เป็นผ้าเช็ดธุลี ใจดีมีความสุข

 
sutta
วันที่  6 ส.ค. 2564
หมายเลข  35248
อ่าน  420

การไปนมัสการสังเวชนียสถานในครั้งนี้ ในขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในพระวิหารเชตวัน คือ การไปหา "ผ้าเช็ดธุลี"ฃึ่งเป็นคุณธรรมของ "ท่านพระสารีบุตร" ฃึ่งท่านเป็นผู้นอบน้อมอย่างยิ่ง เป็นอัครสาวกผู้เลิศทางปัญญา ในพระไตรปิฎกมีข้อความที่ ถ้าใครประพฤติปฏิบัติตามได้จะเป็นสุขตั้งแต่นาทีที่ปฏิบัติตามได้ คือ ท่านเปรียบคนที่ไม่มีความสำคัญตน ไม่มีความทะนงตน เหมือนกับผ้าเช็ดธุลี คือ ผ้าเช็ดฝุ่นละอองที่เราเอามาเช็ดโต๊ะ เช็ดเก้าอี้พวกนี้ เพราะฉะนั้นผ้านั้นสามารถที่จะรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง หรือจะเป็นเลือดหนอง สิ่งสกปรกต่างๆ ผ้านั้นก็สามารถจะเช็ดได้

นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราสามารถทนต่อคำทุกอย่างที่เป็นคำไม่เหมาะสม อาจจะเป็นคำที่เราไม่อยากจะฟังเลย แต่ใจเราไม่เดือดร้อนในขณะที่เราได้ยิน คิดดูซิคะว่า จะเป็นสุขสักแค่ไหน เราจะสามารถค่อยๆ ฝึกหัดเป็นไปได้ แต่การฝึกหัดที่จะทนคำของคนอื่น การกระทำของคนอื่น ก็ต่อเมื่อเราเป็นผู้เริ่มเข้าใจความจริงของชีวิตว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราเลย

ถ้าเรามีความเป็นมิตรกับคนอื่นบ่อยๆ ใจเราสบายมาก เราจะไม่มีศัตรูเลย รับรองได้จริงๆ ว่า เราไม่มีศัตรู เพราะใจเราไม่เป็นศัตรูกับใคร คนอื่นไม่ชอบเรา เขาเดือดร้อน เขาวุ่นวาย เขาไม่ชอบเรา แต่เรามีความเป็นมิตรหวังดีช่วยเขา เราจะไม่เดือดร้อนเลย แต่คนที่ไม่ชอบเรา เป็นศัตรูกับเรา เดือดร้อนตลอด แล้วเราจะเป็นคนไหนดีคะ คนที่เดือดร้อนกับคนที่ช่วยคนอื่น ทั้งๆ ที่เขาโกรธเราแต่เราก็ไม่โกรธเขา เราก็ช่วยเขาได้ เราเป็นผ้าเช็ดธุลี เช็ดได้หมดทุกอย่าง รับได้หมดทุกอย่าง ไม่เดือดร้อนเลย หรือเราจะเป็นคนเก่า ใครพูดอะไรก็ไม่ได้ เดือดร้อน ต้องพูดอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ให้ตรงกับใจเรา แล้วเมื่อไม่เป็นอย่างใจเรา เราก็ไม่เป็นความสุข แล้วเราจะเป็นอย่างเก่าหรือว่าเราจะมีสติที่จะรู้ว่า ไม่มีประโยชน์เลยในการที่จะเป็นศัตรูกับใคร

เคยมีใครที่รู้สึกว่าน่ารักบ้างไหมคะ เห็นใครเป็นคนที่น่ารักมากๆ มีไหมคะ พอจะมีตัวอย่างของใครซึ่งน่ารักมากๆ เลยไหมคะ เราก็เป็นอย่างนั้นได้นี่คะ เราดูว่าทำไมเขาน่ารักอย่างนั้น เขาเป็นคนที่คิดถึงคนอื่น ไม่คิดถึงตัวเอง แล้วก็ช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็อภัยให้คนอื่น คือ มีชีวิตที่มีความสุข แล้วก็ไม่เดือดร้อน ใครเขาจะเป็นอย่างไรเราก็บังคับเขาไม่ได้ ถ้าคนหนึ่งเป็นคนที่กิริยาก็ไม่ดี วาจาก็ไม่ดี แล้วทำไมเราจะมาเดือดร้อน นั่นก็เป็นเรื่องของเขา ใช่ไหมคะ แต่เรื่องของเราก็คือว่า เราไม่เดือดร้อน ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร แล้วเราก็สามารถจะเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ ถ้าสติเกิด เพราะฉะนั้นเราจะเห็นคุณของสติ ธรรมฝ่ายดี ว่าเพราะสติและปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้จิตสงบจากอกุศล


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ