พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๖. มหิลามุขชาดก ว่าด้วยการเสี้ยมสอน

 
บ้านธัมมะ
วันที่  4 ส.ค. 2564
หมายเลข  35225
อ่าน  418

[เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 299

๖. มหิลามุขชาดก

ว่าด้วยการเสี้ยมสอน


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 55]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 299

๖. มหิลามุขชาดก

ว่าด้วยการเสี้ยมสอน

[๒๖] พระยาช้างชื่อมหิลามุข ได้เที่ยวทุบตีคน เพราะได้คำของพวกโจรมาก่อน พระยาช้างผู้อุดมตั้งอยู่ในคุณทั้งปวง เพราะได้ฟังคำของท่านผู้สำรวมดีแล้ว.

จบมหิลามุขชาดกที่ ๖

๖. อรรถกถามหิลามุขชาดก

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า โปราณโจราน วโจ นิสมฺม ดังนี้

ความพิศดารว่า พระเทวทัตทำให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสแล้ว ยังลาภสักการะให้เกิดขึ้น อชาตศัตรูกุมารให้สร้างวิหารที่ตำบลคยาสีสะเพื่อพระเทวทัต แล้วนำไปเฉพาะโภชนะข้าวสาลีมีกลิ่นหอมซึ่งเก็บไว้ ๓ ปี วันละ ๕๐๐ สำรับ โดยรสเลิศต่างๆ เพราะอาศัยลาภสักการะ บริวารของพระเทวทัตจึงใหญ่ขึ้น พระเทวทัตพร้อมทั้งบริวารอยู่ในวิหารนั่นแหละ. สมัยนั้นมีสหาย ๒ คนผู้เป็นชาวเมืองราชคฤห์ ในสองสหายนั้น คนหนึ่งบวชในสำนักของพระศาสดา คนหนึ่งบวชในสำนักของพระเทวทัต สหายทั้งสองนั้นย่อมเห็นกัน

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 300

และกันแม้ในที่นั้นๆ แม้ไปวิหารก็ยังเห็นกัน อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นนิสิตของพระเทวทัตกล่าวกะภิกษุนอกนี้ว่า ผู้มีอายุ ท่านจะเที่ยวบิณฑบาตมีเหงื่อไหลอยู่ทุกวันๆ ทำไม ท่านนั่งในวิหารที่ตำบลคยาสีสะเท่านั้น จะได้บริโภคโภชนะดีด้วยรสเลิศต่างๆ ข้าวปายาสเห็นปานนี้ไม่มีในวิหารนี้ ท่านจะมัวเสวยทุกข์อยู่ทำไม ประโยชน์อะไรแก่ท่าน การมายังคยาสีสะแต่เช้าตรู่แล้วดื่มข้าวยาคูพร้อมด้วยแกงอ่อม เคี้ยวของควรเคี้ยว ๑๘ ชนิด แล้วบริโภคโภชนะดีด้วย รสเลิศต่างๆ ไม่ควรหรือ ภิกษุนั้นถูกพูดบ่อยๆ เป็นผู้ประสงค์จะไป จำเดิมแต่นั้นจึงไปยังคยาสีสะบริโภคแล้วก็มายังพระเวฬุวันต่อเมื่อเวลาสาย ภิกษุนั้นไม่อาจปกปิดไว้ได้ตลอดไป ไม่ช้านัก ข่าวก็ปรากฏว่า ภิกษุนั้นไปคยาสีสะ บริโภคภัตที่เขาอุปัฏฐากพระเทวทัต. ลำดับนั้น สหายทั้งหลายพากันถามภิกษุนั้น ว่าผู้มีอายุ ได้ยินว่า ท่านบริโภคภัตที่เขาอุปัฏฐากแก่พระเทวทัตจริงหรือ? ภิกษุนั้น กล่าวว่า ใครกล่าวอย่างนี้. สหายเหล่านั้นกล่าวว่า คนโน้นและคนโน้นกล่าว ภิกษุนั้นกล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไปยังคยาสีสะบริโภคจริง แต่พระเทวทัตไม่ได้ให้ภัตแก่ผม คนอื่นๆ ให้. ภิกษุผู้สหายกล่าวว่า ผู้มีอายุ พระเทวทัตเป็นเสี้ยนหนามต่อพระพุทธเจ้า เป็นผู้ทุศีล ยังพระเจ้าอชาตศัตรูให้เลื่อมใส แล้วยังลาภสักการะให้เกิดแก่คนโดยไม่ชอบธรรม ท่านบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ แล้วบริโภคโภชนะอันเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตโดยไม่ชอบธรรมเลย มาเถอะ เราทั้งหลายจักนำท่านไปยังสำนักของพระศาสดา แล้วพาภิกษุนั้นมายังโรงธรรมสภา พระศาสดาพอทรงเห็นภิกษุนั้นเท่านั้นจึงตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพาภิกษุนี้ ผู้ไม่ ปรารถนา มาแล้วหรือ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้บวชในสำนักของพระองค์ แล้วบริโภคโภชนะอันเกิดขึ้นแก่พระเทวทัต โดยไม่ชอบธรรม พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 301

เธอบริโภคโภชนะอันเกิดแก่พระเทวทัต โดยไม่ชอบธรรมจริงหรือ? ภิกษุนั้น กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัต ไม่ได้ให้ภัตแก่ข้าพระองค์ คนอื่นๆ ให้แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงบริโภคภัตนั้น พระศาสดาตรัสว่าภิกษุ เธออย่ากระทำการหลีกเลี้ยงในเรื่องนี้ พระเทวทัตเป็นผู้ไม่มีอาจาระเป็นผู้ทุศีล เธอบวชในศาสนานี้แล้ว คบหาศาสนาของเราอยู่นั้นแล ยังบริโภคภัตของพระเทวทัตได้อย่างไรเล่า เธอมีปกติคบหาอยู่แม้เป็นนิตยกาล ก็ยังคบ หาพวกคนที่เห็นแล้วๆ ครั้นตรัสแล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ในกาลนั้น ช้างมงคล ของพระเจ้าพรหมทัตชื่อว่ามหิลามุข เป็นช้างมีศีล สมบูรณ์ด้วยอาจาระมารยาทไม่เบียดเบียนใครๆ อยู่มาวันหนึ่ง โจรทั้งหลายมา ณ ที่ใกล้โรงช้างนั้น ในลำดับกาลอันเป็นส่วนราตรี นั่งปรึกษาการลักอยู่ในที่ไม่ไกลช้างนั้นว่าต้อง ทำลายอุโมงค์อย่างนี้ ต้องกระทำการตัดช่องย่องเบาอย่างนี้ การกระทำอุโมงค์ และการตัดช่องย่องเบาให้ปราศจากรกชัฏ ให้ปราศจากพุ่มไม้ เช่นกับหนทาง เช่นกับท่าน้ำ แล้วลักเอาสิ่งของไปจึงจะควร บุคคลผู้เมื่อจะลัก ต้องฆ่า และ ต้องประหารแล้วจึงลัก เมื่อเป็นอย่างนี้ ชื่อว่าผู้สามารถเพื่อจะลุกขึ้น (ต่อสู้) จักไม่มี อันธรรมดาว่า โจรต้องเป็นผู้ไม่ประกอบด้วยศีลและอาจาระ ต้องเป็น คนกักขฬะ หยาบช้า ป่าเถื่อน ครั้นปรึกษากันอย่างนี้แล้ว จึงให้กันและกัน เรียนเอาแล้วได้พากันไป พวกโจรพากันมาปรึกษาในที่นั้นโดยนัยนี้นั่นแหละหลายวัน คือ แม้ในวันรุ่งขึ้น แม้ในวันรุ่งขึ้น. ช้างได้ฟังคำของโจรเหล่านั้น สำคัญว่า ให้เราสำเหนียก จึงคิดว่าบัดนี้ เราต้องเป็นผู้กักขฬะ หยาบช้าป่าเถื่อน จึงได้เป็นผู้เห็นปานนั้น เอางวงจับคนเลี้ยงช้างผู้มาแต่เช้าตรู่ฟาดที่

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 302

พื้นดินให้ตาย ฆ่าคนที่มาแล้วๆ คือ แม้คนหนึ่งๆ พวกราชบุรุษจึงกราบทูล แด่พระราชาว่า ช้างมหิลามุขเป็นบ้า ฆ่าคนที่พบเห็นแล้วๆ พระเจ้าข้า. พระราชาทรงส่งพระโพธิสัตว์ไปด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนบัณฑิต เธอจงไป จงรู้ว่า ช้างนั้นดุร้าย เพราะเหตุไร. พระโพธิสัตว์ไปแล้วรู้ว่าช้างนั้นไม่มีโรคในร่างกายจึงคิดว่า เพราะเหตุไรหนอ ช้างนี้จึงเกิดเป็นช้างดุร้าย เมื่อใคร่ครวญไปจึงสันนิษฐานว่า ช้างนี้ได้ฟังคำของใครๆ ในที่ไม่ไกล สำคัญว่าคนเหล่านี้ ให้เราสำเหนียก จึงเป็นช้างดุร้ายแน่นอน จึงถามพวกคนเลี้ยงช้างว่าคนบางพวก เคยกล่าวคำอะไรในตอนกลางคืน ณ ที่ใกล้ช้าง มีอยู่หรือหนอ? พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า ขอรับ นาย พวกโจรพากันมากล่าว. พระโพธิสัตว์จึงไปกราบทูล แด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ ความพิการไม่มีในร่างกายแห่งช้างของหลวง ช้างนั้นเกิดเป็นช้างดุร้าย เพราะได้ฟังถ้อยคำของพวกโจรพะยะค่ะ. พระราชาตรัสถามว่า บัดนี้ควรจะทำอย่างไร? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า นิมนต์สมณพราหมณ์ผู้มีศีลให้นั่งในโรงช้างแล้วกล่าวถึงศีลและอาจาระ จึงจะควรพะยะค่ะ พระราชาตรัสว่า จงการทำอย่างนั้นเถิด พ่อ.

พระโพธิสัตว์ จึงนิมนต์สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีลให้นั่งในโรงช้างแล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงกล่าวศีลกถาว่าด้วยเรื่องศีล สมณพราหมณ์เหล่านั้นนั่งในที่ไม่ไกลช้าง พากันกล่าวศีลกถาว่า ไม่พึงปรามาสจับต้อง ไม่พึงด่าใครๆ ควรเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศีลและอาจาระ เป็นผู้ประกอบด้วยขันติ เมตตา และความเอ็นดู ช้างนั้นได้ฟังดังนั้นคิดว่า สมณพราหมณ์เหล่านี้ให้เราศึกษาสำเหนียกจำเดิมแต่บัดนี้ไป เราควรเป็นผู้มีศีล แล้วได้เป็นผู้มีศีลแล้วหรือ? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ พระราชาตรัสว่า ช้างดุร้ายชื่อเห็นปานนี้ อาศัยบัณฑิตทั้งหลายจึงตั้งอยู่ในธรรมอันเป็นของเก่าได้ แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า-

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑- หน้า 303

พระยาช้างชื่อมหิลามุขได้เที่ยวทุบตีคนเพราะได้ฟังคำของพวกโจรมาก่อน พระยาช้างผู้อุดมตั้งอยู่ในคุณทั้งปวงก็เพราะได้ฟังคำของท่านผู้สำรวมดีแล้ว.

ก็เพราะได้ฟังคำของท่านผู้สำรวมดีแล้ว บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โปราณโจรานํ ได้แก่พวกโจรรุ่นเก่าก่อน บทว่า นิสมฺม ได้แก่ เพราะฟัง อธิบายว่า เพราะได้ฟังคำของพวกโจรมาก่อน. บทว่า มหิลามุโข แปลว่า มีหน้าเช่นกับหน้าช้างพัง อีกอย่างหนึ่ง. ช้างพังเมื่อแลดูข้างหน้าจึงจะงาม แลดูข้างหลังไม่งามฉันใด ช้างแม้นั้นก็ฉันนั้น เมื่อแลดูข้างหน้าจึงจะงาม เพราะฉะนั้น ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อช้างนั้นว่า มหิลามุข. บทว่า โปถยมานุจารี ความว่า เที่ยวติดตามโบยอยู่ คือ ฆ่าอยู่ อีกอย่างหนึ่ง พระบาลีก็อย่างนี้แหละ. บทว่า สุสญฺตานํ ได้แก่ ผู้สำรวมด้วยดี คือ มีศีล. บทว่า คชุตฺตโม ได้แก่ ช้างอุดม คือ ช้างมงคล. บทว่า สพฺพคุเณสุ อฏฺ ได้แก่ ตั้งอยู่เฉพาะในคุณเก่าทั้งปวง.

พระราชาทรงพระดำริว่า พระโพธิสัตว์รู้อัธยาศัยแม้ของสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย จึงได้พระราชทานยศใหญ่ให้ พระราชานั้นทรงดำรงอยู่ตราบชั่ว พระชนมายุ ได้ไปตามยถากรรมพร้อมกับพระโพธิสัตว์.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน เธอก็คบหาคนที่พบเห็นแล้วๆ เหมือนกัน เพราะได้ฟังถ้อยคำของสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม จึงได้คบหาท่านผู้ตั้งอยู่ในธรรม ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ช้างมหิลามุขในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้ซ่องเสพฝ่ายตรงข้ามในบัดนี้ พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ในบัดนี้ ส่วนอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้เป็นเราคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล.

จบมหิลามุขชาดกที่ ๖