วันวิสาขบูชา

 
sutta
วันที่  6 ส.ค. 2564
หมายเลข  35260
อ่าน  450

ย้อนรำลึกเหตุการณ์ในวันวิสาขบูชา

ประสูติ

พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิในครรภ์มารดาในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 8 (อาสาฬหบูชา) พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ปฏิสนธิในพระครรภ์พระนางมหามายาเทวี พร้อมๆ กับแผ่นดินไหว (ขณะที่ปฏิสนธิในพระครรภ์มารดา ไม่ใช่ขณะประสูติ) เทวดาต่างอารักขาพระโพธิสัตว์และพระมารดา พระมารดาไม่มีความลำบากในการทรงพระครรภ์ พระมารดาย่อมได้ยศ ได้ลาภอันเลิศ ไม่มีความพอใจในบุรุษ

พระโพธิสัตว์ทรงประสูติ ตามธรรมเนียมของสมัยนั้น สตรีเมื่อจะคลอดย่อมคลอดที่สกุลเดิมหรือบ้านของบิดามารดาของตน พระนางมหามายาเทวีจึงมีพระประสงค์จะไปที่กรุงเทวทหะ อันเป็นเมืองของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ เมื่อเสด็จถึงป่าสาลวันชื่อลุมพินีวัน ขณะนั้นต้นสาละออกดอกบานสะพรั่ง พระเทวีมีพระประสงค์จะเล่นในสวนสาลวัน พระนางมีประสงค์จะจับกิ่งใด กิ่งนั้นก็น้อมมาที่พระหัตถ์ และลมกัมมัชวาตก็เกิดขึ้น มหาชนจึงล้อมม่านแล้วถอยออกไป พระนางได้ยืนจับกิ่งสาละนั่นแล ได้ประสูติแล้ว

ในขณะนั้นนั่นเองท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ องค์ ก็มาถึงพร้อมกับถือข่ายทองมาด้วย เอาข่ายทองนั้นรับพระโพธิสัตว์ วางไว้ตรงพระพักตร์ของพระราชมารดา พลางทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์จงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรของพระองค์มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว ... พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดูทิศตะวันออก จักรวาลนับได้หลายพันได้เป็นที่โล่งเป็นอันเดียวกัน พวกเทวดาและมนุษย์ในที่นั้นต่างพากัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ เป็นต้น กราบทูลว่าข้าแต่ท่าน บุรุษคนอื่นในที่นี้เช่นกับท่านไม่มี คนที่ยิ่งกว่าท่านจักมีแต่ที่ไหน

พระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศให้ทิศเล็กแม้ทั้ง ๑๐ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศเล็ก ๔ เบื้องล่าง เบื้องบน ก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับตน ... ต่อจากนั้นประทับยืนที่พระบาทที่ ๗ ทรงเปล่งอาสภิวาจา [วาจาแสดงความยิ่งใหญ่] ว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีต่อไป

ตรัสรู้

ในเวลาเช้าของวันเพ็ญ เดือน 6 วันวิสาขบูชา ขณะนั้นมีพระชนมายุ 35 พระชันษา ขณะนั้นทรงประทับที่ต้นไทร นางสุชาดานำข้าวมธุปายาสที่ใส่ถาดทองมาถวายพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงรับและเสวยข้าวมธุปายาสแล้วได้เสด็จไปที่ท่าน้ำเนรัญชรา พระองค์ทรงอธิษฐานว่าหากเราได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไป เมื่อพระองค์ทรงปล่อยถาดลงในกระแสน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำและได้จมลงไปในที่อยู่ของนาคราช

เมื่อถึงเวลาเย็น นายโสตถิยะก็ถวายหญ้า 8 กำกับพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงวางหญ้าที่โพธิบัลลังก์ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับนั่งแล้ว อธิษฐานว่ าหากเรายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว แม้เนื้อและเลือด จะเหือดแห้งไปก็จะไม่ลุกไปเด็ดขาด พระองค์ทรงกำจัดมารในเวลาเย็น ในเวลาปฐมยามทรงระลึกชาติได้แต่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เวลามัจฌิมยาม พระองค์ทรงเห็นสัตว์เกิดสัตว์ตาย ด้วยพระญาณแต่ไม่เป็นพระพุทธเจ้า เวลาปัจฉิมยามทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาใกล้รุ่งของวันวิสาขบูชา

เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ได้เปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่า เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำเรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อย ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อน นายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร (นิพพาน) แล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว. สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืออะไร ในปัจฉิมยามพระองค์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท นั่นก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้สัจจะ ความจริงที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ทรงตรัสรู้ ความจริงที่เป็นเพียง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะมีความไม่รู้ จึงมีสภาพธรรมอื่นๆ เกิดวนเวียนเป็นสังสารวัฏฏ์ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อวิชชา คือปัญญาเกิด ก็สามารถดับสังสารวัฏฏ์ได้

พระองค์ตรัสรู้ความจริงที่เป็นเพียงสภาพธรรมด้วยปัญญาของพระองค์ ตามความเป็นจริง การจะรู้ความจริงจึงรู้ขณะนี้ด้วยการฟัง การศึกษาให้เข้าใจ สภาพธรรมทำหน้าที่เองให้ปัญญาเจริญขึ้น จนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่มีในขณะนี้

ปรินิพพาน

ในวันมาฆบูชา พระพุทธองค์ทรงปลงมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ จากนี้ไปอีก 3 เดือน เราจะปรินิพพาน พระองค์ทรงตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ชนเหล่าใด ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมีทั้งขัดสน ล้วนมีความตาย เป็นเบื้องหน้าภาชนะดิน ที่ช่างหม้อทำ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบทุกชนิดมีความแตกเป็นที่สุดฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น…..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไม่ประมาทมีสติ มีศีลด้วยดีเถิด จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นด้วยดี จงตามรักษาจิตของตนเถิด.

ผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสารแล้ว จะกระทำที่สุดทุกข์ได้

ในวันวิสาขบูชา พระพุทธองค์เสด็จไปที่เมืองกุสินารา แม้จะลงพระโลหิตอย่างมาก ใกล้จะปรินิพพานแล้ว แต่พระองค์ก็เสด็จไปเพื่อที่จะโปรดสุภัททะปริพาชกให้บรรลุธรรมและเพื่อที่จะแสดงมหาสุทัสสนสูตรเพื่อให้มหาชนได้ฟังพระธรรมและอีกเหตุผลหนึ่งคือหากพระองค์ปรินิพพานที่กุสินาราจะไม่มีการทะเลาะกันในเรื่องของการแบ่งพระธาตุ จะเห็นได้ถึงพระมหากรุณาคุณของพระองค์แม้พระองค์จะปรินิพพานแล้วก็ยังช่วยสัตว์โลกแม้จะทรงประชวรอย่างหนักก็ตาม

พระพุทธเจ้าเสด็จถึงป่าสาลวัน รับสั่งให้พระอานนท์จัดเตียงหันพระเศียรไปทางทิศเหนืออันอยู่ระหว่างต้นสาละคู่ ครั้งนั้นเทวดาและมนุษย์ต่างบูชาด้วยดอกไม้ของหอมมากมาย พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์การบูชาด้วยสักการะเหล่านี้ (อามิสบูชา) ยังไม่ชื่อว่าสักการะ เคารพพระองค์จริง แต่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมชื่อว่าบูชาพระองค์ นั่นคือการให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม เจริญกุศลทุกประการจนถึงการดับกิเลสได้เป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องสังเวชนียสถานว่าเป็นที่ที่ควรระลึกถึง ควรเห็นของผู้มีศรัทธาเมื่อพระศาสดาล่วงไปแล้ว พระอานนท์ร้องไห้ที่ประตูวิหาร พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกพระอานนท์และเตือนว่า ทุกสิ่งมีความแตกสลายไปธรรมดา เธออย่าประมาทจงทำที่สุดทุกข์และตรัสสรรเสริญพระอานนท์มากมาย พระพุทธเจ้าทรงโปรดสุภัททะปริพพาชกจนสุดท้ายได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธออย่าสำคัญว่าศาสดาล่วงไปแล้ว จะหาพระศาสดาไม่ได้ พระธรรมของเราจะเป็นศาสดาของพวกเธอ

เมื่อพระภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว พระองค์ได้ตรัสพระปัจฉิมโอวาทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด.นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานและออกจากฌานและทรงออกจากจตุตถฌานแล้ว พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพาน ดับรอบซึ่งสังขารธรรมและขันธ์ทั้งหลายในคืนวันวิสาขบูชา


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ