พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. พกชาดก ว่าด้วยผู้ฉลาดแกมโกง

 
บ้านธัมมะ
วันที่  4 ส.ค. 2564
หมายเลข  35237
อ่าน  536

[เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 355

๘. พกชาดก

ว่าด้วยผู้ฉลาดแกมโกง


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 55]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 355

๘. พกชาดก

ว่าด้วยผู้ฉลาดแกมโกง

[๓๘] บุคคลผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงคนอื่นย่อมไม่ได้ความสุขเป็นนิตย์ เพราะผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงคนอื่น ย่อมประสบผลแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้ เหมือนนกยางถูกปูหนีบคอฉะนั้น.

จบพกชาดกที่ ๘

๘. อรรถกถาพกชาดก

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เจริญด้วยจีวร จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาจฺจนฺตํ นิกติปฺปญฺโ ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุผู้อยู่ในพระเชตวันวิหารรูปหนึ่ง เป็นผู้ฉลาดในกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการตัด การขัด การจัด และการเย็บผ้าที่จะพึงทำในจีวร ภิกษุนั้นย่อมเพิ่มจีวรด้วยความเป็นผู้ฉลาดนั้น เพราะฉะนั้น จึงปรากฏชื่อว่า จีวรวัฑฒกะ ผู้เจริญด้วยจีวร. ถามว่า ก็ภิกษุนี้กระทำอย่างไร? ตอบว่า ภิกษุนี้เอาผ้าเก่าที่คร่ำคร่ามาแสดงหัตถกรรมคือทำด้วยมือ กระทำจีวรสัมผัส ได้ดี น่าพอใจ ในเวลาเสร็จการย้อม ได้ย้อมด้วยน้ำแป้ง ขัดด้วยหอยสังข์ กระทำให้ขึ้นเงาเป็นที่พอใจแล้วเก็บไว้. ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่รู้จักทำจีวรกรรม

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 356

จึงถือเอาผ้าสาฎกทั้งหลายใหม่ๆ ไปยังสำนักของภิกษุนั้น จึงกล่าวว่า พวกผมไม่รู้จักทำจีวร ขอท่านจงทำจีวรให้แก่พวกผม. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จีวรเมื่อกระทำย่อมสำเร็จช้า จีวรที่เราทำไว้เท่านั้นมีอยู่ ท่านทั้งหลายจงวางผ้าสาฎกเหล่านั้นไว้ แล้วจงถือเองจีวรที่ทำไว้แล้วนั้นไปเถอะ กล่าวแล้วจึงนำออกมาให้ดู. ภิกษุเหล่านั้นเห็นวรรณสมบัติของจีวรนั้นเท่านั้น ไม่รู้ถึงภายใน สำคัญว่า มั่นคงดี จึงให้ผ้าสาฎกใหม่ทั้งหลายแก่พระจีวรวัฑฒกะ แล้วถือเอาจีวรนั้นไป. จีวรนั้นอันภิกษุเหล่านั้นซักด้วยน้ำร้อนในเวลาเปื้อนเปรอะนิดหน่อย มันจึงแสดงปรกติของตน. ที่ที่เก่าคร่ำคร่าปรากฏในที่นั้นๆ ภิกษุเหล่านั้นต่างมีความวิปฏิสารเดือดร้อนใจ ภิกษุนั้นเอาผ้าเก่าลวงภิกษุทั้งหลายที่มาแล้วๆ ด้วยอาการอย่างนี้ จนปรากฏไปในที่ทั้งปวง แม้ในบ้านแห่งหนึ่งก็มีพระจีวรวัฑฒกะรูปหนึ่ง ล่อลวงชาวโลก เหมือนพระจีวรวัฑฒกะ รูปนี้ในพระเชตวันวิหารฉะนั้น. ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนคบของภิกษุนั้น จึงบอกว่า ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า พระจีวรวัฑฒกะรูปหนึ่งในพระเชตวัน ล่อลวงชาวโลกอย่างนี้. ลำดับนั้น พระจีวรวัฑฒกะบ้านนอกนั้น ได้มีความคิดดังนี้ว่า เอาเถอะ เราจะลวงพระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงรูปนั้น แล้วกระทำจีวร เก่าให้เป็นที่น่าพอใจยิ่ง แล้วย้อมอย่างดี ได้ห่มจีวรนั้นไปยังพระเชตวันวิหาร ฝ่ายพระจีวรวัฑฒกะชาวกรุง พอเห็นจีวรนั้นเท่านั้นเกิดความโลภอยากได้ จึงถามว่า ท่านผู้เจริญ จีวรนี้ท่านทำเองหรือ? พระจีวรวัฑฒกะบ้านนอก กล่าวว่า ขอรับท่านผู้มีอายุ ผมทำเอง. พระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านจงให้จีวรผืนนี้แก่ผมเถิด ท่านจักได้ผืนอื่น. พระจีวรวัฑฒกะบ้านนอกกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ พวกผมเป็นพระบ้านนอก หาปัจจัยได้ยาก ผมให้จีวรผืนนี้แก่ท่านแล้ว ตัวเองจักห่มอะไร. พระจีวรวัฑฒกะ ชาวกรุงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ผ้าสาฎกใหม่ๆ ในสำนักของผมมีอยู่ ท่านจง

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 357

ถือเอาผ้าสาฎกเหล่านั้นกระทำจีวรของท่านเถิด. พระจีวรวัฑฒกะบ้านนอก กล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ผมแสดงหัตถกรรมในจีวรนี้ ก็เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ผมจะอาจทำได้อย่างไร ท่านจงถือเอาจีวรผืนนั้น แล้วให้จีวรที่ทำด้วยผ้าเก่า แก่พระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงนั้น แล้วถือเอาผ้าสาฏกใหม่ๆ ลวงพระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงนั้นแล้วหลีกไป. ฝ่ายพระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ในพระเชตวันก็ห่มจีวรนั้น พอล่วงไป ๒ - ๓ วัน จึงซักด้วยน้ำร้อน เห็นว่าเป็นผ้าเก่าคร่ำคร่าก็ละอาย. ความที่พระจีวรวัฑฒกะชาวกรุงนั้นถูกลวง เกิดปรากฏไปในท่ามกลางสงฆ์ว่า เขาว่าพระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ในพระเชตวัน ถูกพระจีวรวัฑฒกะบ้านนอกลวงเอาแล้ว. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพากันนั่งกล่าวเรื่องนั้น ในโรงธรรมสภา พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนา กันด้วยเรื่องอะไรหนอ? ภิกษุเหล่านั้นพากันกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ในพระเชตวัน ย่อมล่อลวงภิกษุอื่นในบัดนี้เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ล่อลวงมาแล้วเหมือนกัน ฝ่ายพระจีวรวัฑฒกะชาวบ้านนอก ได้ล่อลวงพระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ ในพระเชตวันรูปนี้ ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้ล่อลวง แล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นไม้ซึ่งตั้งอาศัย สระปทุมแห่งหนึ่งอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง. ในกาลนั้น คราวฤดูร้อน น้ำในสระแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่นัก ได้น้อยลง แต่ในสระนั้นมีปลาเป็นอันมาก. ครั้งนั้นนกยางตัวหนึ่งเห็นปลาทั้งหลายแล้วคิดว่า เราจักลวงกินปลาเหล่านั้น ด้วยอุบายสักอย่าง จึงไปนั่งคิดอยู่ที่ชายน้ำ. ลำดับนั้น ปลาทั้งหลายเห็นนกยางนั้น จึง ถามว่า เจ้านาย ท่านนั่งคิดถึงอะไรอยู่หรือ? นกยางกล่าวว่า เรานั่งคิดถึง พวกท่าน. ปลาทั้งหลายถามว่า เจ้านาย ท่านคิดถึงเราอย่างไร. นกยาง

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 358

กล่าวว่า เรานั่งคิดถึงพวกท่านว่า น้ำในสระนี้น้อย ที่เที่ยวก็น้อย และความ ร้อนมีมาก บัดนี้ ปลาเหล่านี้จักกระทำอย่างไร. ลำดับนั้น พวกปลาจึงกล่าว ว่า เจ้านาย พวกเราจะการทำอย่างไร. นกยางกล่าวว่า ถ้าท่านทั้งหลายจะกระทำตามคำของเรา เราจะเอาจงอยปากคาบบรรดาพวกท่านคราวละตัว นำไปปล่อยยังสระใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งดารดาษด้วยปทุม ๕ สี. ปลาทั้งหลายกล่าว ว่า เจ้านาย ตั้งแต่ปฐมกัปมา ชื่อว่านกยางผู้คิดดีต่อพวกปลา ย่อมไม่มี ท่านประสงค์จะกินบรรดาพวกเราทีละตัว พวกเราไม่เชื่อท่าน. นกยางกล่าวว่า เราจักไม่กิน ก็ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเราว่าสระน้ำมี พวกท่านจงส่งปลาตัวหนึ่งไปดูสระน้ำพร้อมกับเรา. ปลาทั้งหลายเชื่อนกยางนั้น คิดว่า ปลาตัวนี้สามารถทั้งทางน้ำและทางบก จึงได้ให้ปลาทั้งใหญ่ทั้งคำตัวหนึ่งไปด้วยคำว่า ท่านจง เอาปลาตัวนี้ไป. นกยางนั้นดาบปลาตัวนั้นนำไปปล่อยในสระ แสดงสระทั้งหมดแล้ว นำกลับมาปล่อยในสำนักของปลาเหล่านั้น. ปลานั้นจึงพรรณนา สมบัติของสระแก่ปลาเหล่านั้น. ปลาเหล่านั้นได้ฟังถ้อยคำของปลาตัวนั้น เป็นผู้อยากจะไป จึงพากันกล่าวว่า ดีละ เจ้านาย ท่านจงคาบพวกเราไป นกยางคาบปลาตัวทั้งดำทั้งใหญ่ตัวแรกนั้นนั่นแหละ แล้วนำไปยังฝั่งของสระน้ำ แสดงสระน้ำให้เห็นแล้วซ่อนที่ต้นกุ่มซึ่งเกิดอยู่ริมสระน้ำ แล้วสอดปลานั้นเข้าในระหว่างค่าคบ จิกด้วยจะงอยปากให้ตายแล้วกินเนื้อ ทิ้งก้างให้ตกลงที่โคน ต้นไม้แล้วกลับไป พูดว่า ปลาตัวนั้น เราปล่อยไปแล้ว ปลาตัวอื่นจงมา แล้วคาบเอาทีละตัวโดยอุบายนั้น กินปลาหมด กลับ มาอีก แม้ปลาตัวหนึ่งก็ไม่เห็น. ก็ในสระนี้มีปูเหลืออยู่ตัวหนึ่ง นกยางเป็นผู้อยากจะกินปูแม้ตัวนั้นจึง กล่าวว่า ปูผู้เจริญ เรานำปลาทั้งหมดนั้น ไปปล่อยในสระใหญ่อันดารดาษด้วยปทุม มาเถิดท่าน แม้ท่านเราก็จักนำไป. ปูถามว่า ท่านเมื่อจะพาเราไปจัก พาไปอย่างไร?. นกยางกล่าวว่า เราจักคาบพาเอาไป. ปูกล่าวว่า ท่านเมื่อ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 359

พาไปอย่างนี้ จักทำเราให้ตกลงมา เราจักไม่ไปกับท่าน. นกยางกล่าวว่า อย่ากลัวเลย เราจักคาบท่านให้ดีแล้วจึงไป. ปูคิดว่า ชื่อว่าการคาบเอาปลาไปปล่อยในสระ ย่อมไม่มีแก่นกยางนี้ ก็ถ้านกยางจักปล่อยเราลงในสระ ข้อนี้เป็นการดี หากจักไม่ปล่อย เราจักตัดคอนั้นเอาชีวิตเสีย. ลำดับนั้น ปูจึงกล่าว กะนกยางนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนนกยางผู้สหาย ท่านจักไม่อาจคาบเอาเราไปให้ดีได้ ก็เราคาบด้วยจึงจะเป็นการคาบที่ดี ถ้าเราจักได้เอาก้ามคาบคอท่านไซร้ เราจักกระทำคอของท่านให้เป็นของอันเราคาบดีแล้ว จึงจักไปกับท่าน. นกยางนั้นคิดแค่จะลวงปูนั้น หารู้ไม่ว่า ปูนี้ลวงเรา จึงรับคำว่าตกลง. ปูจึงเอาก้ามทั้งสองของมันคาบคอนกยางนั้นไว้แน่น ประหนึ่งคีบด้วยคีมของช่างทอง แล้วกล่าวว่า ท่านจงไปเดี๋ยวนี้. นกยางนั้นนำปูนั้นไปให้เห็นสระแล้ว บ่ายหน้าไปทางต้นกุ่ม. ปูกล่าวว่า ลุงสระนี้อยู่ข้างโน้น แต่ท่านจะนำไปข้างนี้. นกยางกล่าวว่า เราเป็นลุงที่น่ารัก แต่เจ้าไม่ได้เป็นหลานเราเลยหนอ แล้วกล่าวว่า เจ้าเห็นจะทำความสำคัญว่า นกยางนี้เป็นทาสของเรา พาเราเที่ยวไปอยู่ เจ้าจงดูก้างปลาที่โคนต้นกุ่มนั่น แม้เจ้า เราก็จักกินเสีย เหมือนกินปลาทั้งหมดนั้น. ปูกล่าวว่า ปลาเหล่านั้น ท่านกินได้ เพราะความที่ตนเป็นปลาโง่ แต่เราจักไม่ให้ท่านกินเรา แต่ท่านนั่นแหละจัก ถึงความพินาศ ด้วยว่า ท่านไม่รู้ว่าถูกเราลวง เพราะความเป็นคนโง่ เราแม้ทั้งสอง เมื่อจะตายก็จักตายด้วยกัน เรานั่นจักตัดศีรษะของท่านให้กระเด่นลงบนภาคพื้นกล่าว แล้วจึงเอาก้ามปานประหนึ่งคีมหนีบคอนกยางนั้น. นกยางนั้นอ้าปาก น้ำตา ไหลออกจากนัยน์ตาทั้งสองข้าง ถูกมรณภัยคุกคาม จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย เราจักไม่กินท่าน ท่านจงให้ชีวิตเราเถิด. ปูกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้นท่าน ร่อนลงแล้วปล่อยเราลงในสระ. นกยางนั้นหวนกลับมาร่อนลงยังสระนั่นแหละ แล้ววางปูไว้บนหลังเปือกตม ณ ที่ริมสระ. ปูตัดคอนกยางนั้นขาดจมลงไป

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 360

ในน้ำเหมือนตัดก้านโกมุทด้วยกรรไกรฉะนั้น. เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นกุ่มเห็นความอัศจรรย์นั้น เมื่อจะให้สาธุการทำป่าให้บันลือลั่น จึงกล่าวคาถานี้ด้วยเสียงอัน ไพเราะว่า

บุคคลผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น ย่อมไม่ได้ความสุขเป็นนิตย์ เพราะผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงคนอื่นย่อมประสบผลแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้ เหมือนนกยางถูกปูหนีบคอฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาจฺจนฺตํ นิกติปฺปญฺโ นิกตฺยา สุขเมธติ ความว่า การหลอกลวง เรียกว่า นิกติ บุคคลผู้มีปัญญาชื่อว่า นิกติ คือผู้มีปัญญาหลอกลวง ย่อมไม่ถึงความสุขโดยส่วนเดียว คือไม่อาจ ดำรงอยู่ ในความสุขนั้นแหละ ตลอดกาลเป็นนิตย์ เพราะการลวง คือการหลอกลวงนั้น แต่ว่าย่อมถึงแต่ความพินาศโดยส่วนเดียวเท่านั้น. บทว่า อาราเธติ แปลว่า ย่อมได้เฉพาะ อธิบายว่า บุคคลผู้ลามกมีปัญญาหลอกลวง คือ มีปัญญาอันสำเหนียกความเป็นคนคดโกง ย่อมได้เฉพาะคือย่อม ประสบผลแห่งบาปที่คนได้กระทำไว้. ย่อมประสบผลบาปอย่างไร? ย่อมประสบผลบาป เหมือนนกยางคอขาดเพราะปูฉะนั้น อธิบายว่า บาปบุคคล ย่อมประสบ คือ ย่อมได้เฉพาะภัยในปัจจุบันหรือในโลกหน้า เพราะบาปที่ ตนทำไว้ เหมือนนกยางถึงการถูกตัดคอขาดเพราะปูฉะนั้น. มหาสัตว์เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ จึงแสดงธรรมยังป่าให้บันลือลั่น.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจีวรวัฑฒกะชาวกรุง ถูกภิกษุจีวระวัฑฒกะชาวบ้านนอกนั้นนั่นแหละ ลวงเอาแล้วในบัดนี้เท่านั้น หามิได้ แม้ในอดีตกาลก็ถูกลวงมาแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรม

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 361

เทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า นกยางในครั้งนั้น ได้เป็นพระจีวรวัฑฒกะผู้อยู่ในพระเชตวัน ปูในครั้งนั้นได้เป็นพระ จีวรวัฑฒกะชาวบ้านนอก ส่วนรุกขเทวดาในครั้งนั้น ได้เป็นเรา เองแล.

จบพกชาดกที่ ๘