พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๒. นิโครธมิคชาดก ว่าด้วยการเลือกคบ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  4 ส.ค. 2564
หมายเลข  35211
อ่าน  478

[เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 233

๒. นิโครธมิคชาดก

ว่าด้วยการเลือกคบ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 55]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 233

๒. นิโครธมิคชาดก

ว่าด้วยการเลือกคบ

[๑๒] เจ้าหรือคนอื่นก็ตาม พึงคบหาแต่พระยา เนื้อชื่อว่านิโครธเท่านั้น ไม่ควรเข้าไปอาศัยอยู่กับพระยาเนื้อชื่อว่าสาขะ ความตายในสำนักพระยาเนื้อนิโครธประเสริฐกว่า การมีชีวิตอยู่ในสำนักพระยาเนื้อสาขะจะประเสริฐอะไร.

จบนิโครธมิคชาดกที่ ๒

๒. อรรถกถานิโครธมิคชาดก

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุณีผู้เป็นมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นิโคฺรธเมว เสวยฺย ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุณีนั้น ได้เป็นธิดาของเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากในนครราชคฤห์ มีกุศลมูลหนาแน่น มีสังขารอันย่ำยีแล้ว เป็นปัจฉิมภวิกสัตว์ (สัตว์ผู้มีภพสุดท้าย) อุปนิสัยแห่งพระอรหัตโพลงอยู่ในหทัยของนาง เหมือนประทีปโพลงอยู่ภายในหม้อฉะนั้น. ครั้งนั้น จำเดิมแต่กาลที่รู้จักตนแล้ว ธิดาของเศรษฐีนั้นไม่ยินดีในเรือน มีความประสงค์จะบวช จึงกล่าวกะบิดามารดาว่า ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ จิตใจของข้าพเจ้าไม่ยินดีในฆราวาส

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

ตพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 234

ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ ท่านทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าบวชเถิด. บิดามารดากล่าวว่า แม่ เจ้าพูดอะไร ตระกูลนี้มีทรัพย์สมบัติมาก และเจ้าก็เป็นธิดาคนเดียวของเราทั้งหลาย เจ้าไม่ควรจะบวช. นางแม้จะอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้การบรรพชาจากสำนักของบิดามารดา จึงคิดว่า ช่างเถอะ เราไปตระกูลสามียังสามีให้โปรดปรานแล้วจักบวช. นางเจริญวัยแล้วไปยังตระกูลสามี เป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมครองเหย้าเรือน. ลำดับนั้น เพราะอาศัยการอยู่ร่วม นางก็ตั้งครรภ์. นางไม่รู้ว่าตั้งครรภ์. ครั้งนั้น เขาโฆษณางานนักขัตฤกษ์ในพระนคร ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันเล่นงานนักขัตฤกษ์. พระนครได้มีการประดับตกแต่งเหมือนดังเทพนคร ก็เมื่อการเล่นนักขัตฤกษ์แม้จะใหญ่ยิ่งเพียงนั้น เป็นไปอยู่ นางก็ไม่ลูบไล้ร่างกายของตน ไม่ประดับประดา เที่ยวไปด้วยเพศตามปกตินั่นเอง. ลำดับนั้น สามีกล่าวกะนางว่า นางผู้เจริญ นครทั้งสิ้นอาศัยนักขัตฤกษ์ แต่เธอไม่ปฏิบัติร่างกาย ไม่ทำการตกแต่ง เพราะเหตุไร. นางจึงกล่าวว่า ข้าแต่ลูกเจ้า ร่างกายเต็มด้วยซากศพ ๓๒ ประการทีเดียว ประโยชน์อะไรด้วยร่างกายนี้ที่ประดับแล้ว เพราะกายนี้ เทวดา พรหมไม่ได้นิรมิต ไม่ใช่สำเร็จด้วยทอง ด้วยแก้วมณี ด้วยจันทน์เหลือง ไม่ใช่เกิดจากห้องแห่งดอกบุณฑริก ดอกโกมุท และดอกอุบลเขียว แต่เต็มไปด้วยคูถ ไม่สะอาด ไม่ใช่เต็มด้วยอมฤตโอสถ โดยที่แท้ เกิดในซากศพ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด มีการขัดสีและการนวดฟั้นเป็นนิตย์ และมีการแตกทำลายและการกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา รกป่าช้า อันตัณหายึดจับ เป็นเหตุแห่งความโศก เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งความร่ำไร เป็นที่อยู่อาศัยแห่งโรคทั้งปวง เป็นที่รับเครื่องกรรมกรณ์ของเสียภายใน ไหลออกภายนอกเป็นนิตย์ เป็นที่อยู่ของหมู่หนอนหลายตระกูล จะไปยังป่าช้า มีความตายเป็นที่สุด แม้จะเปลี่ยนแปลงไปในคลองจักษุของ ชาวโลกทั้งปวง

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 235

กายประกอบด้วยกระดูกและเอ็น ฉาบทาด้วยหนังและเนื้อ เป็นกายที่ถูกผิวหนังปกปิดไว้ ไม่ปรากฏตามความเป็นจริง เต็มด้วยลำไส้ใหญ่ เต็มด้วยท้องด้วยตับ หัวไส้ เนื้อหัวใจ ปอด ไต ม้าม น้ำมูก นำลาย เหงื่อ มันข้น เลือด ไขข้อ ดี และมันเหลว เมื่อเป็นเช่นนั้น ของไม่สะอาดย่อมไหลออกจากช่องทั้ง ๙ ของกายนั้นทุกเมื่อ คือ ขี้ตาไหลออกจากตา ขี้หูไหลออกจากหู และน้ำมูกไหลออกจากจมูก บางคราวออกทางปาก ดีและเสมหะย่อมไหลออกจากกายเป็นหยดเหงื่อ เมื่อเป็นอย่างนั้นศีรษะของกายนั้นเป็นโพรงเต็มด้วยมันสมอง คนพาลถูกอวิชชาห่อหุ้ม จึงสำคัญโดยความเป็นของงดงาม กายมีโทษอนันต์ เปรียบเสมอด้วยต้นไม้พิษเป็นที่อยู่ของสรรพโรค ล้วนเป็นของทุกข์ ถ้ากลับเอาภายในของกายนี้ออกข้างนอก ก็จะต้องถือท่อนไม้คอยไล่กาและสุนัขเป็นแน่. กายไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น เป็นดังซากศพ เปรียบเหมือนส้วม ผู้มีจักษุติเตียน แต่คนเขลาเพลิดเพลิน อันหนังสดปกปิดไว้ มีทวาร ๙ แผลใหญ่ ของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ไหลออกรอบด้าน ก็ในกาลใดกายนั้นนอนตายขึ้นพองมีสีเขียวคล้ำ ถูกทอดทิ้งไว้ในสุสานในกาลนั้น ญาติทั้งหลายย่อมไม่ห่วงอาลัย สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกย่อมเคี้ยวกินกายนั้น และนกตะกรุม หนอน กา แร้ง และสัตว์ทั้งปวงอื่นๆ ย่อมเคี้ยวกิน

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 236

ก็ภิกษุผู้มีญาณในศาสนานี้นั่นแล ได้ฟังพระพุทธพจน์แล้ว ย่อมรู้แจ้งกายนั้น ย่อมเห็นตามเป็นจริงแลว่าร่างกายนี้ฉันใด ร่างกายนั่นก็ฉันนั้น ร่างกายนั่นฉันใด ร่างกายนี้ก็ฉันนั้น ข้าพเจ้าคายความเพลิดเพลินใน กายทั้งกายในและภายนอกเสียแล้ว.

ข้าแต่พระลูกเจ้า ข้าพเจ้าจักประดับประดาร่างกายนี้ทำอะไร การกระทำความประดับกายนี้ ย่อมเป็นเหมือนกระทำจิตรกรรมภายนอกหม้อ ซึ่งเต็มด้วยคูถ เศรษฐีบุตรได้ฟังคำของนางดังนั้นจึงกล่าวว่า นางผู้เจริญ เธอเห็นโทษทั้งหลายอย่างนี้แห่งร่างกายนี้ เพราะเหตุไรจึงไม่บวช. นางกล่าวว่า ข้าแด่พระลูกเจ้า ข้าพเจ้าเมื่อได้บวช จะบวชวันนี้แหละ. เศรษฐีบุตรกล่าวว่า ดีแล้ว ฉันจักให้เธอบวช. แล้วบำเพ็ญมหาทาน กระทำมหาสักการะ แล้วนำไปสำนักของภิกษุณีด้วยบริวารใหญ่ เมื่อจะให้นางบวช ได้ให้บวชในสำนักของภิกษุณีผู้เป็นฝักฝ่ายของพระเทวทัต. นางได้บรรพชาแล้วมีความดำริเต็มบริบูรณ์ ดีใจแล้ว. ครั้งนั้น เมื่อครรภ์ของนางแก่แล้ว ภิกษุณีทั้งหลายเห็นความที่อินทรีย์ ทั้งหลายแปรเป็นอื่นไป ความที่หลังมือและเท้าบวม และความที่พื้นท้องใหญ่ จึงถามนางว่า แม่เจ้า เธอปรากฏเหมือนมีครรภ์ นี่อะไรกัน? ภิกษุณีนั้น กล่าวว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า เหตุชื่อนี้ แต่ศีลของข้าพเจ้ายังบริบูรณ์อยู่. ลำดับนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นจึงนำนางภิกษุณีนั้นไปยังสำนักของพระเทวทัต ถามพระเทวทัตว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กุลธิดานี้ยังสามีให้โปรดปรานได้โดยยาก จึงได้บรรพชา ก็บัดนี้ ครรภ์ของนางปรากฏ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รู้ว่ากุลธิดานี้ได้ตั้งครรภ์ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ หรือในเวลาบวชแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะกระทำอย่างไร. เพราะความที่คนไม่รู้ และ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 237

เพราะขันติ เมตตา และความเอ็นดูไม่มี พระเทวทัตจึงคิดอย่างนี้ว่า ความครหานินทาจักเกิดแก่เราว่า ภิกษุณีผู้อยู่ในฝ่ายของพระเทวทัตมีครรภ์ แต่พระเทวทัตกลับเพิกเฉยเสีย เราให้ภิกษุณีนี้สึกจึงจะควร. พระเทวทัตนั้นไม่พิจารณา แล่นออกไปเหมือนกลิ้งก้อนหิน กล่าวว่า พวกท่านจงให้ภิกษุณีนั้นสึก ภิกษุณีเหล่านั้นฟังคำของพระเทวทัตแล้ว ลุกขึ้นไหว้แล้วไปยังสำนัก ลำดับนั้น ภิกษุณีสาวนั้นกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พระเทวทัตเถระไม่ใช่พระพุทธเจ้า การบรรพชาของเราในสำนักของพระเทวทัตนั้น ก็หามิได้ ก็บรรพชาของเราในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบุคคลเลิศในโลก อนึ่ง บรรพชานั้น เราได้โดยยาก ท่านทั้งหลายอย่าทำให้การ บรรพชานั้นอันตรธานหายไปเสียเลย มาเถิดท่านทั้งหลาย จงพาเราไปยังพระเชตวัน ในสำนักของพระศาสดา ภิกษุณีทั้งหลายจึงพาภิกษุณีสาวนั้นไป จากกรุงราชคฤห์สิ้นหนทาง ๔๕ โยชน์ถึงพระเชตวันมหาวิหารโดยลำดับถวาย บังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ.

พระศาสดาทรงพระดำริว่า ภิกษุณีนี้ตั้งครรภ์ในเวลาเป็นคฤหัสถ์โดยแท้ แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเดียรถีย์จักได้โอกาสว่า พระสมณโคดมพา ภิกษุณีที่พระเทวทัตทิ้งแล้วเที่ยวไปอยู่ เพราะฉะนั้น เพื่อจะตัดถ้อยคำนี้ควร จะวินิจฉัยอธิกรณ์นี้ในท่ามกลางบริษัทซึ่งมีพระราชา ในวันรุ่งขึ้น จึงให้ทูลเชิญพระเจ้าโกศล และเชิญมหาอนาถบิณฑิกเศรษฐี จูฬอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา และตระกูลใหญ่ๆ อื่นๆ ที่มีชื่อเสียง ในเวลาเย็น เมื่อบริษัททั้ง ๔ ประชุมกันแล้ว จึงตรัสเรียกพระอุบาลีเถระมาว่า เธอจงไปชำระกรรมของภิกษุณีสาวนี้ ในท่ามกลางบริษัท ๔. พระเถระทูลรับพระดำรัสแล้ว จึงไปยังท่ามกลางบริษัท นั่งบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้เพื่อตน แล้วให้ เรียกนางวิสาขาอุบาสิกามาตรงเบื้องพระพักตร์ของพระราชา ให้รับอธิกรณ์นี้

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 238

ว่า ดูก่อนวิสาขา ท่านจงไป จงรู้โดยถ่องแท้ว่า ภิกษุณีสาวนี้บวชในเดือนโน้น วันโน้น แล้วจงรู้ว่าเธอได้มีครรภ์นี้ก่อนหรือหลังบวช มหาอุบาสิการับ คำแล้วจึงให้วงม่าน ตรวจดูที่สุดมือ เท้า สะดือ และท้องของภิกษุณีสาวภายในม่าน นับเดือนและวัน รู้ว่านางได้ตั้งครรภ์ในภาวะเป็นคฤหัสถ์โดยถ่องแท้ จึงไปยังสำนักของพระเถระแล้วบอกเนื้อความนั้น. พระเถระได้กระทำภิกษุณีนั้นให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ในท่ามกลางบริษัท ๔. ภิกษุณีนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วไหว้ภิกษุสงฆ์และถวายบังคมพระศาสดา แล้วไปยังสำนักนั่นแล พร้อมกับภิกษุณีทั้งหลาย ภิกษุณีนั้นอาศัยครรภ์แก่แล้ว ได้คลอดบุตรมีอานุภาพมาก ผู้ตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ.

ครั้นวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปโดยใกล้ๆ สำนักของภิกษุณี ได้ทรงสดับเสียงทารก จึงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลาย. อำมาตย์ทั้งหลายรู้เหตุนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ภิกษุณีสาวนั้นคลอดบุตรแล้ว นั่นเสียงของบุตรภิกษุณีสาวนั้นนั่นเอง. พระราชาตรัสว่า แน่ะพนาย ชื่อว่าการปรนนิบัติทารกเป็นเครื่องกังวลสำหรับภิกษุณีทั้งหลาย พวกเราจักปรนนิบัติทารกนั้น. พระราชาทรงไห้มอบทารกนั้นแก่หญิงฟ้อนทั้งหลาย ให้เติบโตโดยการบริหารดูแลอย่างกุมาร. ก็ในวันตั้งชื่อกุมารนั้น ได้ตั้งชื่อว่ากัสสป ครั้งนั้น คนทั้งหลายรู้กันว่า กุมารกัสสป เพราะเจริญเติบโตด้วยการบริหารอย่างกุมาร ในเวลามีอายุได้ ๗ ขวบ กุมารกัสสป นั้นบวชในสำนักของพระศาสดา พอมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ก็ได้อุปสมบท เมื่อกาลเวลาล่วงไป ได้เป็นผู้กล่าวธรรม อันวิจิตร ในบรรดาพระธรรมกถึกทั้งหลาย. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตั้ง พระกุมารกัสสปนั้น ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุมารกัสสปนี้ เป็นเลิศแห่งสาวกทั้งหลายของเรา ผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร ภายหลังพระกุมารกัสสปนั้นบรรลุพระอรหัต ในเพราะวัมมิกสูตร. แม้

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 239

ภิกษุณีผู้เป็นมารดาของพระกุมารกัสสปนั้น เห็นแจ้งแล้วบรรลุพระอรหัต. พระกุมารกัสสปเถระปรากฏในพระพุทธศาสนา ประดุจพระจันทร์เพ็ญในท่ามกลางท้องฟ้าฉะนั้น.

อยู่มาวันหนึ่ง พระตถาคตเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายแล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ภิกษุทั้งหลายรับพระโอวาทแล้ว ให้ภาคกลางวันหมดไปในที่เป็นที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันของตนๆ ในเวลาเย็น ประชุมกันในโรงธรรมสภา นั่งพรรณนาพระพุทธคุณว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตทำคนทั้งสอง คือ พระกุมารกัสสปเถระและพระเถรีให้พินาศ เพราะความที่ตนไม่รู้ และเพราะความไม่มี ขันติและเมตตาเป็นต้น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นปัจจัยแก่ท่านทั้งสองนั้น เพราะพระองค์เป็นพระธรรมราชา และเพราะทรงถึงพร้อมด้วยพระขันติ พระเมตตา และความเอ็นดู. พระศาสดาเสด็จมายังโรงธรรมสภาด้วยพุทธลีลา ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องพระคุณของพระองค์เท่านั้น แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นปัจจัยและเป็นที่พึ่งแก่ชน ทั้งสองนี้ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้เป็นแล้วเหมือนกัน. ภิกษุทั้งหลายจึงทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อต้องการให้เรื่องนั้นแจ่มแจ้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิตนกำเนิดมฤคชาติ. พระโพธิสัตว์เมื่อออกจากท้องของมารดา ได้มีสีเหมือนดังสีทอง นัยน์ตาทั้งสองของเนื้อนั้น ได้เป็น

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 240

เช่นกับลูกแก้วมณีกลม เขาทั้งคู่มีวรรณะดังเงิน หน้ามีวรรณะดังกองผ้ากัมพลแดง ปลายเท้าหน้าและเท้าหลัง เหมือนทำบริกรรมด้วยรสน้ำครั่ง ขนหางได้เป็นเหมือนขนจามรี ก็ร่างกายของเนื้อนั้นใหญ่มีขนาดเท่าลูกน้ำ เนื้อนั้นมีบริวาร ๕๐๐. โดยชื่อ มีชื่อว่า นิโครธมิคราช สำเร็จการอยู่ในป่า. ก็ในที่ไม่ไกลแห่งพระยาเนื้อนิโครธนั้น มีเนื้อแม้อื่นซึ่งมีเนื้อ ๕๐๐ เป็นบริวาร มีชื่อว่า สาขะ อาศัยอยู่ แม้เนื้อสาขะก็มีวรรณะดุจสีทอง. สมัยนั้น พระเจ้าพาราณสีทรงขวนขวายในการฆ่าเนื้อ เว้นเนื้อไม่เสวย ทรงกระทำพวกมนุษย์ ให้ขาดการงาน ยังชาวนิคมและชนบททั้งปวงให้ประชุมกัน แล้วเสด็จไปฆ่าเนื้อทุกวัน. พวกมนุษย์คิดกันว่า พระราชานี้ทรงทำพวกเราให้ขาดการงานถ้ากระไร พวกเราวางเหยื่อของเนื้อไว้ในพระราชอุทยาน จัดน้ำดื่มไว้ให้พร้อม ต้อนเนื้อเป็นอันมากให้เข้าไปยังพระราชอุทยานแล้วปิดประตูมอบถวายพระราชา มนุษย์เหล่านั้นทั้งหมดจึงปลูกผักที่เป็นเหยื่อของเนื้อไว้ในพระราชอุทยาน จัดน้ำดื่มไว้ให้พร้อม แล้วประกอบประตู ถือบ่วง มือถืออาวุธนานาชนิดมีค้อนเป็นต้น เข้าป่าแสวงหาเนื้อ คิดว่า พวกเราจักจับเนื้อทั้งหลายที่อยู่ตรงกลาง จึงล้อมที่ประมาณ ๑ โยชน์ เมื่อร่นเข้ามาได้ล้อมที่เป็นที่อยู่ของเนื้อนิโครธและเนื้อสาขะไว้ตรงกลาง ครั้น เห็นหมู่เนื้อนั้นจึงเอาไม้ค้อนตีต้นไม้ พุ่มไม้เป็นต้น และดีพื้นดิน ไล่หมู่เนื้อออกจากที่รกชัฎ พากันเงื้อ อาวุธทั้งหลายมีดาบ หอกและธนูเป็นต้น บันลือเสียงดัง ต้อนหมู่เนื้อนั้นให้เข้าพระราชอุทยานแล้วปิดประตู พากันเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อพระองค์เสด็จไปทรงฆ่าเนื้อเป็นประจำ ทรงทำการงานของข้าพระองค์ทั้งหลายให้เสียหาย พวกข้าพระองค์ต้อนเนื้อทั้งหลายมาจากป่า เต็มพระราชอุทยานของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป พระองค์จะได้เสวยเนื้อของมฤคเหล่านั้น แล้วทูลลาพระราชาพากันหลีกไป.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 241

พระราชาได้ทรงสดับคำของมนุษย์เหล่านั้น แล้วเสด็จไปพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเนื้อทั้งหลาย ทรงเห็นเนื้อสีทอง ๒ ตัว จึงได้พระราชทานอภัยแก่เนื้อทั้งสองนั้น ก็ตั้งแต่นั้นมา บางคราว เสด็จไปเอง ทรงฆ่าเนื้อตัวหนึ่งแล้วนำมา บางคราว พ่อครัวของพระองค์ไปฆ่าแล้วนำมา เนื้อทั้งหลายพอเห็นธนูเท่านั้น ถูกความกลัวแต่ความตายคุกคาม พากันหนีไป ได้รับการประหาร ๒ - ๓ ครั้ง ลำบากไปบ้าง ป่วยไปบ้าง ถึงความตายบ้าง หมู่เนื้อจึงบอกประพฤติเหตุนั้นแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ไห้เรียก เนื้อสาขะมาแล้วกล่าวว่า ดูก่อนสหาย เนื้อเป็นอันมากพากันฉิบหาย เมื่อเนื้อมีอันจะต้องตายโดยส่วนเดียว ตั้งแต่นี้ไป ผู้จะฆ่าจงอย่าเอาลูกศรยิงเนื้อวาระของเนื้อทั้งหลายจงมีในที่แห่งค้อนของผู้พิพากษา วาระจงถึงแก่บริษัทของเราวันหนึ่ง จงถึงแก่บริษัทของท่านวันหนึ่ง เนื้อตัวที่ถึงวาระจงไปนอน พาดหัวที่ไม้ค้อนของผู้พิพากษา แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น เนื้อทั้งหลายจักไม่กลัว เนื้อสาขะรับคำแล้ว ตั้งแต่นั้นมา เนื้อที่ถึงวาระ จะไปนอนพาดคอที่ไม้ค้อนพิพากษา พ่อครัวมาจับเอาเนื้อตัวที่นอนอยู่ ณ ที่นั้นนั่นแหละไป อยู่มาวันหนึ่ง วาระถึงแก่แม่เนื้อผู้มีครรภ์ตัวหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทของเนื้อสาขะ แม่เนื้อนั้นเข้าไปหาเนื้อสาขะแล้วกล่าวว่า เจ้านาย ข้าพเจ้ามีครรภ์ คลอดลูกแล้ว พวกเราทั้งสองจะไปตามวาระ ท่านจงให้ข้ามวาระของข้าพเจ้าไปก่อน เนื้อสาขะกล่าวว่า เราไม่อาจทำวาระของเจ้าให้ถึงแก่เนื้อตัวอื่นๆ เจ้าเท่านั้นจักรู้ว่า เจ้ามีบุตร เจ้าจงไปเถอะ แม่เนื้อนั้น เมื่อไม่ได้ความช่วยเหลือจากสำนักของเนื้อสาขะ จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์บอกเนื้อความนั้น พระโพธิสัตว์นั้น ได้ฟังคำของแม่เนื้อนั้นจึงคิดว่า ก็พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในกาลก่อน เห็นทุกข์ของคนอื่น ย่อมไม่ห่วงใยชีวิตของตน ประโยชน์ของผู้อื่นจากประโยชน์ตนนั่นแล เป็นสิ่งที่หนักกว่าสำหรับพระโพธิสัตว์เหล่านั้น.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 242

เหล่านก ปศุสัตว์ มฤคในป่าทั้งหมดย่อมเป็นอยู่ด้วยตนเอง นักปราชญ์ทั้งหลายผู้สงบ ยินดีแล้วในประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ ย่อมยังผู้อื่นให้เป็นอยู่ ก็นักปราชญ์เหล่านั้นสละทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต เพื่อ ประโยชน์เกื้อกูล เรานั้นเป็นผู้สามารถจักยังเหล่าสัตว์เป็นอันมากพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามได้ด้วย ก็ความไม่มีบุญ เพราะกายอันไร้สาระนี้ เราจักได้ลาภของท่านอันยั่งยืนด้วยตนเองแน่.

ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงกล่าวว่า เจ้าจงไปเถอะ เราจักให้วาระของเจ้าข้ามไป ครั้นกล่าวแล้ว ตนเองก็ไปนอนกระทำศีรษะไว้ที่ไม้ค้อนพิพากษาพ่อครัวเห็นดังนั้น จึงคิดว่า พระยาเนื้อผู้ได้รับพระราชทานอภัยนอนอยู่ที่ไม้ค้อนพิพากษา เหตุอะไรหนอ จึงรีบไปกราบทูลแด่พระราชา พระราชาเสด็จขึ้นทรงรถในทันใดนั้นเอง เสด็จไปด้วยบริวารใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า พระยาเนื้อผู้สหายเราให้อภัยแก่ท่านไว้แล้วมิใช่หรือ เพราะเหตุไรท่านจึงนอนอยู่ ณ ที่นี้ พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช แม่เนื้อผู้มีครรภ์มากล่าวว่า ขอท่านจงยังวาระของฉันให้ถึงแก่เนื้อตัวอื่น ก็ข้าพระบาทไม่อาจโยนมรณทุกข์ของเนื้อตัวหนึ่งไปเหนือเนื้อตัวอื่นได้ ข้าพระบาทนั้นจึงให้ชีวิตของตนแก่แม่เนื้อนั้น ถือเอาความตายอันเป็นของแม่เนื้อนั้นแล้วจึงนอนอยู่ ณ ที่นี้ ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์อย่าได้ทรงระแวงเหตุอะไรๆ อย่างอื่นเลย พระราชาตรัสว่า ดูก่อนสุวรรณมิคราชผู้เป็นนาย แม้ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย เราก็ไม่เคยเห็นคนผู้เพียบพร้อมด้วยขันติ เมตตา และความเอ็นดูเช่นกับท่าน ด้วยเหตุนั้น เราจึงเลื่อมใสท่าน ลุกขึ้นเถิด เราให้อภัยแก่ท่านและแก่แม่เนื้อนั้น พระยาเนื้อกล่าวว่า

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 243

ข้าแต่พระผู้จอมคน เมื่อข้าพระบาททั้งสองได้อภัยแล้ว เนื้อที่เหลือนอกนั้นจักกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย เราให้อภัยแม้แก่เนื้อที่เหลือด้วย พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นเนื้อทั้งหลายในพระราชอุทยานเท่านั้น จักได้อภัย เนื้อที่เหลือจักทรงกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย เราให้อภัยแก่เนื้อแม้เหล่านั้น พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเบื้องต้น เนื้อทั้งหลายได้รับอภัย สัตว์ ๔ เท้าที่เหลือจักกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย เราให้อภัยแก่สัตว์ ๔ เท้าแม้เหล่านั้น พระยาเนื้อกราบทูล ว่า ข้าแต่มหาราช สัตว์ ๔ เท้าได้รับพระราชทานอภัยก่อน หมู่นกจักกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย แม้หมู่นกเหล่านั้นเราก็ให้อภัย พระยาเนื้อ กราบทูลว่า เบื้องต้น หมู่นกจักได้รับพระราชทานอภัย พวกปลาที่อยู่ในน้ำจัก กระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย แม้หมู่ปลาเหล่านั้น เราก็ให้อภัย พระมหาสัตว์ทูลขออภัยแก่สรรพสัตว์กะพระราชาอย่างนี้แล้ว ได้ลุกขึ้นยืนให้พระราชาคงอยู่ในศีล ๕ แล้วแสดงธรรมแก่พระราชาด้วยลีลาของพระพุทธเจ้า ว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในพระชนกชนนีในพระโอรส พระธิดา ในพราหมณ์คฤหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบท เมื่อทรงประพฤติธรรม ประพฤติสม่ำเสมออยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ แล้วอยู่ในอุทยาน ๒ - ๓ วัน ให้โอวาทแก่พระราชาแล้วอันหมู่เนื้อแวดล้อมเข้าป่าแล้ว แม่เนื้อนมแม้นั้นตกลูกออกมาเช่นกับช่อดอกไม้ ลูกเนื้อนั้นเมื่อเล่นได้ จะไปยังสำนักของเนื้อสาขะ. ลำดับนั้น มารดาเห็นลูกเนื้อนั้นกำลังจะไปยังสำนักของเนื้อสาขะนั้น จึงกล่าวว่า ลูกเอ๋ย ตั้งแต่นี้ไปเจ้า อย่าไปยังสำนักของเนื้อสาขะนั้น เจ้าพึงไปยังสำนักของเนื้อนิโครธเท่านั้น เมื่อ จะโอวาทจึงกล่าวคาถาว่า

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 244

เจ้าหรือคนอื่นก็ตาม พึงคบหาแต่พระยาเนื้อชื่อว่านิโครธเท่านั้น ไม่ควรเข้าไปอาศัยอยู่กับพระยาเนื้อชื่อว่าสาขะ ความตายในสำนักของพระยาเนื้อชื่อว่านิโครธประเสริฐกว่า การมีชีวิตอยู่ในสำนักพระยาเนื้อสาขะ จะประเสริฐอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิโคฺรธเมว เสเวยฺย ความว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าหรือคนอื่นก็ตาม ผู้ใคร่ต่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน ควรเสพหรือควรคบหาแต่พระยาเนื้อชื่อว่านิโครธนั้น. บทว่า น สาขํ อุปสํวเส ความว่า แค่เนื้อชื่อว่าสาขะไม่ควรเจ้าไปอยู่ร่วม คือ ไม่ควรเข้าไปใกล้แล้วอยู่ร่วม ได้แก่ไม่ควรอาศัยเนื้อสาขะนั้นเลี้ยงชีวิต. บทว่า นิโคฺรธสฺมึ มตํ เสยฺโย ความว่า แม้การตายอยู่แทบเท้าของพระยาเนื้อชื่อว่านิโครธประเสริฐกว่า คือ ยอดเยี่ยมสูงสุด. บทว่า ยญฺเจ สาขสฺมิ ชีวิตํ ความว่า ก็ความเป็นอยู่ ในสำนักของเนื้อชื่อว่าสาขะนั้น ไม่ประเสริฐคือไม่ยอดเยี่ยมไม่สูงสุดเลย.

ก็จำเดิมแต่นั้น พวกเนื้อที่ได้อภัยพากันกินข้าวกล้าของพวกมนุษย์ มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจตีหรือไล่เนื้อทั้งหลายด้วยคิดว่า เนื้อเหล่านี้ได้รับพระราชทานอภัย จึงพากันประชุมที่พระลานหลวง กราบทูลความนั้นแด่พระราชา พระราชาตรัสว่าเรามีความเลื่อมใสให้พรแก่พระยาเนื้อชื่อว่านิโครธ เราถึงจะละราชสมบัติ ก็จะไม่ทำลายปฏิญญานั้น ท่านทั้งหลายจงไปเถิด ใครๆ ย่อมไม่ ได้เพื่อจะประหารเนื้อทั้งหลายในแว่นแคว้นของเรา พระยาเนื้อนิโครธได้สดับเหตุการณ์นั้น จึงให้หมู่เนื้อประชุมกัน โอวาทเนื้อทั้งหลายว่า จำเดิมแต่นี้ไปท่านทั้งหลายอย่าได้กินข้าวกล้าของคนอื่น ดังนี้แล้ว บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า ตั้งแต่นี้ไปมนุษย์ทั้งหลายผู้กระทำข้าวกล้า จงอย่าทำรั้วเพื่อจะรักษาข้าวกล้า

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 245

แต่จงผูกสัญญาด้วยใบไม้ปักนาไว้ ได้ยินว่า จำเดิมแต่นั้น จึงเกิดสัญญาในการผูกใบไม้ขึ้นในนาทั้งหลาย จำเดิมแต่นั้น ชื่อว่าเนื้อผู้ล่วงละเมิดสัญญาในการผูกใบไม้ ย่อมไม่มี. ได้ยินว่า ข้อนี้เป็นโอวาทที่พวกเนื้อเหล่านั้นได้จากพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์โอวาทหมู่เนื้ออย่างนี้แล้วดำรงอยู่ตลอดชั่วอายุ. พร้อมกับเนื้อทั้งหลายได้ไปตามยถากรรมแล้ว. ฝ่ายพระราชาทรงตั้งอยู่ใน โอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรงกระทำบุญทั้งหลายได้เสด็จไปตามยถากรรมแล้ว.

พระศาสดาดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นที่พึ่งอาศัยของพระเถรี และพระกุมารกัสสป ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้เป็นที่พึ่งอาศัยแล้วเหมือนกัน ก็ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงหมุนกลับ เทศนาว่าด้วยสัจจะทั้ง ๔ ตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบต่ออนุสนธิกัน แล้วทรง ประชุมชาดกว่า เนื้อชื่อสาขะในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต แม้บริษัทของเนื้อสาขะนั้น ก็ได้เป็นบริษัทของพระเทวทัตนั่นแหละ แม่เนื้อนั้นในครั้งนั้น ได้เป็นพระเถรี ลูกเนื้อในครั้งนั้นได้เป็น พระกุมารกัสสป พระราชาได้เป็นอานนท์ ส่วนพระยาเนื้อชื่อว่า นิโครธ ได้เป็นเราเองแล.

จบนิโครธมิคชาดกที่ ๒