.

พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงแสดงพระรัศมีอัน ไพบูลย์ ยังสาวกทั้งหลายให้บานแล้ว ให้งดงามแล้ว ด้วยสมาบัติ อันประเสริฐแล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพ พาน.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 563

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุฏฺิรตนํ ความว่า สูงจรดท้องฟ้า ประมาณ ๖๐ ศอก. บทว่า กญฺจนคฺฆิยสงฺกาโส ได้แก่ น่าดูเสมอรูปปฏิ- มาที่สำเร็จด้วยทอง วิจิตรด้วยรัตนะต่างๆ. บทว่า ทสสหสฺสี วิโรจติ แปลว่า รุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุ. บทว่า วิปุลํ ได้แก่ พระรักมีอันโอฬาร. บทว่า ปุปฺผาเปตฺวาน ความว่า ทำให้บานแล้วด้วยดอกไม้ คือฌานอภิญญา มรรคผลและสมาบัติ ถึงความโสภาคย์อย่างยิ่ง. บทว่า วิลาเสตฺวา ได้ เยื้องกรายเล่นแล้ว. บทว่า วรสมาปตฺติยา ได้แก่ ด้วยสมาบัติและอภิญญา อันเป็นโลกิยะและโลกุตระ. บทว่า นิพฺพุโต ได้แก่ ปรินิพพานแล้ว ด้วยอนุปาทาปรินิพพาน.

ได้ยินว่า พระสิทธัตถศาสดา เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ อโนมราชอุทยาน กรุงกาญจนเวฬุ ณ พระราชอุทยานนั้นนั่นเอง เขาช่วยกัน สร้างพระเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะ สูง ๔ โยชน์ สำหรับพระองค์แล ในคาถา ทั้งหลายที่เหลือ ก็ชัดเจนแล้วทั้งนั้นแล.

จบพรรณนาวงศ์พระสิทธัตถพุทธเจ้า