พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. กัฏฐหาริชาดก

 
บ้านธัมมะ
วันที่  4 ส.ค. 2564
หมายเลข  35206
อ่าน  526

[เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 213

๗. กัฏฐหาริชาดก


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 55]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 213

๗. กัฏฐหาริชาดก

[๗] ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ข้าพระบาท เป็นโอรสของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชน ขอพระองค์ได้ทรงโปรดชุบเลี้ยงข้าพระบาทไว้ แม้คนเหล่าอื่นพระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้ ไฉนจะไม่ทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระองค์เองเล่า.

จบกัฏฐหาริชาดกที่ ๗

๗. อรรถกถากัฏฐหาริชาดก

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภพระนางวาสภขัตติยา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปุตฺโต ตฺยาหํ มหาราช ดังนี้.

เรื่องพระนางวาสภขัตติยา จักมีแจ้งในภัททสาลชาดก ทวาทสนิบาต. ได้ยินว่า พระนางวาสภขัตติยานั้นเป็นพระธิดาของเจ้าศากยะมหานาม ประสูติ ในครรภ์ของทาสีชื่อว่า นาคมณฑา (ต่อมา) ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าโกศล พระนางประสูติพระราชโอรส. ก็ภายหลัง พระราชาทรงทราบว่า พระนางเป็นทาสีจึงทรงปลดจากตำแหน่ง แม้วิฑูฑภะผู้เป็นพระโอรสก็ถูกปลดจากตำแหน่งเหมือนกัน. แม่ลูกแม้ทั้งสองก็ตั้งอยู่ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์นั่นแล. พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น ครั้นในเวลาเย็น ทรงห้อม

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 214

ล้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ของพระราชา ประทับนั่งบน อาสนะที่ปูลาดไว้แล้วตรัสว่า พระนางวาสภขัตติยาประทับอยู่ที่ไหน. พระราชาจึงกราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสถามว่า มหาบพิตร พระนางวาสภขัตติยาเป็นธิดาของใคร? พระราชาทูลว่า เป็นธิดาของเจ้ามหานามพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า เมื่อพระนางวาสภขัตติยาเสด็จมา เสด็จมาแล้วเพื่อใคร พระราชาทูลว่า เพื่อหม่อมฉัน พระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร พระนางวาสภขัตติยานี้ เป็นธิดาของพระราชาและมาเพื่อพระราชา เพราะอาศัยพระราชานั่นแหละ จึงได้พระโอรส เพราะเหตุไร พระโอรสนั้นจึงไม่ได้เป็นเจ้าของราชสมบัติอันเป็นของมีอยู่ของพระราชบิดา พระราชาทั้งหลายในกาลก่อน ได้พระโอรสในครรภ์ของหญิงหาฟืน ผู้เป็นภรรยา ชั่วคราว ก็ยังได้พระราชทานราชสมบัติแก่พระโอรส. พระราชาทรงขอพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อตรัสเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ ให้ปรากฏแล้ว.

ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า พรหมทัต ในกรุงพาราณสีเสด็จไปพระราชอุทยานด้วยพระยศใหญ่ เสด็จเที่ยวไปในพระราชอุทยานนั้นเพราะทรงยินดีดอกไม้และผลไม้ ทรงเห็นหญิงผู้หนึ่งผู้ขับเพลงไปพลางตัดฟืนไปพลางในป่าชัฎในพระราชอุทยาน ทรงมีจิตปฏิพัทธ์จึงทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกัน ในขณะนั้นเอง พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในครรภ์ของหญิงนั้น. ทันใดนั้นครรภ์นางได้หนักอึ้งเหมือนเต็มด้วยเพชร. นางรู้ว่าตั้งครรภ์จึงกราบทูลว่า ข้าแค่สมมติเทพ หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว เพคะ. พระราชาได้ ประทานพระธำมรงค์แล้วตรัสว่า ถ้าเป็นธิดาเจ้าจงจำหน่ายแหวนเลี้ยงดู ถ้าเป็นบุตรเจ้าจงนำมายังสำนักของเราพร้อมกับแหวน ครั้นตรัสแล้วจึงเสด็จหลีกไป. ฝ่ายหญิงนั้นมีครรภ์แก่แล้วก็ตลอดพระโพธิสัตว์. ในเวลาที่พระ-

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 215

โพธิสัตว์นั้นแล่นอยู่ในสนามเล่น. มีคนกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราถูกคนไม่มีพ่อทุบตีแล้ว. พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงไปหามารดาถามว่า แม่จ๋า ใคร เป็นพ่อของหนู? มารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสี พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ก็พยานอะไรๆ มีอยู่หรือจะแม่. มารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย พระราชาประทานแหวนนี้ไว้แล้วตรัสว่า ถ้าเป็นธิดา พึงจำหน่ายเลี้ยงดู กัน ถ้าเป็นบุตร พึงพามาพร้อมกับแหวนนี้ ดังนี้แล้วก็เสด็จไป. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า แม่จ๋า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร แม่จึงไม่นำฉันไปยังสำนักของพระบิดา. นางรู้อัธยาศัยของบุตร จึงไปยังประตูพระราชวังให้คนกราบทูล แก่พระราชาให้ทรงทราบ และเป็นผู้อันพระราชารับสั่งให้เข้าเฝ้า จึงเข้าไปถวายบังคมพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ผู้นี้เป็นโอรสของพระองค์ พระราชาแม้ทรงทราบอยู่ ก็เพราะทรงละอายในท่ามกลางบริษัทจึงตรัสว่า ไม่ใช่บุตรของเรา. หญิงนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นี้พระธำมรงค์ของพระองค์ พระองค์คงจะทรงจำพระธำมรงค์นี้ได้. พระราชาตรัสว่า แม้พระธำมรงค์นี้ก็ไม่ใช่ธำมรงค์ของเรา. หญิงนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ บัดนี้ เว้นสัจจกิริยาเสียคนอื่นผู้จะเป็นสักขีพยานของกระหม่อมฉันย่อมไม่มี ถ้าทารกนี้ เกิดเพราะอาศัยพระองค์ อันกระหม่อมฉันเหวียงขึ้นไปแล้ว จงอยู่ในอากาศ ถ้าไม่ได้อาศัยพระองค์เกิด จงตกลงมาตายบนภาคพื้นดิน แล้วจับเท้าทั้งสอง ของพระโพธิสัตว์เหวี่ยงไปในอากาศ. พระโพธิสัตว์นั่งคู้บัลลังก์ในอากาศ เมื่อจะกล่าวธรรมะแก่พระบิดาด้วยเสียงอันไพเราะ จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ข้าพระบาทเป็นโอรสของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชน ขอพระองค์ได้ทรงโปรดชุบเลี้ยงข้าพระบาทไว้ แม้คนเหล่าอื่นพระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้ ไฉนจะในทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระองค์เองเล่า.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 216

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺโต ตฺยาหํ ตัดบทเป็น ปุตฺโต เต อหํ แปลว่า ข้าพระบาทเป็นโอรสของพระองค์. ก็ชื่อว่าบุตรนี้มี ๔ ประเภท คือ บุตรผู้เกิดในตน ๑ บุตรผู้เกิดในเขต ๑. อันเตวาสิกลูกศิษย์ ๑ และบุตรเขาให้ ๑.

บรรดาบุตร ๔ ประเภทนั้นบุตรผู้อาศัยคนเกิด ชื่อว่า บุตรผู้เกิดในตน. บุตรผู้เกิดในที่ทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือ บนหลังที่นอน บนบัลลังก์และที่อก ชื่อว่า บุตรผู้เกิดในเขต. บุคคลผู้เรียนศิลปศาสตร์ในสำนัก ชื่อว่า ลูกศิษย์. บุตรที่เขาให้มาเลี้ยง ชื่อว่าบุตรที่เขาให้ คือ บุตรบุญธรรม. แต่ในที่นี้ ท่านหมายเอาบุตรที่เกิดในตน จึงกล่าวว่าบุตร.

ที่ชื่อว่า พระราชา เพราะทำชนให้ยินดี ด้วยสังคหวัตถุ ๔. พระราชาผู้ใหญ่ชื่อว่า มหาราชา พระโพธิสัตว์เมื่อจะตรัสเรียกพระราชานั้นจึงตรัสว่า มหาราช ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่.

บทว่า ตฺวํ มํ โปส ชนาธิป ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่มหาชน พระองค์จงชุบเลี้ยง คือ จงเลี้ยงดูข้าพระบาทอยู่เถิด. อญฺเปิ เทโว โปเสติ ความว่า ชนเป็นอันมากเหล่าอื่น ได้แก่พวกมนุษย์ผู้เลี้ยงช้างเป็นต้น และสัตว์ดิรัจฉานมีช้างและม้าเป็นต้น พระองค์ยัง ทรงชุบเลี้ยงได้. ก็ศัพท์ว่า กิญฺจ ในบทว่า กิญฺจ เทโว สกํ ปชํ นี้ เป็นศัพท์นิบาตใช้ในความหมายว่า ติเตียน และความหมายว่า อนุเคราะห์. พระโพธิสัตว์ทรงโอวาทว่า ประชาชนของพระองค์ คือข้าพระบาทผู้เป็นโอรสของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงชุบเลี้ยง ดังนี้ ชื่อว่าย่อมติเตียน. เมื่อตรัสว่าคนอื่นเป็นอันมาก พระองค์ทรงชุบเลี้ยงได้ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมอนุเคราะห์ช่วยเหลือ. ดังนั้นพระโพธิสัตว์แม้เมื่อจะทรงติเตียนจึงตรัสว่า ไฉนจะไม่ทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระองค์เล่า.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 217

เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่งในอากาศทรงแสดงธรรมอยู่อย่างนี้ พระราชาได้ทรงสดับแล้ว จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า จงมาเถิดพ่อ เราแหละจักชุบเลี้ยงเจ้า. มีมือตั้งพันเหยียดมาแล้ว พระโพธิสัตว์ไม่ลงในมือคนอื่น ลงในพระหัตถ์ของพระราชาเท่านั้น แล้วประทับนั่งบนพระเพลา พระราชาทรงประทานความเป็นอุปราชแก่พระโพธิสัตว์นั้น แล้วได้ทรงตั้งมารดาให้เป็น อัครมเหสี. เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว พระโพธิสัตว์นั้นได้เป็นพระราชาพระ นานว่า กัฏฐวาหนะ เครื่องราชสมบัติโดยธรรม ได้เสด็จไปตามยถากรรม.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาทรงแสดงแก่พระเจ้าโกศลแล้ว ทรงแสดงเรื่อง ๒ เรื่องสืบต่ออนุสนธิ แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระ มารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระมหามายาเทวี พระบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ส่วนพระเจ้ากัฏฐวาหนราชในครั้งนั้น ได้เป็นเราเองแล.

จบกัฏฐาหาริชาดกที่ ๗