๔. มัจฉาชาดก ว่าด้วยความหึงหวง
[เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 338
๔. มัจฉาชาดก
ว่าด้วยความหึงหวง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 55]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 338
๔. มัจฉาชาดก
ว่าด้วยความหึงหวง
[๓๔] ความเย็น ความร้อน และการติดอยู่ใน แห ไม่ได้เบียดเบียนเราให้ได้รับทุกข์เลย แต่ข้อที่ นางปลาสำคัญว่า เราไปหลงนางปลาตัวอื่นนั่นแหละ เบียดเบียนเราให้ได้รับทุกข์.
จบมัจฉาชาดกที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 339
๔. อรรถกถามัจฉาชาดก
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการประเล้า ประโลมของภรรยาเก่า จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า น มํ สีตํ น มํ อณฺหํ ดังนี้.
ความพิศดารว่า ในกาลนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ? ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริง พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า เพราะเหตุไรเธอจึงเป็นผู้กระสันจะสึก? ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาเก่าของข้าพระองค์เป็นผู้มีรสมืออร่อย ข้าพระองค์ไม่อาจละนาง พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุหญิงนั่นเป็นผู้กระทำความฉิบหายแก่เธอ แม้ในกาลก่อน เธอเมื่อจะถึงความตายก็เพราะอาศัยหญิงนั่น แต่พ้นจากความตายเพราะอาศัยเรา แล้วทรงนำเรื่องอดีตนิทานมา ดัง ต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ในกาลนั้น พวกชาวประมงได้ทอดแหอยู่ในแม่น้ำ ครั้งนั้น มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งมาเล่นอยู่กับนางปลาของตนด้วยความยินดี. นางปลานั้นว่ายไปข้างหน้าของปลาใหญ่นั้น ได้กลิ่น แห จึงเลี้ยงแหไป. ส่วนปลาใหญ่นั้นติดในกามเป็นปลาโลเล ได้เข้าไปยังท้องแหนั่นเอง. พวกชาวประมงรู้ว่าปลาใหญ่นั้นเข้าไปติดแห จึงยกแหขึ้นจับเอาปลา ไม่ฆ่า โยนไปบนหลังทราย คิดว่าจักปิ้งปลานั้นกิน จึงก่อไฟถ่าน เสี้ยมไม้แหลม ปลาคร่ำครวญอยู่ว่า การย่างบนถ่านไฟหรือการเสียบด้วยไม้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 340
แหลมนั้น ก็หรือทุกข้ออย่างอื่น จะไม่ทำไห้เราลำบาก แต่ข้อที่นางปลานั้นถึงความโทมนัสในเราว่า ปลาใหญ่นั้นได้ไปหานางปลาตัวอื่นด้วยความยินดีเป็นแน่นั้นเท่านั้น เบียดเบียนเรา จึงกล่าวคาถานี้ว่า
ความเย็น ความร้อน และการติดอยู่ในแห ไม่ได้เบียดเบียนเราให้ได้รับทุกข์เลย แต่ข้อที่นางปลาสำคัญว่าเราไปหลงนางปลาตัวอื่นนั่นแหละ เบียดเบียนเราให้ได้รับทุกข์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น มํ สีตํ น มํ อุณฺหํ ความว่า ปลาทั้งหลายย่อมมีความหนาว ในเวลาถูกนำออกไปจากน้ำ เมื่อความหนาวนั้นปราศจากไป ความร้อนย่อมมี. ปลาหมายเอาความหนาวและความร้อนแม้ทั้งสองนั้น จึงคร่ำครวญว่า ความหนาว ความร้อน ย่อมไม่เบียดเบียนเรา. ปลาหมายเอาความทุกข์ซึ่งมีการปิ้งบนถ่านไฟที่จักมีขึ้นแม้นั้น จึงคร่ำครวญว่า ความร้อนจะไม่เบียดเบียนเรา. ด้วยบทว่า น มํ ชาลสฺมิ พาธนํ นี้ ปลา ย่อมคร่ำครวญว่า การที่ได้คิดอยู่ในแหแม้นั้น ก็ไม่เบียดเบียนเรา. ในบทว่า ยญฺจ มํ ดังนี้เป็นต้นไป มีประมวลความดังต่อไปนี้:- นางปลานั้นไม่รู้ว่า เราผู้ติดอยู่ในแหถูกพวกประมงเหล่านั้นจับเอาไป เมื่อไม่เห็นเราก็จะคิดว่าบัดนี้ ปลาใหญ่นั้นจักติดนางปลาตัวอื่นด้วยความยินดีในกาม การที่นางปลานั้นผู้ถึงความโทมนัสคิดดังนั้น ย่อมเบียดเบียนเรา เพราะเหตุนั้น ปลาใหญ่นั้นจึงนอนคร่ำครวญอยู่บนหลังทราย.
สมัยนั้น ปุโรหิตอันทาสแวดล้อมมายังฝั่งแม่น้ำเพื่อจะอาบน้ำ ก็ปุโรหิตนั้นเป็นผู้รู้เสียงร้องของสัตว์ทุกชนิด. ด้วยเหตุนั้น ปุโรหิตนั้นได้ฟังปลาคร่ำครวญจึงคิดว่า ปลานี้คร่ำครวญเพราะกิเลส ก็ปลานี้มีจิตกระสับกระส่ายอย่างนี้ ตายไป จักบังเกิดในนรกเท่านั้น เราจักเป็นที่พึงอาศัยของปลานี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาเย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 341
ปุโรหิตนั้นจึงไปหาพวกชาวประมงแล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านไม่ให้ปลาเราเพื่อทำกับข้าว แม้สักวัน. ชาวประมงทั้งหลายกล่าวว่า นาย ท่านพูดอะไร ท่านจงเลือกเอาปลาที่ท่านชอบใจไปเถิด. ปุโรหิตกล่าวว่า เราไม่มีการงานกับผู้อื่น พวกท่านจงให้เฉพาะปลาตัวนี้เท่านั้น. พวกชาวประมง กล่าวว่า เอาไปเถอะนาย. พระโพธิสัตว์เอามือทั้งสองจับปลานั้นไปนั่งที่ฝั่งแม่น้ำกล่าวสอนว่า ปลาผู้เจริญ วันนี้ ถ้าเราไม่เห็นเจ้า เจ้าจะต้องถึงแก่ความตาย ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าอย่าได้ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสเลย แล้วปล่อยไปใน น้ำ ในเองเข้าไปยังนคร.
พระศาสดาครั้น ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ทั้งหลาย. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. ฝ่ายพระศาสดาได้ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า นางปลาในครั้งนั้น ได้เป็นภรรยาเก่าในบัดนี้ ปลาในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้กระสันในบัดนี้ ส่วนปุโรหิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราเองแล.
จบมัจฉชาดกที่ ๔